หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 476 ลงหลักปักฐาน ณ นครศักดิ์สิทธิ์

บทที่ 476 ลงหลักปักฐาน ณ นครศักดิ์สิทธิ์

นับเป็นครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อได้พาบิดามารดาออกมาท่องเที่ยวทางไกล พวกเขาเดินทางข้ามภูเขาล่องแม่น้ำ ผ่านป่ารกทึบและทะเลทรายกว้างใหญ่

ไม่สำคัญว่าสถานที่นั้นจะเป็นดินแดนที่คลาคล่ำไปด้วยอสูรดุร้าย ดินแดนแห้งแล้ง ทุ่งรกร้าง หรือสถานที่ที่มีภูมิอากาศย่ำแย่เสียจนคนธรรมดาไม่กล้าย่างกรายเข้าไป เว้นไว้เสียแต่เพียงอาณาเขตหวงห้ามบางแห่งบนโลก ด้วยการฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มสามารถพาบิดามารดาท่องไปได้ทั่วโดยไร้ซึ่งปัญหา

ขั้นกำเนิดวิญญาณเป็นระดับการฝึกตนสูงสุดในสหพันธรัฐขณะนี้ เพราะฉะนั้น ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในนั้น…ก็ถือได้ว่าอยู่ในระดับผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดในสหพันธรัฐ

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยตำแหน่งขุนนางระดับสองชั้นรอง ส่งผลให้หวังเป่าเล่อสามารถเข้าถึงข้อมูลลับที่ขุนนางระดับเดียวกันกับเขาหรือสูงกว่าเท่านั้นจึงจะล่วงรู้ได้ ชายหนุ่มได้อ่านเอกสารเกี่ยวกับอภิมหาวงแหวนปราณดาวโลก ซึ่งระบุไว้ชัดเจนว่า…ขุนนางระดับสองชั้นรองขึ้นไปเท่านั้นที่จะได้สิทธิ์ใช้งานอภิมหาวงแหวนปราณดาวโลกได้ แม้ว่าสิทธิ์นั้นจะค่อนข้างจำกัด แต่การได้สิทธิ์นี้ก็ช่วยยืนยันว่าจะไม่มีผู้ที่มียศถาต่ำกว่าเขากล้าล่วงเกินชายหนุ่มได้

การพักผ่อนหย่อนใจอย่างไร้ปัญหากินเวลาไปกว่าหนึ่งเดือน หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าบุพการีเริ่มจะเหนื่อยอ่อน ไม่ใช่ทางกายแต่ทางใจ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจจบการเดินทางและพาพวกเขาไปยัง…นครศักดิ์สิทธิ์!

นครศักดิ์สิทธิ์นั้นยิ่งใหญ่กว่าเมืองปักษาเพลิงหลายเท่านัก มันทั้งหรูหราและตั้งอยู่บนชัยภูมิที่เยี่ยมยอด ทั้งขนาดของนครรวมไปถึงจำนวนประชากรและจำนวนผู้ฝึกตนมากฝีมือ อีกทั้งความสำคัญของนครนี้ต่อโลก ส่งผลให้นครศักดิ์สิทธิ์ติดหนึ่งในห้าจากสิบเจ็ดนครหลักของโลกไปอย่างง่ายดาย!

และเพราะมีสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ใกล้ๆ ทำให้ประสิทธิภาพการป้องกันนครนั้นแข็งแกร่งขึ้นมาก ยิ่งไปกว่านั้น นครศักดิ์สิทธิ์นี้ตั้งอยู่บริเวณศูนย์กลางของภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ของสหพันธรัฐ และแผ่อิทธิพลครอบคลุมทั้งภูมิภาคไปราวกับเป็นใยแมงมุมขนาดมหึมา นับได้ว่านครศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เป็นนครหลวงของภูมิภาคโดยแท้จริง

ด้วยเหตุนี้ผู้ฝึกตนและผู้คนจำนวนมากจึงแห่แหนมายังนครศักดิ์สิทธิ์ มีทั้งมาเปลี่ยนเส้นทางที่นี่ มีทั้งมาหางาน และมาค้าขายต่างๆ นครแห่งนี้จึงเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ตอนกลางวันมีทั้งยวดยานและคนเดินเท้าสัญจรกันขวักไขว่ ส่วนตอนกลางคืนก็สว่างไปด้วยแสงไฟ

ส่งผลให้ราคาสินค้าในนครศักดิ์สิทธิ์สูงกว่าในเมืองปักษาเพลิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาที่ดินที่แพงลิบลิ่วเพราะมีอุปสงค์สูงกว่าอุปทาน

อย่างไรเสีย นครศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ถือเป็นนครหลวงของภูมิภาค เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและกิจกรรมการเมืองทั้งในช่วงสงบและเวลามีสงคราม ผู้มีอันจะกินจำนวนมากพากันมารวมตัวอยู่อาศัยในนครศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ทรัพยากรและทรัพย์สินเงินทองที่ได้มาอย่างลับๆ ก็ถูกนำมาเก็บซ่อนและลงทุนที่นครแห่งนี้เช่นกัน

ไม่มีผู้ใดที่เดินอยู่บนถนนของนครศักดิ์สิทธิ์สมควรถูกดูถูก เพราะแม้กระทั่งคนที่ดูธรรมดาๆ ก็อาจร่ำรวยมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งนี้กลายเป็นเรื่องปกติของนครแห่งนี้ไปเสียแล้ว

ความเหนือชั้นกว่าในหลายๆ ด้านของนครศักดิ์สิทธิ์ทำให้ประชากรของที่นี่รู้สึกดูถูกคนนอกอยู่พอสมควร ยิ่งไปกว่านั้นสถานะและความมั่งคั่งของนครศักดิ์สิทธิ์ยังทำให้ผู้ที่มาเยือนเป็นครั้งแรกถึงกับตกตะลึง ทั้งความหรูหราและยิ่งใหญ่ของนครส่งผลให้เหล่าผู้มาเยือนอดรู้สึกด้อยกว่าไม่ได้

บิดามารดาของหวังเป่าเล่อเป็นเพียงคนธรรมดาที่อยู่ในเมืองปักษาเพลิงมาทั้งชีวิต แม้ว่าบิดาจะเคยมาทำงานในนครศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มาก่อน แต่การมาเยือนครั้งนี้แตกต่างกัน พวกเขากำลังจะย้ายมาอยู่ที่นี่ เมื่อเรือบินเข้ามาถึงเขตนคร บิดาเริ่มรู้สึกถึงความอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก มารดาของเขาเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน

“นครแห่งนี้กว้างใหญ่เกินไป…ช่างไม่เป็นมิตรเหมือนเมืองปักษาเพลิงของเราเอาเสียเลย…”

“มันใหญ่แถมยังมีคนมากมายเกินไป ผู้คนต้องไม่เป็นมิตรแน่นอน…”

“เป่าเล่อ ข้าเคยได้ยินว่าผู้คนในนครใหญ่ๆ อย่างนี้ไม่ต้อนรับคนนอกสักเท่าใด…” ความคิดนั้นไม่เคยเกิดขึ้นในใจมารดาของหวังเป่าเล่อมาก่อนระหว่างที่เดินทางมาที่นี่ ทว่ายิ่งนางเข้าใกล้นครแห่งนี้เท่าใด นางก็ยิ่งรู้สึกไม่แน่ใจจึงเริ่มบ่นขึ้นมา

หวังเป่าเล่อยืนอยู่ข้างมารดาด้วยสีหน้าเปื้อนรอยยิ้ม เมื่อชายหนุ่มปลอบประโลมนางเสร็จ นางจึงดูค่อยคลายกังวลลงบ้าง เห็นได้ชัดว่านางมีเรื่องให้กังวลใจหลายประการนัก แม้นางจะรู้ดีแก่ใจว่าบุตรชายของนางยอดเยี่ยมเพียงใด หรือนางจะไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วตนกังวลเรื่องใดกันแน่ แต่ก็เพียงรู้สึกว่าทุกๆ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนั้นเกินจริงไปมากจนเหลือเชื่อ

หวังเป่าเล่อเข้าใจความรู้สึกของมารดาดี หลังจากใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ ชายหนุ่มก็ส่งข้อความเสียงไปหาหลินโยวเมื่อเรือบินเดินทางมาถึงท่าอากาศยานของนครศักดิ์สิทธิ์

หลินโยวขณะนั้นอยู่ในที่พัก กำลังเฝ้ามองต้นไม้โบราณตรงหน้าขณะที่ข้อความเสียงจากหวังเป่าเล่อมาถึง เขากำศิลาวิญญาณก้อนหนึ่งอยู่ในมือ หลินโยวไม่ได้ฝึกตนอยู่ แต่กำลังครุ่นคิดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับคณะเสนาบดี ชายชราติดนิสัยชอบลูบคลำพื้นผิวอันเกลี้ยงเกลาของศิลาวิญญาณขณะที่ต้องใช้ความคิด เป็นนิสัยที่ติดมาตั้งแต่ครั้งสงครามอสูร

แต่เมื่อได้รับข้อความจากหวังเป่าเล่อ หลินโยวก็หยุดครุ่นคิดชั่วขณะ เขาเปิดแหวนสื่อสารขึ้น ก่อนจะก้มลงมองข้อความแล้วหัวเราะชอบใจ ชายชราคาดหวังกับหวังเป่าเล่อเอาไว้สูงนักเพราะหลินเทียนหาวเองขณะนี้ก็ทำงานเข้าขากับหวังเป่าเล่อได้ดีเยี่ยม อีกประการหนึ่งคือขณะนี้ทั้งหลินโยวและหวังเป่าเล่อต่างก็มีสถานะใกล้เคียงกัน หลินโยวจึงให้ความสำคัญกับการที่หวังเป่าเล่อย้ายครอบครัวมาที่นี่ยิ่งนัก ชายชรารีบจัดแจงการต้อนรับทันที

ด้วยเหตุนี้ เมื่อเรือบินของหวังเป่าเล่อลงจอดที่ท่าอากาศยานนครศักดิ์สิทธิ์ ชายหนุ่มก็เห็นหลินโยวพร้อมด้วยคณะติดตามเฝ้ารอต้อนรับอยู่ด้วยตนเอง ทันทีที่หวังเป่าเล่อลงจากเรือบิน ชายหนุ่มก็รีบยกมือคารวะหลินโยวตามแบบที่ผู้น้อยควรทำต่อผู้ใหญ่ หลินโยวหัวเราะชอบใจ ก่อนจะก้าวออกมาตบบ่าหวังเป่าเล่ออย่างคุ้นเคย!

พวกเขาเคยพบกันมาบ้างก่อนหน้านี้และยังคงติดต่อสื่อสารกันอยู่ตลอด เพราะฉะนั้นการพบกันครั้งนี้จึงไม่ได้กระอักกระอ่วน กลับกันพวกเขากลับพูดคุยทักทายกันอย่างคุ้นเคย หลินโยวเองก็สุภาพกับบิดามารดาของหวังเป่าเล่อเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากที่ได้รู้ว่าบุรุษตรงหน้าพวกเขาคือเจ้านครแห่งนครศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ บิดามารดาของหวังเป่าเล่อก็รู้สึกเกร็งขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลินโยวรู้สึกได้ถึงความไม่สบายใจของแขกทั้งสอง จึงส่งยิ้มมาให้อย่างอ่อนโยน แถมยังทำกริยาเฉกเช่นคนธรรมดาราวกับเป็นเพื่อนบ้านผู้แสนเป็นมิตร แถมยังไม่วายพูดจาหยอกเย้าเป็นครั้งคราว

“ท่านพี่หวัง ท่านพี่หญิงหวัง หลังจากเสร็จธุระแล้ว ข้าอยากจะขอให้ท่านช่วยพูดกับเป่าเล่อ ลูกชายท่านสักหน่อย เรื่องนี้ออกจะน่าอายอยู่ไม่น้อย บุตรชายคนเดียวของข้า เจ้าเด็กเหลือขอนั่นตอนนี้กำลังทำงานอยู่กับหวังเป่าเล่อ”

บิดามารดาของหวังเป่าเล่อระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ทั้งสองรู้ดีว่าหลินโยวกำลังล้อพวกเขาเล่นเพื่อลดความประหม่า ในขณะเดียวกันก็พยายามจะบอกพวกเขาว่าหวังเป่าเล่อนั้นไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไป ชายชรากำลังพยายามเพิ่มพูนความมั่นใจในตัวหวังเป่าเล่อให้คนทั้งคู่

หวังเป่าเล่อปลาบปลื้มยินดีเป็นล้นพ้นกับสถานการณ์ตรงหน้า เขาหันไปโค้งคำนับหลินโยวอีกครั้ง

หลินโยวจัดการที่ทางไว้อย่างดี หลังจากที่ต้อนรับครอบครัวหวังเรียบร้อย เขาก็พาทั้งสามเดินทางไปยังเขตนครชั้นใน ใกล้ๆ ที่พักของเจ้านคร ก่อนจะให้หวังเป่าเล่อยืมบ้านขนาดค่อนข้างใหญ่เพื่อพักอาศัย

เป็นการให้ยืมแต่เพียงในนามเท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติคือการให้เปล่า

อาณาเขตของบ้านนั้นกว้างใหญ่ มีสนามหญ้าและสวนมากมาย แถมยังมีตำหนักอีกสามแห่ง สถานที่แห่งนี้ตกแต่งอย่างหรูหราแถมยังเงียบสงบ สถานที่เงียบสงบในนครที่วุ่นวายเช่นนี้มีราคาแพงลิบ ยิ่งไปกว่านั้น ที่พักนี้ยังอยู่ในเขตนครชั้นใน ทำให้หวังเป่าเล่อวางใจได้ในแง่ความปลอดภัย

หลินโยวได้จัดแจงหาข้ารับใช้ไว้ให้เช่นกัน ทว่าบิดามารดาของหวังเป่าเล่อไม่คุ้นชินกับการมีข้ารับใช้ หลังจากที่หวังเป่าเล่อปฏิเสธข้อเสนอนี้อย่างสุภาพ หลินโยวก็ขอตัวกลับไป

หลังจากที่หลินโยวและผู้ติดตามจากไปแล้ว บิดามารดาของหวังเป่าเล่อยังคงจ้องไปที่บ้านหลังใหญ่อย่างตื่นตะลึง พวกเขารู้สึกราวกับว่าอยู่ในความฝัน ความรู้สึกภาคภูมิใจในตัวบุตรชายเบ่งบานขึ้นมาในหัวใจอีกครั้ง

หลินโยวยังจัดแจงการต้อนรับเอาไว้อีก ไม่กี่วันต่อมา หลังจากที่พูดจาปราศรัยกับครอบครัวหวังเรียบร้อย แผนกโบราณคดีของนครก็ได้มีที่ปรึกษาคนใหม่ ได้แก่บิดาของหวังเป่าเล่อนั่นเอง!

ตำแหน่งใหม่ที่ค่อนข้างมีอิทธิพลก็ถูกแต่งตั้งขึ้นพร้อมๆ กัน ณ แผนกการศึกษาของนคร และผู้ที่ได้รับตำแหน่งนี้ก็คือมารดาของหวังเป่าเล่อนั่นเอง!

หลินโยวเชื่อว่าวิธีการปรับตัวเข้าสู่นครแห่งใหม่ไม่ใช่การป่าวประกาศว่าหวังเป่าเล่อเป็นใคร และให้มีผู้คนสอพลอจำนวนมากมารายล้อม  หากแต่คือการสร้างที่ทางในฝ่ายบริหารของนครศักดิ์สิทธิ์ให้บิดามารดาของหวังเป่าเล่อ เพื่อให้สะดวกแก่พวกเขาในการสร้างวงสังคมของตนเอง

ไม่มีความจำเป็นจะต้องโอ้อวดหรือซ่อนเร้นสถานะของพวกเขา แต่ปล่อยให้พบปะผู้คนตามธรรมชาติ อย่างไรเสีย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และไม่ว่าพวกเขาจะพบปัญหารูปแบบใด หากเป็นเรื่องที่หวังเป่าเล่อและหลินโยวสามารถแก้ไขได้ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด!

ผู้สูงอายุทั้งสองเริ่มทำงานในที่ทำงานแห่งใหม่ทันที พวกเขาเริ่มปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมและเริ่มมีงานการให้ทำฆ่าเวลา และในไม่ช้า ครอบครัวหวังก็เริ่มลงหลักปักฐานในนครศักดิ์สิทธิ์เป็นอันเรียบร้อย

บิดาของหวังเป่าเล่อมุ่งมั่นกับการทำงานอย่างยิ่ง กลับกันมารดาของเขากลับให้ความสำคัญกับงานแต่งงานของบุตรชายมากกว่า นางใช้เวลาส่วนมากหาสตรีผู้ซึ่งเหมาะสมจะมาเป็นคู่ครองให้ชายหนุ่ม

หวังเป่าเล่อเริ่มคิดว่าเขาควรจะกลับไปยังสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ตอนนี้หรือไม่ ชายหนุ่มจำเป็นต้องไปรับเคล็ดวิชาฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในและจัดการธุระบางประการ

ไม่กี่วันต่อมา หวังเป่าเล่อออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ ชายหนุ่มพุ่งทะยานด้วยความเร็วสูงจนดูคล้ายสายรุ้งไปยัง…สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset