หลังจากที่ได้พูดคุยรำลึกความหลังกับเฉินอวี่ถง ภาพของเซี่ยไห่หยางก็ผุดขึ้นมาในใจของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มเหม่อมองไปยังสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ด้วยอารมณ์ล้นปรี่ เขาเข้าใจดีว่าการที่ศิษย์ใหม่เข้ามาและศิษย์เก่าจากไปนั้นเป็นวัฏจักรที่ธรรมดายิ่งในทุกๆ ปีการศึกษาของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
ทุกๆ รุ่นและทุกๆ ปีเปรียบเสมือนคลื่นยักษ์ที่พัดพาทรายบนหาดออกไป ในแง่หนึ่งมันเป็นกระบวนการเพิ่มจำนวนผู้ฝึกตนให้สหพันธรัฐในยุคฝึกปราณอมตะนี้ ในอีกแง่หนึ่งก็เป็นการรวบรวมศิษย์ฝีมือเยี่ยมจำนวนมากให้สำนักศึกษาเต๋า กระบวนการนี้เป็นประเพณีของสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า และดำรงอยู่ในสำนักศึกษาเต๋าทั้งสี่มาตั้งแต่เริ่มอารยธรรมฝึกปราณบนโลกมนุษย์ หากว่าประเพณีนี้สามารถยืนหยัดสู้กับกระแสธารแห่งกาลเวลาได้ ก็จะดำรงอยู่ต่อไปในอนาคตได้อย่างแน่นอน
วิธีการที่บรรดาสำนักอื่นๆ ใช้นั้นแตกต่างกันออกไป ต่างก็มีข้อดีและข้อด้อยที่แตกต่างกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป แม้ว่าวิธีการเฟ้นหาศิษย์ของสำนักศึกษาเต๋าอาจถูกลอกเลียนโดยสำนักอื่นๆ หรือตระกูลต่างๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ แต่หวังเป่าเล่อก็รู้สึกได้ว่าอนาคตของสหพันธรัฐนั้นต้ย่อมตกอยู่ในกำมือของสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าอย่างแน่นอน
สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าแม้ขัดแย้งกันเองอยู่เป็นประจำ แต่หลังจากที่ได้สัมผัสมาเป็นเวลาหลายปี หวังเป่าเล่อก็เข้าใจดีว่าระบบการจัดการของสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋ามีจุดยืนที่มั่นคงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
และสิ่งนี้ก็คือรากฐานของสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าในยุคฝึกปราณอมตะนี้!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้อาวุโสสูงสุดหลี่ซิงเหวินกำลังจะบรรลุขั้นปราณ สำหรับสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าแล้วนั้น ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่ง แม้เรื่องนี้จะทำให้ความยิ่งใหญ่ของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมาอีกครั้ง แต่สำหรับสำนักศึกษาเต๋าอีกสามแห่ง การมีผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณก็ยังเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นอยู่นั่นเอง
ดังนั้นอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา หลังจากที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ได้ส่งคำเชิญไปยังสหพันธรัฐ ผู้สังเกตการณ์จากอีกสามยอดสำนักศึกษาเต๋าก็เดินทางมากันอย่างคับคั่ง
สำนักศึกษาเต๋ากวางขาว สำนักศึกษาเต๋ากวางขาวสาขาย่อย และสำนักศึกษาเต๋าธารสวรรค์…ประมุขสำนักและผู้อาวุโสชั้นสูงจากสำนักศึกษาเต๋าทั้งสามล้วนเดินทางมา กระทั่งผู้อาวุโสสูงสุดของแต่ละสำนักศึกษาก็ยังมาปรากฏตัว
ในเวลาเดียวกันนั้น บรรดาศิษย์แถวหน้าจากทุกสำนักก็มาถึงเช่นกัน ตามบันทึกที่พบในเศษชิ้นส่วนกระบี่ เมื่อใดก็ตามที่ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในบรรลุไปสู่ขั้นจุติวิญญาณ จะเกิดปรากฏการณ์ที่รวมพลังปราณจากสวรรค์และพื้นพิภพเข้าไว้ด้วยกัน และพลังนั้นจะช่วยให้บรรดาศิษย์เพิ่มพลังกายขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น
ส่วนกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า แม้พวกเขาจะต้องการเข้าร่วมสักเพียงใด แต่หากไม่ได้รับเทียบเชิญจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจเข้าร่วมได้ อย่างไรก็ตาม สามยอดสำนักศึกษาเต๋าเองก็ยังไม่อาจนั่งชมในบริเวณเดียวกับศิษย์จากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาต้องนั่งในที่ที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จัดเตรียมไว้ให้ ส่วนในสุดของเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงอนุญาตให้เข้าได้เพียงศิษย์จากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ บรรดาประมุขสำนักและผู้อาวุโสสูงสุดจากอีกสามยอดสำนักศึกษาเต๋าเท่านั้น
สำหรับศิษย์ที่เหลือ ต้องคอยมองดูจากท่าเรือด้านหน้าเกาะที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์สร้างขึ้น
การมาถึงของสามยอดสำนักศึกษาเต๋าเป็นสัญญาณว่าวันเวลาอันสงบสุขของหวังเป่าเล่อและกระต่ายน้อยกำลังจะจบลง ประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เรียกตัวชายหนุ่มรวมถึงศิษย์พี่ชายหญิงที่อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกันและมียศถาบรรดาศักดิ์ไล่เลี่ยกับเขา เพื่อไปต้อนรับแขกที่มาจากสำนักศึกษาเต๋าอื่นๆ
ผู้ที่เหมาะสมจะได้รับการเรียกตัวจากประมุขสำนักต่างก็มีพลังปราณอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นปลายเป็นอย่างน้อย และส่วนใหญ่มียศสูงกว่าขุนนางระดับสามชั้นรอง หากดูตามระบบของสหพันธรัฐแล้ว ทุกคนล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิทั้งสิ้นและต่างก็รู้จักกันชื่อเสียงดี แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเห็นหน้าค่าตาหวังเป่าเล่อมาก่อน แต่ทุกคนล้วนเคยได้ยินเรื่องของชายหนุ่มและพากันตื่นเต้นยินดีทันทีที่ได้พบเขาตัวเป็นๆ
นิสัยร่าเริงของหวังเป่าเล่อช่วยให้เขารู้จักเพื่อนใหม่ได้โดยง่าย ชายหนุ่มเป็นคนมีพรสวรรค์ด้านการจัดการความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ และเพียงพูดคุยกันไม่กี่ประโยค เขาก็สนิทชิดเชื้อกับกลุ่มคนเหล่านี้เป็นที่เรียบร้อย
แม้ว่าจะมียศเป็นถึงขุนนางระดับสองชั้นรอง แต่หวังเป่าเล่อก็ยังไม่ใช่ศิษย์ที่มียศสูงสุดในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ มีอีกคนหนึ่งที่เป็นขุนนางระดับสองชั้นรองเช่นเดียวกัน และอีกคนหนึ่งซึ่งมียศสูงกว่าเขาอยู่หนึ่งระดับ
คนแรกเป็นศิษย์พี่หญิง และอีกคนเป็นศิษย์พี่ชาย
ปราณของศิษย์พี่หญิงอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นต้น แต่นางก็อยู่ห่างจากชั้นกลางอีกไม่ไกล หญิงสาวไม่ได้ประจำอยู่บนโลก หากแต่เป็นรองเจ้าเมืองบนนครอาณานิคมดาวศุกร์!
นางดูมีอายุราวสามสิบปี และหน้าตาจะไม่โดดเด่น แต่รอยยิ้มกลับเพิ่มความสง่างามให้นางอย่างมาก นางทำให้ผู้คนที่รายล้อมอยู่รู้สึกว่าเป็นมิตรและเข้าหาง่าย หลังจากที่มองเห็นหวังเป่าเล่อ ศิษย์พี่หญิง ผู้มีนามว่าหลินหยุนฮุ่ยก็ส่งยิ้มมาให้
“ศิษย์น้องเป่าเล่อ หากเจ้ามีโอกาสก็แวะมาเที่ยวดาวศุกร์ได้นะ ในคุกใต้ดินที่ดาวศุกร์ยังมีสหายของเจ้าจากเหตุการณ์ที่เขตจันทราเวทอยู่อีกคนหนึ่ง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็นึกไปถึงหญิงชราจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพทันที นางถูกส่งไปที่นั่นหลังจากที่ถูกผู้อาวุโสสูงสุดจับกุมตัว
ขณะที่ความทรงจำเหล่านั้นค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาในใจ หวังเป่าเล่อก็หัวเราะพลางตอบคำอย่างเห็นด้วย ชายหนุ่มนัดแนะวันเวลากับศิษย์พี่หญิงก่อนจะถูกศิษย์พี่ชายที่เป็นขุนนางระดับสองชั้นสูงเพียงคนเดียวในกลุ่มดึงตัวไป
ศิษย์พี่ชายผู้นั้นก็คือซุนปู้เจิง!
ชื่อนั้นแปลกไม่เหมือนใครและติดตรึงอยู่ในใจหวังเป่าเล่อแทบจะในทันที ศิษย์พี่ชื่อปู้เจิงไม่เพียงเป็นผู้ที่มียศสูงสุดในบรรดาศิษย์สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่ยังมีตำแหน่งไม่เหมือนใครอีกด้วย!
เขาเป็นผู้บัญชาการหน่วยสอดแนมของสหพันธรัฐ หวังเป่าเล่อเพิ่งจะล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของหน่วยนี้ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกรมต่างๆ และรู้จักกันในนามกรมแห่งความมืด ก็เมื่อขึ้นมาเป็นขุนนางระดับสองชั้นรองแล้ว!
คำว่า ‘ความมืด’ ในที่นี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับสำนักแห่งความมืดแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะศูนย์บัญชาการของกรมนี้ตั้งอยู่บนดาวพลูโต และกิจการงานทุกอย่างของกรมถูกซ่อนจากสายตาสาธารณะชน ทำให้ได้รับชื่อนี้มา
ซุนปู้เจิงเป็นเสนาธิการของกรมแห่งความมืด ระดับทรัพยากรและอำนาจที่เขามีนั้นมากมายเสียจนน่าตกใจ ส่วนระดับพลังปราณก็อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลาย!
หวังเป่าเล่อมีท่าทีสุภาพเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้มีอำนาจเช่นซุนปู้เจิง ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มก็รู้สึกสงสัยเกี่ยวกับกรมของอีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง ซุนปู้เจิงเองก็สนใจในตัวหวังเป่าเล่อเช่นกัน เมื่อดึงตัวหวังเป่าเล่อออกมาได้ เขาจึงยิ้มและเอ่ยปากถาม
“ศิษย์น้องเป่าเล่อ เจ้าสนใจอยากจะเปลี่ยนตำแหน่งและมาทำงานบนดาวพลูโตบ้างหรือไม่ หากเจ้าตกลง เจ้าจะได้เป็นรองเสนาธิการกรมแห่งความมืดคนแรก และข้าจะจัดการเรื่องการโยกย้ายให้ทั้งหมด!”
“สวัสดิการในกรมแห่งความมืดนั้นถือว่าไม่เลว อีกอย่างหากเจ้ามา เจ้าก็จะเข้าถึงข่าวสารความลับได้ทั่วทั้งสหพันธรัฐ ขณะเดียวกัน กรมของเรายังเกี่ยวพันกับภารกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอารยธรรมต่างดาว…ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าขอรับรองว่าหากเจ้ามา เจ้าจะมองสหพันธรัฐและจักรพิภพเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน!”
แม้ว่าจะสนใจกรมแห่งความมืดเพียงใด หวังเป่าเล่อก็ไม่มีแผนจะย้ายออกจากดาวอังคาร แน่นอนว่า หากเขาไม่ได้เป็นเจ้าของวัตถุเวทแห่งความมืดบนดาวอังคาร ชายหนุ่มอาจสนใจ ทว่า ขณะนี้ หวังเป่าเล่อเกรงว่าหากทิ้งวัตถุเวทแห่งความมืดไว้เบื้องหลัง ต่อไปในอนาคตอาจมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงปฏิเสธข้อเสนอนี้ไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ซุนปู้เจิงไม่ได้ติดใจแต่อย่างใด เขายกมือตบบ่าหวังเป่าเล่อ ก่อนจะบอกว่าให้ติดต่อมาเมื่อใดก็ได้หากคิดจะเปลี่ยนใจ หลังจากนั้น ภายใต้การนำของประมุขสำนักแห่งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ทุกๆ คนก็เริ่มต้อนรับแขกจากอีกสามยอดสำนักศึกษาเต๋ากันอย่างแข็งขัน
บรรดาศิษย์หัวกะทิและประมุขสำนักของอีกสามยอดสำนักศึกษาเต๋าต่างก็รู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ชื่อของหวังเป่าเล่อเป็นที่เลื่องลือในหมู่พวกเขา และไม่นานนักบรรดาศิษย์ระดับหัวกะทิจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าก็จับกลุ่มคุยกันอย่างชื่นมื่น
หลังจากที่แขกจากสามยอดสำนักศึกษาเต๋าเดินทางมาถึงกันใกล้ครบแล้ว สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จำต้องให้ศิษย์ทุกคนมานั่งขัดทำสมาธิรออย่างเงียบสงบที่เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง เพราะไม่อาจรู้ได้ว่าหลี่ซิงเหวินจะบรรลุขั้นปราณเมื่อใด ส่วนสมาชิกจากอีกสามยอดสำนักศึกษาเต๋านั้นต้องนั่งรอด้านนอก
เมื่อมองจากท้องฟ้าด้านบน ก็จะเห็นผู้คนเรือนหมื่นที่มารวมตัวกันอยู่ทั้งภายในและภายนอกเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนพากันตั้งตารอการบรรลุขั้นของหลี่ซิงเหวิน และมันช่างเป็นภาพที่สวยงามอย่างยิ่ง!
ด้านหลี่ซิงเหวินก็ใช้เวลาไม่นานนักก่อนจะบรรลุขั้น สามวันต่อมาในตอนเช้าตรู่ ขณะที่สัญญาณเตือนดังกึกก้องจนได้ยินไปทั่วทุกหนแห่งในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ พลังอันมหาศาลก็แผ่ขยายออกมาจากตำหนักปรัชญาเต๋าบนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง!
ขณะที่พลังถูกปลดปล่อยออกมา ก็พลันปรากฏลำแสงที่เกิดจากการควบแน่นของปราณวิญญาณพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า พุ่งทะลุหมู่เมฆ ก่อให้เกิดเป็นประกายสายฟ้าสว่างวูบวาบอยู่ทั่วไป ขณะที่สายฟ้าฟาดเปรี้ยงปร้างเป็นคลื่นนั้นเอง หมู่เมฆก็หมุนวน ดูราวกับถูกโบกพัดด้วยมือขนาดมหึมาที่มองไม่เห็น ก่อนจะก่อตัวกันเป็นลูกแก้วพลังปราณขนาดยักษ์
ปราณนั้นแพร่กระจายไปทุกสารทิศ ก่อให้เกิดพลังงานที่รุนแรงและส่งเสียงดังสนั่นขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะเริ่มหมุนวนและรวมตัวกันเป็นพายุหมุนในหมู่เมฆที่เคลื่อนที่ไปรอบๆ ด้วยความเร็วสูง พลังดูดกลืนอันน่าสะพรึงกลัวผุดขึ้นมาจากภายใน ก่อนจะดึงปราณวิญญาณทั้งมวลในโลกให้เคลื่อนที่เข้าไปหา!
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ผู้คนจากทุกเมืองบนโลกล้วนมองเห็นเมฆซึ่งกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง สายลมรุนแรงโบกพัดไปในทิศทางเดียวกับเหล่าเมฆ พร้อมกับปราณวิญญาณทั้งมวล!
หากว่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในได้บรรลุขั้นจุติวิญญาณในอารยธรรมยุคฝึกปราณอมตะที่พลังปราณทั้งเข้มข้นและแก่กล้า เหตุการณ์เหล่านี้จะไม่บังเกิดขึ้น แต่เพราะบนโลกมนุษย์ ปราณวิญญาณนั้นอยู่ไปทั่วท้องฟ้า จึงก่อให้เกิดฉากอันน่าตื่นตะลึงเหล่านี้ระหว่างการบรรลุขั้นของหลี่ซิงเหวินนั่นเอง