หวังเป่าเล่อมองมารดาเดินเข้ามาหยิกแก้มตัวเอง เขาสูดหายใจลึกด้วยความหวาดกลัวก่อนจะรีบข่มพลังปราณในกายเอาไว้ จากนั้นก็รีบคลายกล้ามเนื้อบนใบหน้าเพื่อที่มารดาจะไม่ได้รับแรงสะท้อนจากการหยิกแก้ม เป็นเรื่องที่ยากลำบากไม่น้อย แต่ชายหนุ่มก็กลัวว่าพลังปราณและร่างกายของตนในปัจจุบันอาจจะทำร้ายทั้งคู่เอาได้
โชคดีที่หวังเป่าเล่อตอบสนองได้อย่างว่องไว ข่มพลังปราณและคลายกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้ทัน มารดาจึงหยิกแก้มเขาได้อย่างปลอดภัย แววตาเศร้าสร้อยของนางทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ไปทั่วร่าง
เป็นความอบอุ่นที่ไม่สามารถสัมผัสได้บนดาวอังคาร แม้จะมีเพื่อนอยู่รอบกาย แต่ก็เทียบกับความรู้ในตอนนี้ไม่ได้เลย เขายิ้มพร้อมลูบท้องตัวเอง
“แม่ ดูสิ ข้ามีเนื้อตรงพุงตั้งเยอะ ไม่ต้องห่วง น้ำหนักไม่ลดหรอก”
“พุงเจ้าเล็กลงตั้งเยอะ!” มารดาหวังเป่าเล่อถอนหายใจ นางดึงชายหนุ่มไปนั่งบนม้านั่งก่อนจะเริ่มถามไถ่ชีวิตบนดาวอังคารอย่างละเอียดยิบ แววตาของนางเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่ หวังเป่าเล่อเริ่มผ่อนคลายเมื่อสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นอันมากล้น
“คนรักหรือ มีสิ! แม่ ข้าจะบอกให้ ข้ามีคนรักมากมาย มากจนปวดหัวเลย”
“มีคนดูแลหรือไม่อย่างนั้นหรือ แม่ ข้าเป็นขุนนางระดับสองชั้นรองแล้ว มีคนมากมายคอยมาประจบเอาอกเอาใจกันยกใหญ่ คนคุ้มกันส่วนตัวยังมีเลย ไม่ต้องเป็นห่วง”
“เอ่อ แม่ ข้าว่าแม่ดูเด็กลง ไปซื้อเสื้อผ้ามาจากไหนหรือ นำสมัยมากเลย!” หวังเป่าเล่อใช้ทักษะเปลี่ยนบทสนทนาเพื่อเบี่ยงความสนใจของมารดา เมื่อเห็นว่าได้ผลก็กล่าวชมอีกยกใหญ่
มารดาของหวังเป่าเล่อหัวเราะก่อนตีหัวชายหนุ่ม แววตาของนางเป็นประกายด้วยความรักใคร่ ไม่ได้หันมองสามีตนที่ยกอาหารออกมาจากครัวแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อได้แต่ถอนหายใจและนึกสงสารบิดาอยู่ในใจ
ไม่นานอาหารทุกจานก็มาวางบนโต๊ะ ทั้งสามนั่งพร้อมหน้าพร้อมตารับประทานอาหารมื้อแรกหลังจากไม่ได้พบกันนาน หวังเป่าเล่อนำบทสนทนา บรรยากาศเป็นไปอย่างอบอุ่นด้วยเสียงหัวเราะของมารดา ก่อนจะสะดุดลงด้วยเสียงแค่นจมูกของบิดา
หัวข้อสนทนาเปลี่ยนจากเรื่องของหวังเป่าเล่อไปเป็นเรื่องหลาน มารดาของเขาดูจะเป็นกังวลกับเรื่องนี้
“เป่าเล่อ เจ้าบอกว่าเจ้ามีคนรักมากมาย ทำไมรอบนี้ไม่พากลับบ้านมาสักคนล่ะ เจ้าต้องรีบลงหลักปักฐานได้แล้ว…ไม่สิ พรุ่งนี้เจ้าตามแม่ไปดีกว่า แม่จะพาไปพิธีดูตัว แม่ว่าลูกสาวของรองเจ้าเมืองสวีเหมาะกับเจ้าดี นางเป็นมิตรกับแม่ทุกครั้งที่เจอหน้า ดูมีแววจะคลอดลูกชายให้ด้วย!”
หวังเป่าเล่ออึ้งไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มคิดมาตลอดว่าพิธีดูตัวเป็นเรื่องน่าขายหน้า โดยเฉพาะกับคนที่หล่อเหลาที่สุดในสหพันธรัฐเช่นตัวเขา เหตุใดเขาจะต้องพึ่งพิธีดูตัวกัน
“ไร้สาระ!” ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะทันได้พูดอะไร บิดาตนก็วางตะเกียบลงก่อนจะเงยหน้าขึ้น เขาเอ่ยเสียงแข็ง “เป่าเล่อเป็นเสนาบดีแล้ว เป็นเจ้าเมืองเขตนครพิเศษอีกด้วย จะมาพูดไร้สาระเรื่องงานแต่งทำไม”
“ตาแก่หวัง กล้าดีเสียจริง เดี๋ยวนี้กล้าขึ้นเสียงใส่ข้าเชียวหรือ เจ้าเป็นแค่หัวหน้ากลุ่มโบราณคดีที่เอาแต่ดื่มด่ำกับความสำเร็จของลูกข้า เจ้ากล้าดีมาวางท่ากับข้าได้อย่างไร” มารดาของหวังเป่าเล่อรักใคร่ใจดีกับเขามาตลอด แต่พอเป็นกับสามีกลับดูแข็งกร้าวไป นางจ้องสามีตาถลน บิดาตนตัวสั่นไม่กล้าเถียงกลับ ได้แต่ก้มหน้าพึมพำเสียงเบา
“เขาก็ลูกข้าเหมือนกัน”
“กินข้าวไปเงียบๆ!”
หวังเป่าเล่อมองและยิ้มกับภาพที่เห็น ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าตนเปลี่ยนไป ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยรู้สึกอะไรตอนกลับมาบ้าน แต่ตอนนี้กลับรู้สึกลำบากใจถ้าจะต้องกลับ
เขาเริ่มสงสัยว่าตนมัวแต่ง่วนอยู่กับความฝันจนละเลยสองคนที่บ้านไปหรือเปล่า…
ชายหนุ่มติดต่อมาหาทั้งสองเป็นประจำ บางทีก็ส่งคนเอาโอสถมาให้ แม้ว่าบิดามารดาของเขาจะไม่มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตน แต่โอสถก็ช่วยให้พวกเขาเพิ่มระดับไปถึงจุดสูงสุดของขั้นการฝึกตนโบราณ
หากพูดให้ชัดๆ ก็คือ ช่วยยืดอายุขัยออกไปได้ระดับหนึ่ง
แต่จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็กลัวขึ้นมาจับจิต กลัวการผันแปรอันโหดร้ายของวันเวลาขณะที่เขามุ่งฝึกวิชา วันหนึ่ง…เขาอาจเก็บตัวฝึกวิชา และกลับออกมาพบว่าโลกเปลี่ยนไป ทุกคนที่รู้จักจากไปหมดแล้ว
“แม่นางน้อย มีโอสถหรือสมุนไพรอะไรในโลกที่ช่วยยืดอายุขัยของคนธรรมดาได้หรือไหม” หวังเป่าเล่อเอ่ยถามขึ้นในหัว
ตั้งแต่แม่นางน้อยบอกว่าจะเข้าไปนอนหลับในวัตถุเวทแห่งความมืด นางก็เงียบหายไปเลย ตอนที่หวังเป่าเล่อกลับออกมาจากวัตถุเวทแห่งความมืดและพยายามติดต่อหานาง นางก็ไม่ตอบ ตอนนี้เสียงของแม่นางน้อยดังขึ้นเบาๆ ในหัว น้ำเสียงของนางฟังดูเศร้าสร้อยเล็กน้อย อีกทั้งยังแฝงไปด้วยความสงสาร
“มีสิ!”
หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก ผุดยิ้มขึ้น หากมีอยู่จริง เขาก็จะหาทางนำมันมาให้ได้ จะได้ช่วยคลายความกังวลใจที่มี ชายหนุ่มหันมองบิดามารดา ก่อนจะพูดขึ้นพร้อมหัวเราะ
“แม่ เราย้ายบ้านกันไหม ย้ายไปอยู่ข้างๆ สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ในนครศักดิ์สิทธิ์กัน!”
บิดาของหวังเป่าเล่อได้ยินดังนั้นก็กำลังจะเอ่ยอะไรขึ้น แต่มารดากลับแค่นเสียงทางจมูกขึ้นก่อน บิดาจึงรีบก้มหัวตั้งหน้าตั้งตากินข้าว ทำตามที่ภรรยาของตนสั่งไว้ คือกินแต่ข้าว ไม่แตะกับเลยแม้แต่นิด…
“เป่าเล่อ ข้าว่าจะคุยเรื่องนี้กับเจ้าถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่พูดขึ้นมาก่อน อยู่ที่เมืองปักษาเพลิงไม่ได้รู้สึกสบายใจเหมือนก่อนแล้ว ย้ายบ้านก็คงจะดีเหมือนกัน” มารดาของเขาคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย นางไม่ได้ถามหาเหตุผลเพราะรู้อยู่แก่ใจดี ลูกชายของตนเป็นบุคคลยศสูงน่ายกย่อง สำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่แล้ว จะมีช่วงเวลาใดที่พวกตนต้องทำตนไม่ให้เป็นภาระกับลูกเหมือนเช่นตอนนี้อีก
ถ้าลูกชายบอกว่าพวกตนควรย้าย นางก็จะย้าย!
นางยังคิดเรื่องพิธีดูตัวอยู่ คิดว่าคงจะมีโอกาสหาลูกสะใภ้ในเมืองใหญ่อย่างนครศักดิ์สิทธิ์ได้มากกว่า น่าจะมีตัวเลือกหลากหลายกว่าในนครปักษาเพลิง
พวกเขากินข้าวเย็นกันอย่างมีความสุข ราตรีมาถึง หวังเป่าเล่อล้มตัวลงนอนบนเตียงขนาดเล็กในห้องนอนแคบๆ เงยหน้ามองดวงจันทร์ด้านนอก เขายิ้ม ไม่ได้ทำสมาธิหรือฝึกวิชา แค่หลับตาแล้วปล่อยร่างกายให้ผ่อนคลาย จากนั้นก็เข้าสู่ห้วงความฝันที่ไม่เคยไปเยือนมานานแสนนาน
เวลาล่วงเลยผ่านไปห้าวัน หลังจากครอบครัวของเขาจัดการทุกอย่างเสร็จ ทั้งสามก็ขึ้นเรือบินของหวังเป่าเล่อไป
แม้ว่าบิดาของหลิวต้าวปินจะไม่อยากให้พวกเขาไป แต่ก็รู้ดีว่าด้วยสถานะและระดับการฝึกตนของหวังเป่าเล่อในตอนนี้ คงจะไม่เหมาะถ้าให้ครอบครัวของเขาอยู่ในเมืองนี้ต่อไป ความปลอดภัยของพวกเขาควรมาก่อน อย่างไรเสียเมืองปักษาเพลิงก็เป็นเมืองเล็กๆ เทียบกับนครศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ข้างๆ สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ไม่ติด
ด้วยสถานะของหวังเป่าเล่อ ครอบครัวของเขาจะได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนาในนครศักดิ์สิทธิ์ ไม่ต้องพบกับความลำบากอีกต่อไป
เมื่อเข้าใจดังนั้น บิดามารดาตนก็เก็บงำความลำบากใจตอนที่จากมาไว้ แล้วขึ้นเรือบินไปกับลูกชาย คนมากมายมารอส่งพวกเขา เรือบินทะยานขึ้นฟ้า มุ่งหน้าไปยังนครศักดิ์สิทธิ์!
หวังเป่าเล่อปล่อยให้เรือบินทะยานไปอย่างไม่รีบร้อน เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะว่าจะได้มั่นใจว่าการเดินทางของบิดามารดาเป็นไปอย่างสะดวกสบาย อีกเหตุผลหนึ่งเป็นเพราะมารดาของเขาไม่เคยออกเดินทางไกลขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ในขณะที่บิดาได้ออกจากเมืองบ่อยๆ เพราะเป็นหัวหน้ากลุ่มโบราณคดี ชายหนุ่มจึงอยากใช้โอกาสนี้พาครอบครัวเที่ยวไปด้วย
ด้วยระดับการฝึกตนของหวังเป่าเล่อในปัจจุบัน แม้จะไม่ได้แกร่งกล้าขนาดไม่กลัวตาย แต่เขาก็สามารถปกป้องครอบครัวของตนจากภัยอันตรายบนโลกได้ ความโศกเศร้าที่ต้องจากลาบ้านเก่าเลือนหายไปจากใจผู้สูงวัยทั้งสองคนเมื่อได้เห็นทิวทัศน์เบื้องล่าง พวกเขาบินผ่านเทือกเขาและลงจอดบนยอดเขาที่เต็มไปด้วยหิมะ ทั้งสามละลายหิมะและตั้งน้ำชงชาพลางจ้องมองหมู่เมฆบนฟากฟ้า จากนั้นก็หันมองธาราสีฟ้าด้านล่างภูเขาหิมะ!
พวกเขาบินผ่านป่า เห็นนกกำลังดมกลิ่นดอกไม้ในป่าลึก ทั้งสามมองเห็นฝูงอสูรร้ายกลายเป็นลูกหมาแสนเชื่อง หงายพุงอ้อนเอาใจ
ผ่านทะเลทรายกว้างใหญ่และหยุดดื่มน้ำใสสะอาดจากโอเอซิสกลางทะเลทราย
เรือบินนำครอบครัวหวังเป่าเล่อเคลื่อนตัวผ่านฟากฟ้าสีคราม ผ่าหมู่เมฆ ข้ามป่าเขา ชีวิตของผู้ฝึกตนเผยให้เห็นในสายตาบิดามารดาตน
แม่ ตอนข้าเป็นเด็ก ข้าเคยบอกว่าจะพาพ่อกับแม่ไปท่องโลก… หวังเป่าเล่อมองใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุขของบิดามารดา มองทั้งสองถ่ายรูปทุกที่ที่ไป เขายืนอยู่บนเรือบิน ภายในใจอัดแน่นไปด้วยความสุข เป็นความสุขที่เหนือกว่าการได้เลื่อนขึ้นมาเป็นขุนนางระดับสองชั้นรอง