ศึกระหว่างพยัคฆ์และมังกร
“อาณาเขตกงเวทสวรรค์ มู่เฉินจากหอวิหคโลกันตร์ ขอคำชี้แนะด้วย!”
ชายหนุ่มยืนไว้สง่าบนอากาศ เสียงที่เปล่งออกมาดึงดูดสายตานับไม่ถ้วนของจอมยุทธ์แดนร้อยสงครามให้มองมาหา จากนั้นเสียงอื้ออึงก็ดังขึ้นตามคาด
เสียงนั้นเต็มไปด้วยความสงสัยและกลั้วหัวเราะ เพราะพวกเขาต่างมองออกว่าชายหนุ่มตรงหน้ามีขุมพลังจื้อจุนขั้นสองเท่านั้น แม้จะเป็นในแดนร้อยสงครามพลังระดับนี้ก็ถือว่าพอไปวัดไปวาได้ แต่ถ้าเขาต้องการจะเทียบกับแม่ทัพทรงพลังอย่างฉิงเปย หลินชิงเฟิงและคนอื่นๆ เขายังต้องพัฒนาฝีมืออีกมาก
“ไม่มีใครในอาณาเขตกงเวทสวรรค์แล้วหรือไง? ถึงส่งเด็กน้อยมา ถ้าอยากยอมแพ้ก็พูดออกมาเลยจะง่ายกว่านะ”
“ฮ่าๆ พูดถูก”
“…”
ขณะที่เสียงเยาะเย้ยดังสะท้อน ชายหนุ่มบนท้องฟ้าก็ยังคงท่าทีสงบนิ่ง เขาดูเหมือนจะไม่โกรธไปกับคำเยาะเย้ยเหล่านั้นเลย
“หึ เจ้านั่นอีกแล้ว!”
ฝั่งแดนร้อยสงคราม ฉิงเทียนกังสาดสีหน้ามืดครึ้มเมื่อมองมู่เฉิน ฉิงหลิงที่อยู่เบื้องหลังก็มีใบหน้าเขียวคล้ำ สำนักสายฟ้าปีศาจแตกฉานซ่านเซ็นด้วยฝีมือของมู่เฉิน ช่างเป็นหายนะใหญ่หลวง ดังนั้นตอนนี้ที่เขาเห็นมู่เฉิน ดวงตาก็โชนด้วยสีแดงฉาน
“ไอ้เด็กเหลือขอไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ มันคิดหรือว่าฉิงเปยเป็นคนที่ใครก็สามารถมาท้าทายได้เรอะ” ฉิงหลิงขบฟันแน่นขณะพ่นคำพูดที่อัดแน่นไปด้วยความถางถาง มู่เฉินเอาชนะเขาได้ แต่นั่นเป็นเพราะการควบคุมรัศมีจั้นยี่ที่เหนือกว่า ทว่าการประลองนี้ไม่มีกองทัพเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงเป็นเรื่องอวดดีเกินไปที่เขาออกสู้ ไม่รู้จริงๆ ว่าประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์คิดอย่างไรถึงวางศึกสำคัญไว้ในมือชายหนุ่มคนนี้
“ข้าจะดูสิว่ามันจะตะเกียกตะกายยังไงหลังจากได้สัมผัสกับความทรงพลังของฉิงเปย” ฉิงหลิงมองมู่เฉินด้วยสายตาน่าขนลุก เขาแทบจะอดรนทนไม่ไหวที่จะเห็นสภาพยับเยินของอีกฝ่าย
ขณะที่พวกเขากระซิบกระซาบ ฉิงเปยที่สวมชุดสีฟ้าอมเขียวก็เงยหน้าขึ้นมองมู่เฉิน ไม่มีร่องรอยสบประมาทอยู่บนใบหน้าเขาแม้แต่น้อย เนื่องจากคนที่มาได้ไกลขนาดนี้ย่อมไม่ใช่คนโง่เขลาอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นต่อให้มู่เฉินอ่อนแอจริงๆ เขาก็จะสู้เต็มแรง เพราะความมั่นคงนี้ทำให้เขาประสบความสำเร็จอยู่ได้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
แม้แต่ราชสีห์ยังออกล่ากระต่ายอย่างเต็มกำลัง
“ฉิงเปย ครั้งนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” เฒ่าเร้นกระบี่เอ่ยเสียงขรึมขณะมองฉิงเปย
ฉิงเปยพยักหน้าไม่เอ่ยอะไร เขาก้าวไปข้างหน้าเคลื่อนไปปรากฏตรงหน้ามู่เฉิน เสียงสงบนิ่งดังขึ้น
“แดนร้อยสงคราม ฉิงเปยจากพิลาลสสวรรค์”
มู่เฉินเพ่งความสนใจไปที่ชายท่าทางสงบนิ่ง แม้อีกฝ่ายจะยังไม่หมุนเวียนคลื่นหลิง แต่แรงกดดันเบาบางที่แผ่ออกมาก็ทำให้มู่เฉินรู้ว่าคนตรงหน้าแข็งแกร่งกว่าฉิงหลิงสำนักสายฟ้าปีศาจเสียอีก
เห็นชัดว่าพลังของฉิงหลิงอย่างน้อยก็ต้องอยู่ในขอบเขตระดับจื้อจุนขั้นสามแล้ว
“ได้รับการเลือกเฟ้นจากประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ได้ทั้งที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นสอง คิดว่าน่าจะมีอะไรบางอย่างพิเศษในตัวเจ้าสินะ หวังว่าเจ้าจะชี้แนะให้หน่อย” ฉิงเปยมองมู่เฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีกพลางกระทืบเท้าลง มิติเบื้องหลังบิดเบี้ยวขณะจุดจื้อจุนไห่กว้างใหญ่ไพศาลปรากฏขึ้นเลือนรางพร้อมกับคลื่นหลิงพวยพุ่งกวาดออกมาระหว่างสวรรค์และโลก
ความผันผวนของคลื่นหลิงเลยระยะปลายสุดของระดับจื้อจุนขั้นสามไปแล้ว มากจนกระทั่งฉิงเปยอีกครึ่งก้าวก็จะบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ ตราบใดที่เขายังเพาะบ่มอย่างต่อเนื่อง เขาก็อาจสามารถบรรลุกลายเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่เต็มตัว!
ฝั่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แต่ละคนฉายสีหน้าน่าเกลียดเมื่อรู้สึกถึงคลื่นหลิงที่แผ่ออกมาจากฉิงเปย สูชิงกับโจวเยี่ยยิ่งมีสีหน้าขรึมลง พลังของพวกเขาอยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นสาม แต่ก็ยังด้อยกว่าฉิงเปยเล็กน้อย หากพวกเขาเป็นคนที่ต้องลงประลอง ผลลัพธ์ที่ออกมาคงจะไม่สวยนัก
ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่งพลางถอนใจ แม้ฉิงเปยจะดูธรรมดาที่สุด แต่พลังกลับแข็งแกร่งที่สุด
“เสมือนระดับจื้อจุนขั้นสี่เรอะ?”
มู่เฉินฉายสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อมองฉิงเปยเช่นกัน พลังระดับนี้แข็งแกร่งที่สุดในหมู่แม่ทัพทั้งหลายที่เขาเคยเจอเลยทีเดียว
ชี่! ชี่!
แสงเรืองรองแล่นแปลบปลาบบนผิวกายของมู่เฉิน อึดใจเขาก็กำหมัดร่างห่อหุ้มอยู่ในสายฟ้าอย่างรวดเร็วขณะลวดลายสายฟ้าเก้าโคจรปรากฏบนแผ่นอก
เขาเร้าวิชากายาเทพสายฟ้าจนถึงขีดสุดพร้อมกับสายตาเปลี่ยนเป็นเย็นเยือก ฝ่าเท้ากระทืบลง ทำให้มิติบิดเบี้ยว ร่างของเขาหายไปอย่างประหลาด
เมื่อร่างของมู่เฉินหายไป สายตาของฉิงเปยก็วูบไหว จากนั้นก็วาดตราประทับขึ้นด้วยมือข้างหนึ่งอย่างรวดเร็ว และตบไปยังมิติเบื้องหลัง ภายในตราประทับคลื่นหลิงมหาศาลราวกับมหาสมุทรพวยพุ่งออกไปพร้อมกัน
ตู้ม!
รอยร้าวมิติปรากฏขึ้นฉับพลันที่เบื้องหลังฉิงเปย ภาพมังกรพล่านออกมาก่อตัวเป็นร่างมู่เฉินอย่างรวดเร็ว หมัดทรงพลังเปลี่ยนเป็นสายฟ้าพุ่งเข้าใส่หัวของฉิงเปย
ขณะเดียวกันตราประทับของฉิงเปยก็ทะยานออกไป
หมัดและตราประทับปะทะกัน
ตึง!
คลื่นกระแทกเกรี้ยวกราดกวาดออก ร่างของมู่เฉินสั่นเทิ้ม จากนั้นก็กระเด็นออกไป เขากระทืบเท้าหนักๆ บนอากาศเพื่อทรงตัว ความรู้สึกชาด้านแผ่ออกมาจากหมัดของเขา
เขาเงยหน้าขึ้นมองฉิงเปย อีกฝ่ายก้าวถอยกลับไปเพียงไม่กี่ก้าว เห็นชัดว่าการโจมตีของเขาที่ใช้วิชามังกรทะยานเคลื่อนที่ผ่านมิตินั้นไม่ส่งผลใดมากนัก
“ขุมพลังจื้อจุนขั้นสองแต่กลับสามารถเคลื่อนที่ผ่านมิติได้ในระยะสั้นๆ เจ้ามีฝีมือไม่น้อยจริงๆ” ฉิงเปยมองมู่เฉินพลางเอ่ยเสียงเรียบ
มู่เฉินยิ้ม แต่ไม่ได้ตอบอะไร
“ข้าไม่ชอบหยั่งเชิงเวลาสู้กับคนอื่น อย่าหาว่าข้าไม่ให้โอกาสเจ้าแสดงฝีมือแล้วกัน” ฉิงเปยยิ้ม แต่รอยยิ้มช่างเย็นเยือก เขาสะบัดมือ เสื้อคลุมปลิวไสวไปตามสายลม เมื่อเกิดการสะบัด คลื่นหลิงที่ราวกับมหาสมุทรผืนใหญ่ก็กวาดออกมาจากทุกทิศทาง
ร่างเขาเคลื่อนไหวไปปรากฏบนท้องฟ้า มือยื่นออกมากดลงบนมิติที่มู่เฉินยืนอยู่ เมื่อออกแรงกดลงลวดลายแสงเปล่งประกายก็ก่อตัวเป็นป้ายหินอันหนึ่ง
ตู้ม!
คลื่นหลิงเรืองรองแพร่กระจายออกไปพร้อมกับที่ฉิงเปยกดมือลงมา ก่อตัวเป็นฝ่ามือคลื่นหลิงขนาดใหญ่ ตรงใจกลางฝ่ามือมีป้ายหินลึกลับระเบิดแสงจ้า ฝ่ามือดูราวกับสามารถสยบภูเขาและแม่น้ำได้
“ฝ่ามือจารึกมหาเทพ!”
เมื่อฉิงเปยตะโกนออกมา เงาฝ่ามือคลื่นหลิงก็ปกคลุมร่างของมู่เฉินปิดกั้นทางหนีทีไล่ไว้จนหมด
ฮา
มู่เฉินสูดหายใจลึกสุดปอดขณะที่แสงเย็นเยือกพวยพุ่งในม่านตาสีดำ อึดใจต่อมารัศมีชั่วร้ายเชี่ยวกรากก็พลุ่งพล่านขึ้นสู่ขอบฟ้าขณะที่เสาปีศาจขนาดใหญ่ปรากฏออกมาในพริบตา มู่เฉินกอดแขนทั้งคู่แล้วยกขึ้นเหวี่ยงฟาดใส่ฝ่ามือคลื่นหลิงจังใหญ่
ตึง! ตึง!
พายุคลื่นหลิงน่ากลัวกวาดออกมาไม่จบสิ้น ภายใต้แรงกดดันจากฝ่ามือขนาดใหญ่ มู่เฉินกับเสาปีศาจก็ค่อยๆ จมลงบนพื้นดิน การปะทะกันกระบวนท่านี้ ชัดว่าฉิงเปยที่มีคลื่นหลิงหนาแน่นกว่าเป็นฝ่ายได้เปรียบ
ตึง!
ร่างของมู่เฉินร่วงลงบนยอดเขาลูกหนึ่ง ทำให้ภูเขาถล่มลงทันที เสาปีศาจค้ำยันฝ่ามือขณะที่ร่างมู่เฉินกะพริบวาบไหวด้วยสายฟ้ารุนแรง เสียงคำรามลึกดังจากในลำคอ ลวดลายปีศาจโบราณเต้นยุบยับบนเสาปีศาจ รัศมีชั่วร้ายที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกหวาดกลัวระเบิดออกมามืดฟ้ามัวดินในเวลานี้
ตู้มมม!
แสงสีแดงร้ายกาจมาพร้อมกับเสาปีศาจเจาะทะลุผ่านมือทำลายลง
เมื่อฝ่ามือแตกสลาย สีหน้าของมู่เฉินก็ไม่ได้ผ่อนคลายลงแต่กลับเคร่งเครียดหนักกว่าเดิม บนท้องฟ้าป้ายหินขนาดใหญ่ที่ประทับบนฝ่ามือก็ทิ้งตัวลงมาอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ภูเขายังแสดงสัญญาณถล่มลงจากแรงกดดันคลื่นหลิงทรงพลัง
อย่างที่ฉิงเปยบอก เขาไม่ออมมือในการสู้กัน การโจมตีบ้าคลั่งนี้สามารถสังหารได้แม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามเลยทีเดียว
เหล่าจอมยุทธ์ในฝั่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์รู้สึกหวาดผวากระบวนท่านี้ของฉิงเปยยิ่งนัก แม้แต่สูชิงกับโจวเยี่ยยังมีสีหน้าไม่น่าดู เพราะพวกเขารู้ว่าถ้าเป็นตนคงพ่ายแพ้กับชุดการโจมตีเช่นนี้ไปแล้ว
เพียงแค่ไม่รู้ว่ามู่เฉินจะรับมือกับการโจมตีนี้ได้อย่างไร?
สายตาของพวกเขาพุ่งตรงไปยังยอดเขาที่ถล่มลง ชายหนุ่มถือเสาปีศาจยืนจังก้าอยู่บนหินก้อนใหญ่ แม้ว่าใบหน้าหล่อเหลาของเขาจะดูเคร่งเครียดร้ายแรง แต่ก็ยังคงสงบนิ่งไร้ความหวาดกลัว
ถังปิงกับเหล่าจอมยุทธ์หอวิหคโลกันตร์กำหมัดแน่น ดวงตาอัดแน่นด้วยแววกังวล
ฝั่งแดนร้อยสงคราม จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนกำลังผ่อนคลายลง ในสายตาพวกเขาผลการประลองคู่สุดท้ายได้เผยออกมาแล้ว ภายใต้การโจมตีของฉิงเปย ไอ้เหลือขอที่ชื่อมู่เฉินตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ฝ่ามือจารึกบีบกดลงมาสะท้อนในดวงตาของมู่เฉิน ก็ดูราวกับจะถล่มภูเขาปั่นป่วนทะเล ทว่าไม่มีความหวาดกลัวใดๆ ในดวงตาเลย เขากลับค่อยๆ หลับตาลงฝ่ามือทั้งสองข้างวาดตราประทับขึ้น
แสงสีทองเจิดจ้ากวาดออกมาท่ามกลางฝ่ามือที่กดลงมา ทันใดนั้นแสงก็กวาดปกคลุมไปทั่วบริเวณ
ตู้ม! ตู้ม!
เสียงระเบิดดังกึกก้อง ทำให้โลกสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น เทือกเขาถล่มลงเป็นแถบ รอยแตกมหึมาแผ่ซ่านออกไปสุดสายตา
ฝุ่นผงฟุ้งกระจายออกไป
ทั้งสมรภูมิตกอยู่ในความเงียบ ขณะที่จอมยุทธ์จำนวนมากของอาณาเขตกงเวทสวรรค์มีสีหน้าตึงเกร็ง ส่วนแดนร้อยสงครามอดไม่ได้ที่จะอ้าปากหัวเราะ…
ทว่าเสียงหัวเราะก็คงอยู่เพียงชั่วครู่ เมื่อแสงสีทองกำจายออกมาจากกลุ่มฝุ่นที่โหมกระพือ แม้แต่ฉิงเปยที่มีสีหน้าสงบนิ่งอยู่บนอากาศยังอดไม่ได้ที่จะสีหน้าเปลี่ยนไป
เขาสะบัดมือกวาดลมพายุรุนแรงออกไป เมื่อฝุ่นถูกกวาดออกเขาก็ต้องหรี่ตาเมื่อเห็นร่างใหญ่โตขนาดพันจั้งยืนตระหง่านอยู่บนซากเทือกเขาหักพังพร้อมกับดวงตะวันสีทองโชติช่วงแผ่อยู่เบื้องหลังศีรษะ ขณะเดียวกันแรงกดดันที่ไม่อาจอธิบายได้ก็แผ่ปกคลุมออกมา
บนหัวของร่างทองคำพันจั้ง มู่เฉินยืนอยู่เงียบๆ โดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เขาเงยหน้ามองไปที่ฉิงเปย เมื่อสองสายตาฟาดฟันกัน ไอเย็นเยือกและประกายไฟก็แล่นพล่าน แม้แต่มิติระหว่างสายตายังบิดเบี้ยว
การประลองนี้เป็นศึกระหว่างพยัคฆ์และมังกรอย่างแท้จริง!