ฝึกฝนสำเร็จ
หลังแยกจากหั่วเม่ยเอ๋อแล้ว
มู่เฉินก็กลับไปยังสถานที่ที่เขาเคยเพาะบ่มพลังมาก่อน เนื่องจากการสังหารหมู่ที่เขาได้ทำก่อนหน้านี้ ทำให้จำนวนของอสรพิษเพลิงวิญญาณที่นี่ลดน้อยลงมาก ดังนั้นที่นี่จึงเหมาะสมที่จะใช้เป็นจุดเก็บตัวเพื่อเข้าสมาธิ
มู่เฉินเปิดช่องในถ้ำเข้าไป จากนั้นก็นั่งลงหลับตาเข้าสู่สภาวะการฝึกฝน
เขาไม่ได้เร่งรีบชำระแก่นเพลิงวิญญาณที่ได้จากแมงป่องมังกรเพลิง ลำดับแรกเขาเลือกฟื้นพลังอย่างเงียบๆ เพื่อปรับสภาพ
เพราะเขารู้สึกได้ถึงคลื่นหลิงบริสุทธิ์ในแก่นเพลิงวิญญาณ นี่ไม่ใช่งานง่ายที่จะชำระคลื่นหลิงเพลิงนี้ ดังนั้นเขาต้องเตรียมพร้อมก่อนที่จะชำระมัน
เขาต้องปรับสภาพให้อยู่ในจุดสูงสุด
กระบวนการนี้ใช้เวลาสิบวันเต็ม ภายในสิบวันมู่เฉินราวกับก้อนหินที่ปล่อยให้เวลาเคลื่อนผ่านไปตามความพอใจ ไม่มีความร้อนรนเกิดขึ้นแม้แต่น้อย เขาหลับตาดำดิ่งลงไปในจุดจื้อจุนไห่ ปล่อยให้คลื่นหลิงไหลไปกับคลื่น
เมื่อถึงวันที่สิบ ในที่สุดดวงตาที่ปิดสนิทของมู่เฉินก็ค่อยๆ เปิดขึ้น แสงหลิงบางจางไหลวนอยู่ในนัยน์ตา แม้แต่ผิวหนังก็มันวาวขึ้นเป็นชั้นๆ
นี่คือสัญญาณบอกว่าคลื่นหลิงในร่างกายได้ถึงขีดจำกัดแล้ว
หลังจากเข้าสมาธิลึกสิบวัน มู่เฉินก็รับรู้ได้ว่าจุดจื้อจุนไห่ถูกเติมเต็มเรียบร้อย เนื่องจากความจริงที่ว่าคลื่นหลิงของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนกว้างใหญ่เกินไปจึงสามารถบรรจุไว้ในจุดจื้อจุนไห่เท่านั้น แต่จุดจื้อจุนไห่ก็ใช่ว่าจะไม่ไร้ขอบเขต แต่จะขยายออกไปด้วยการเพิ่มขึ้นของพลังผู้ฝึก
ดังนั้นหากมู่เฉินต้องการบรรลุขุมพลัง เขาก็ต้องเลือกเข้าสู่ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามให้สำเร็จเท่านั้น
“ประมาณนี้แหละ”
มู่เฉินกำหมัดช้าๆ สัมผัสถึงความกว้างใหญ่และไร้ขอบเขตของคลื่นหลิงที่ราวกับมหาสมุทรในร่างของตนเอง เขาอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจอย่างพึงพอใจ ความปีติที่มาพร้อมกับพลังทำให้มึนเมาแท้จริง
เพียงพลิกนิ้ว แสงสีแดงขนาดหนึ่งจั้งก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับลาวาที่เหมือนผลึกอัญมณีไหลเอื่อยอยู่ภายใน ความบริสุทธิ์ของคลื่นหลิงทำให้แม้แต่ถ้ำนี้ยังดูสลัวรางลง
เมื่อเรียกแก่นเพลิงวิญญาณออกมา มู่เฉินก็สะบัดมืออีกครั้ง กระแสธารเป็นประกายและโปร่งใส่ไหลออกลอยอยู่บนอากาศช้าๆ พร้อมกับส่งเสียงซัดสาดออกมา
กระแสธารนี้ก่อตัวจากของเหลวจื้อจุนนับหมื่นหยด เนื่องจากความจริงที่คลื่นหลิงในแก่นเพลิงวิญญาณรุนแรงเกินไป จึงต้องอาศัยคลื่นหลิงที่อ่อนโยนและบริสุทธิ์มาช่วยทำให้เป็นกลาง เพื่อจะให้ได้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบ
มู่เฉินมองสมบัติล้ำค่าทั้งสองก็อดเบ้ปากไม่ได้ นอกจากพรสวรรค์ ทรัพยากรก็นับว่าเป็นสิ่งสำคัญในเส้นทางการเพาะบ่มคลื่นหลิง ปริมาณของเหลวจื้อจุนที่จำเป็นในการบรรลุ เพียงพอที่จะทำให้คนที่ไม่มีแรงสนับสนุนใดๆ ต้องถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
มิน่าล่ะอัจฉริยชนส่วนใหญ่ถึงเป็นพวกที่มีเบื้องหลังดีเยี่ยม ฝึกด้วยทรัพยาการตั้งแต่เด็ก ก็เป็นธรรมดาที่คนทั่วไปไม่อาจเทียบได้
มู่เฉินสูดหายใจลึกพร้อมกับหลับตาลงอีกครั้ง ด้วยความคิดในหัวใจ ลาวาก็เทลงมาจากแก่นเพลิงวิญญาณที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของเขา
ชี่! ชี่!
เมื่อลาวาเดือดราดรดลงบนศีรษะ ก็เกิดเป็นเสียงน้ำซัดสาด ใบหน้าของมู่เฉินบิดเบี้ยวจากความปวดแสบปวดร้อน
ลาวาไหลลงมาตามร่างกายครึ่งหนึ่ง ปกคลุมไปทีละชั้น ไม่กี่อึดใจครึ่งหนึ่งของร่างกายมู่เฉินก็ถูกปกคลุมอยู่ในชั้นหนาของลาวา
ฟิ้ว!
เวลาเดียวกันสายธารของเหลวจื้อจุนก็เทลงมา เปลี่ยนเป็นแก้วผลึกปกคลุมร่างอีกครี่งหนึ่งของมู่เฉิน
ตอนนี้มู่เฉินนั่งเงียบๆ อยู่บนก้อนหิน ร่างกายครึ่งหนึ่งปกคลุมด้วยลาวา อีกครึ่งหนึ่งปกคลุมด้วยของเหลวเป็นประกาย ของวิเศษทั้งสองชนิดเลื่อนไหลลงช้าๆ กลายเป็นภาพที่ประหลาดอย่างยิ่ง
เมื่อผิวกายของมู่เฉินเข้าสู่สภาวะที่ประหลาดนี้ ภายในร่างก็เกิดความเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงเช่นกัน
จิตดำดิ่งลง ก็เห็นภายในร่างเปลี่ยนเป็นสีแดง ของเหลวที่ราวกับว่าลาวาแทรกซึมเข้าในร่างจากรูขุมขน จากนั้นก็ปกคลุมทั่วทั้งสรรพางค์กายราวกับคลื่นยักษ์
ชี่! ชี่!
ในเส้นทางของลาวา เลือดเนื้อราวกับกำลังจะละลายขณะที่ความเจ็บปวดที่ทนทานไม่ไหวกระจายออก ทำให้เส้นสายภายในสั่นกระตุกไปหมด
ความครอบงำของแก่นเพลิงวิญญาณแมงป่องมังกรเพลิงแข็งแกร่งกว่าแก่นเพลิงวิญญาณอสรพิษเพลิงวิญญาณที่มีอายุร้อยปีไม่รู้กี่เท่า!
แต่โชคดีที่มู่เฉินเตรียมตัวไว้พร้อมแล้ว เมื่อความครอบงำของคลื่นหลิงลาวาบ่าเข้าไปในร่างกาย ของเหลวจื้อจุนอ่อนโยนและเย็นเยือกก็พรั่งพรูเข้ามาอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าปะทะกับลาวา
ชี่! ชี่!
พูดโดยทั่วไปเมื่อคลื่นหลิงที่แตกต่างกันสองชนิดปะทะกัน ก็ย่อมเกิดการแข่งขันด้านความแข็งแกร่ง แต่จากความจริงที่ของเหลวจื้อจุนอ่อนโยนอย่างยิ่ง มิหนำซ้ำยังเป็นพลังงานที่ง่ายต่อการชำระและดูดซึม ดังนั้นเมื่อคลื่นหลิงทั้งสองเจอกัน มันก็หลอมรวมเข้ากับคลื่นหลิงลาวาสลายความรุนแรงภายในนั้นไปได้
มู่เฉินก็เล็งเห็นโอกาสเร้าวิชามหาเจดีย์ในทันที เขาชำระคลื่นหลิงในเส้นสายแล้วเทลงในจุดจื้อจุนไห่
ท้องฟ้าฉีกออกในจุดจื้อจุนไห่ ลาวาไหลบ่าลงมา ทำให้ระดับทะเลพลังเพิ่มขึ้นจากการไหลลงมาอย่างไม่มีสิ้นสุด
การเพาะบ่มของมู่เฉินเริ่มเข้าสู่กระบวนการทีละขั้นแล้ว
ภายใต้การฝึกฝนของมู่เฉิน หนึ่งเดือนก็ผ่านไป
บนแท่นหินเหนือบ่อเพลิงข่ายฟ้า ร่างหลายคนนั่งอยู่เงียบๆ หายใจเอาคลื่นหลิงลาวาร้อนแรงเข้าไปเพื่อใช้ชำระร่างกายและเส้นสายของพวกเขา
บนแท่นหินแท่นหนึ่ง หั่วเม่ยเอ๋อยืนเงียบๆ ขณะปิงซินกับเหล่าแม่ทัพรวมตัวกันอยู่เบื้องหลังนาง
“เจ้านั่นยังฝึกไม่เสร็จอีกเหรอ?” หั่วเม่ยเอ๋อยืดเอวบิดขี้เกียจเผยส่วนโค้งเว้างดงาม เสียงของนางนุ่มนวลและสะกดใจอย่างยิ่ง
ทว่าที่เบื้องหลัง นอกจากสายตาปิงซินที่มองส่วนโค้งเว้าตรงหน้า สามแม่ทัพต่างหลุบตาลง ส่วนนักรบกงเวทสวรรค์ ที่อยู่รอบด้านก็หรี่ตาลงไม่กล้าหันมองเลยสักนิด เห็นชัดว่าแม่ทัพใหญ่ผู้นี้เป็นที่เคารพนับถือในหน่วยรบกงเวทสวรรค์
ปิงซินพยักหน้าอย่างเย็นชา “เขาน่าจะพยายามบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นสามอยู่ แต่แค่ไม่รู้ว่าเขาจะทำสำเร็จหรือไม่เท่านั้นเอง”
“เขาค่อนข้างบุ่มบ่ามไปสักหน่อย” ที่ด้านข้างปิงซิน แม่ทัพคนหนึ่งส่ายหน้า มู่เฉินฝึกฝนอยู่ที่นั่นแค่สองเดือน โอกาสที่เขาจะบรรลุขุมพลังจึงมีไม่สูงนัก
“เขาได้แก่นเพลิงวิญญาณแมงป่องมังกรเพลิงไป ถ้าเขาชำระและดูดซับได้ก็น่าจะบรรลุขุมพลังได้” หั่วเม่ยเอ๋อพูดพร้อมเผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์
พอได้ยินคำพูดดังกล่าว สีหน้าของแม่ทัพทั้งสี่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เนื่องเพราะพวกเขารู้ว่าแมงป่องมังกรเพลิงน่ากลัวขนาดไหน แม้แต่พวกเขายังไม่สามารถล่ามันได้ แล้วมู่เฉินทำสำเร็จได้อย่างไร?
“ก่อนหน้าพี่ใหญ่บอกว่าได้อสรพิษเพลิงวิญญาณสามหัวเพราะมันสู้กับแมงป่องมังกรเพลิงใช่ไหม?” สายตาของปิงซินสั่นไหว นางหวนนึกถึงคำพูดที่หั่วเม่ยเอ๋อพูดกับนางมาก่อนหน้า
“ใช่ แก่นเพลิงวิญญาณของมู่เฉินเป็นของแมงป่องมังกรเพลิง” หั่วเม่ยเอ๋อพยักหน้า
“พี่ใหญ่ช่วยเหลือเขาแบบนี้ถือว่าแหกกฎนะ ประมุขบอกว่าเขาต้องพึ่งพาตัวเองในการฝึก” ปิงซินเอ่ยพลางขมวดคิ้ว
“ข้าเปล่าช่วยเขานะ” หั่วเม่ยเอ๋อจือปากเบาๆ เอ่ยต่อ “เขาทำเอง”
พอได้ยินคำพูดของนาง ปิงซินก็อึ้งไป เพราะหั่วเม่ยเอ๋อไม่มีเหตุผลที่จะต้องโกหก แต่มู่เฉินที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นสองเท่านั้น ต่อให้แมงป่องมังกรเพลิงได้รับบาดเจ็บสาหัส ก็ไม่น่าจะฆ่ามันได้
“ประมุขบอกว่าเขาจะต้องผ่านค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงให้ได้ใช่ไหม?” หั่วเม่ยเอ๋อเบนสายตามาถามขึ้นในทันที
ปิงซินพยักหน้าก่อนถามกลับ “พี่ใหญ่คิดว่าเขามีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จไหม?”
“ยาก”
หั่วเม่ยเอ๋อครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าพูดเบาๆ “ค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงเป็นบททดสอบสำหรับผู้ต้องการเลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพในหน่วยรบกงเวทสวรรค์ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ที่ไม่คุ้นเคยยังไม่อาจผ่านไปได้ ต่อให้ตอนนี้เขาบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นสามได้ก็ยากที่จะทำลายค่ายกล”
“แต่ว่า…”
เมื่อพูดถึงตอนนี้ หั่วเม่ยเอ๋อก็หยุดชะงัก นางนึกถึงตอนที่ชายหนุ่มเหี้ยมหาญเพียงใดขณะที่เผชิญหน้ากับแมงป่องมังกรเพลิง นางก็เม้มปาก “อย่าดูถูกหนุ่มน้อยคนนั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความสามารถของเขาว่าจะผ่านค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงไปได้หรือไม่”
ปิงซินและคนอื่นอึ้งไปเล็กน้อย เพราะไม่มีใครมองโลกสวยเกี่ยวกับเรื่องของมู่เฉิน แต่ก็ไม่คิดว่าหั่วเม่ยเอ๋อจะมีร่องรอยความไม่แน่ใจปะปนอยู่ด้วย
“อย่างไรก็ตามที่ทำได้ก็คือตามดูล่ะนะ มีเวลาเหลือเพียงครึ่งเดือนกว่าจะถึงเส้นตายของกำหนดเวลา” หั่วเม่ยเอ๋อยิ้มก้มมองลงไปที่บ่อเพลิงข่ายฟ้าด้วยดวงตาเป็นประกาย
อีกสิบวันผ่านไปเงียบๆ ภายใต้การรอคอยของหั่วเม่ยเอ๋อและคนอื่นๆ
เหลือเพียงห้าวันก็จะถึงเส้นตายของเวลาสามเดือนแล้ว
นักรบกงเวทสวรรค์ทุกคนลืมตาขึ้น เห็นชัดว่าเมื่อมีคนนอกกำลังจะท้าทายค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิง พวกเขาก็ต้องการเป็นพยานกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนี้
แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ชายหนุ่มที่ชื่อมู่เฉินคิดจะหลบเลี่ยงรึ?
บางคนอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะกับความคิดเช่นนั้น
การรอคอยกินเวลาไปอีกสามวัน
หั่วเม่ยเอ๋อนั่งบนก้อนหินใหญ่ขณะเรือนผมสีแดงเพลิงสยายไปตามแรงลม ทันใดนั้นนางก็ฉายสีหน้าเปลี่ยนไปพลางเงยหน้ามองร่างแสงที่พุ่งตรงมาหาก่อนจะลอยอยู่บนอากาศ
คนที่นำหน้ามีรูปร่างเล็กแต่กลับแผ่แรงกดดันน่ากลัวออกมา ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์นอกจากมั่นถัวหลัวแล้ว ก็ไม่มีใครที่มีแรงกดดันน่ากลัวเช่นนี้อีก
ที่เบื้องหลังมั่นถัวหลัว ไม่เพียงจิ่วโยวจะตามด้วย แม้แต่เหล่าจอมพลและผู้บัญชาการก็ติดตามมาเช่นกัน การรวมตัวนี้ที่ทำให้นักรบกงเวทสวรรค์พากันเผยสีหน้าตะลึงใจ
“เป็นการรวมตัวที่สุดยอดสำหรับเจ้าหนุ่มนั่นเลยทีเดียว” หั่วเม่ยเอ๋อมองเห็นคนที่มาก็คลี่ยิ้มหวานก่อนจะลดศีรษะลง ทันใดนั้นหลุมวนขนาดใหญ่ก็ก่อตัวขึ้นในทะเลลาวาเบื้องล่าง
ตู้ม!
ลาวาพวยพุ่งไปบนเส้นขอบฟ้า ขณะที่ดันตัวขึ้นก็มีร่างคนคนหนึ่งยืนอยู่บนลาวา ค่อยๆ เผยตัวภายใต้สายตานับไม่ถ้วน
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งมีใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาสีดำฉายแววสงบนิ่ง เห็นชัดว่ามู่เฉินบรรลุผลสำเร็จตอนนี้เรียบร้อยแล้ว