ชายชุดขาว
“ข้ามีวิธีที่จะมองหาสระมังกรหงส์ที่ทรงพลังมากกว่านี้ เจ้าอยากลองดูไหม?”
ได้ยินคำล่อลวงจากปากของไฉ่เซียว หัวใจของมู่เฉินก็เต้นรัวถึงสองจังหวะอย่างควบคุมไม่ได้ แม้แต่คนเก็บอารมณ์เก่งอย่างเขายังอดไม่ได้ที่จะมองไฉ่เซียวด้วยความตกตะลึง ครู่ใหญ่เขาก็ข่มน้ำเสียงเอ่ยด้วยความอึ้งในใจ “เป็นไปได้ยังไง?”
หากสระมังกรหงส์เป็นของที่หาได้ง่ายขนาดนี้ คงไม่มีจอมยุทธ์จำนวนมากเข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดทุกครั้งที่เขตหลงเฟิ่งเปิดหรอก
“ในเมื่อพวกเขาสามารถสำรวจหาตำแหน่งของสระมังกรหงส์ได้ แล้วทำไมข้าจะทำมั่งไม่ได้?” ไฉ่เซียวยิ้มอ่อน ท่าทางล้ำลึกยากหยั่งถึงของนางทำให้มู่เฉินอึ้งไป เพราะเขารู้ว่าหญิงสาวตรงหน้าลึกลับไม่น้อยจริงๆ
“งั้นน่าจะอันตรายมากใช่ไหม?” มู่เฉินพึมพำ
“บนโลกนี้ถ้าอยากได้อะไรที่คนทั่วไปไม่มี ใครบ้างที่ไม่ต้องจ่ายราคามากกว่าคนทั่วไป?” ไฉ่เซียวจ้องหน้ามู่เฉินเอ่ยต่อ “ข้าว่าเจ้าไม่น่าจะเป็นคนคิดเรื่องนี้พื้นๆ อย่างหวังจะให้เนื้อมังกรหล่นมาจากฟ้าหรอกนะ?”
“ข้าแค่ไม่อยากทำอะไรที่ไร้ประโยชน์น่ะ” มู่เฉินยิ้มก่อนจะพยักหน้าช้าๆ มองไฉ่เซียวด้วยสายตาจริงจัง “แต่ข้าก็สนสิ่งที่เจ้าเสนอมาเหมือนกันนะ ถ้าเจ้าต้องการลอง ข้าก็จะไปพร้อมกับเจ้าเอง”
“แปะ!”
ไฉ่เซียวตบมือเบายิ้มออกมา “ถ้างั้นก็ตัดสินตามนี้ แต่ถ้าต้องการทำตามวิธีของข้า อันดับแรกก็ต้องหาสระมังกรหงส์ให้เจอก่อนหนึ่งสระ ดังนั้นหลังจากเข้าไปในเขตหลงเฟิ่ง เราต้องยึดหนึ่งในนั้นไว้ก่อน”
“ต้องแย่งสระมังกรหงส์อีกเหรอ? แล้วการมองหาสระมังกรหงส์อื่นจะมีความหมายอะไรอีก?” มู่เฉินขมวดคิ้ว
“เจ้าโง่ มีสระที่ทรงพลังและอ่อนพลัง ดังนั้นกายามังกรพรางกับกายาหงส์ฟ้าพรางที่ฝึกได้ก็จะอ่อนแอหรือแข็งแรงขึ้นอยู่กับสระที่ลงไปแช่ หากเราชำระร่างในสระมังกรหงส์เพิ่มอีกสระ ข้าเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อเราในตอนท้าย” ไฉ่เซียวพูดตรงๆ อย่างมั่นใจในตัวเอง ดูจากท่าทางตอนนี้นางไม่เหมือนคนที่ไม่มีความรู้เรื่องเขตหลงเฟิ่งเลย
มู่เฉินคิดครู่หนึ่ง ต้องยอมรับว่าที่ไฉ่เซียวพูดมาถูกต้อง ทว่าเขาก็ยังคงเบ้ปากอย่างช่วยไม่ได้ ดูเหมือนพวกเขาก็ต้องแย่งชิงสระมังกรหงส์หนึ่งสระก่อน ซึ่งทำให้ไม่สามารถหลบเลี่ยงการต่อสู้ที่ดุเดือดได้ เพราะศึกมังกรหงส์ครั้งนี้มีสระเพียงห้าสระเท่านั้น ดังนั้นการแข่งขันย่อมดุเดือดอย่างจินตนาการไม่ออกแน่นอน
ขณะที่มู่เฉินกับไฉ่เซียวสนทนากันด้วยเสียงต่ำ ความวุ่นวายในหอหลงเฟิ่งก็มีมากขึ้นเช่นกัน การมีสระห้าสระสร้างความประสาทเสียให้หลายคน
มู่ฉิวมองภาพนี้ก็อดส่ายหน้าไม่ได้ “จากการคาดการณ์ เขตหลงเฟิ่งจะเปิดในวันพรุ่งนี้และจะเป็นเวลาดีที่สุดที่จะเข้าไป ส่วนในสุสานนั้นเต็มไปด้วยอันตราย แม้สัตว์อสูรในจะมีสติปัญญาไม่มาก แต่การที่มังกรแท้จริงกับหงส์ฟ้าแท้จริงตายอยู่ที่นั่น พวกมันจึงรับความแข็งแกร่งมามากยิ่ง ดังนั้นข้าหวังว่าทุกคนจะเตรียมตัวให้พร้อม”
พูดจบมู่ฉิวก็ไม่อ้อยอิ่งหันหลังกลับออกไป ทิ้งให้บรรยากาศโกลาหลมากยิ่งขึ้นเอาไว้
“ไปกันเถอะ ไม่มีเหตุผลที่เราจะอยู่ที่นี่อีก รอให้เขตหลงเฟิ่งเปิดในวันพรุ่งนี้” เมื่อเห็นดังนี้ มู่เฉินก็ลุกขึ้นยืนเอ่ยกับไฉ่เซียว
ไฉ่เซียวพยักหน้า จากนั้นทั้งคู่ก็ออกจากหอหลงเฟิ่งไป
การออกไปของมู่เฉินกับไฉ่เซียวดึงดูดความสนใจบางส่วน สายตาของซูปี้เยี่ยกับหงหยูวูบไหว แม้ว่ามู่เฉินที่มาจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะมีขุมพลังจื้อจุนขั้นสามเท่านั้น แต่ความแข็งแกร่งที่เขาเผยออกมาเกินกว่าที่เห็น จุดนี้ทำให้พวกนางต้องใส่ใจ
ดูเหมือนจะมีม้ามืดหลายคนมาในศึกมังกรหงส์ครั้งนี้แล้ว
หลิ่วเหยียนจ้องทั้งสองคนที่ออกไปด้วยสายตาไม่แยแสขณะที่แสงเย็นเยือกพลุ่งพล่านในส่วนลึกของดวงตาพลางพึมพำกับตัวเอง “ข้าจะปล่อยให้แกได้เสวยสุขอีกวัน เมื่อเข้าไปในเขตหลงเฟิ่ง ข้าจะทำให้แกซึ้งถึงความหมายของคำว่าตายทั้งเป็น…”
ทว่าเมื่อมู่เฉินกับไฉ่เซียวจากไป ก็ไม่มีใครสังเกตเห็นที่ชั้นบนมีร่างกระเพื่อมเบาๆ ก่อนที่จะหายไป
ออกจากหอหลงเฟิ่ง ทั้งสองก็มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกของเมืองโบราณหลงเฟิ่งมองหาสถานที่พักค้างแรม แต่เมื่อทั้งสองเดินผ่านถนนหลายสายจนมาถึงถนนเส้นหนึ่งที่มีผู้คนสัญจรไม่มากนัก ไฉ่เซียวก็หยุดฝีเท้า สายตาหรี่ลงราวกับแมว
“ตามพวกข้ามาตั้งนาน ยังไม่คิดจะแสดงตัวอีกหรือ?”
เมื่อไฉ่เซียวเอ่ยขึ้น สายฟ้าก็ระเบิดออกจากร่างมู่เฉิน จากนั้นเขาก็กำมือแน่น เสาปีศาจตามปรากฏในมือ เขาเหวี่ยงมันไปที่มิติเบื้องหลังโดยไม่ลังเล
ในมิติมือเรียวยื่นออกมาตบเสายักษ์เบาๆ ทันใดนั้นระลอกคลื่นที่มองเห็นได้ก็ผันผวนออกมา
ฮึ่ม!
พื้นดินแตกร้าวแต่เสาปีศาจกลับกระเด็นกลับมาพร้อมกับร่างมู่เฉินกระตุกสุดตัว พื้นเบื้องล่างฝ่าเท้าเขากลายเป็นผุยผง เขาเงยหน้ามองขึ้นไปด้วยสายตาเคร่งเครียด มิติแผ่ริ้วคลื่นออกมาตรงทิศทางที่เขามองไป ร่างในชุดขาวค่อยๆ ปรากฏขึ้น
ชายชุดขาวมีผมสีดำยาว คิ้วคมราวกับใบมีดกับดวงตาพร่าวพราวราวกับดวงดาว เขามีใบหน้าหล่อเหลา มิหนำซ้ำยังมีคลื่นพลังลึกลับแผ่ออกมาจากร่างของเขาด้วย
“ฮ่าๆ น่าสะพรึงยิ่งนัก ไม่คิดว่าวิชาพรางมิติยังไม่สามารถหลบหนีประสาทสัมผัสของเจ้าได้ ตั้งแต่เมื่อไรกันที่มีจอมยุทธ์น่าสะพรึงเช่นนี้ในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือ?” ชายชุดขาวยิ้มบาง สายตาของเขาจับจ้องที่ไฉ่เซียวขณะเอ่ยถามอย่างอบอุ่น
แม้ว่าชายคนี้จะมีรูปลักษณ์ให้หญิงสาวต้องตกหลุมรัก แต่ไฉ่เซียวกลับเพียงเหลือบมองผ่านๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “วิชาพรางมิติว่างเปล่าไม่ได้สุดยอดอย่างที่เจ้าคิดหรอก”
“เจ้าเป็นใคร? แล้วตามพวกข้ามาทำไม?” มู่เฉินขมวดคิ้ว
“โทษที ข้าบังเอิญได้ยินพวกเจ้าคุยกันน่ะ แล้วก็รู้สึกสนใจในเรื่องนี้ด้วย” ชายชุดขาวเอ่ย
ดวงตาของมู่เฉินหดลง บทสนทนาของเขากับไฉ่เซียวถูกคลื่นหลิงบังไว้ ชายคนนี้ยังสามารถได้ยินบทสนทนาของพวกเขาอีกเหรอ? ทักษะของอีกฝ่ายทรงพลังไม่น้อย
“ถ้าสนใจก็ทำเองสิ พวกข้าไม่ต้องการคนเพิ่ม” เสียงใสของไฉ่เซียวไม่มีริ้วอารมณ์ใดๆ ชัดว่านางรู้สึกไม่ชอบชายที่มาเสนอตัวถึงที่
เห็นได้ชัดว่าชายชุดขาวไม่คิดว่าไฉ่เซียวจะปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยจนเขาขมวดคิ้วยุ่ง “ข้าเชื่อว่าหากได้ความช่วยเหลือจากข้า พวกเจ้าจะมีโอกาสสำเร็จมากขึ้น ยิ่งกว่านั้นอาจไม่มีใครกล้ารบกวนเราเมื่อถึงตอนนั้นด้วย”
“แต่ข้าว่ากระเพาะเจ้าใหญ่ไม่น้อยเลย” ไฉ่เซียวโบกมือเบาๆ “ไปซะ ข้าจะไม่เอาเรื่องที่เจ้าแอบฟังพวกข้า”
“ไม่ลองคิดอีกสักหน่อยเหรอ?” แสงส่องประกายในส่วนลึกของดวงตาชายชุดขาวขณะที่เขาเอ่ยเบาๆ “จะดีกว่าที่จะมีสหายเพิ่มขึ้นมานะ?”
“ขู่ข้าเหรอ?” ไฉ่เซียวยิ้ม รอยยิ้มมีเสน่ห์ของนางทำให้หัวใจของผู้คนแทบจะกระดอนออกมาเบ้า
ชายชุดขาวไม่พูดอะไร เพียงแค่จ้องมองไฉ่เซียวนิ่ง อึดใจต่อมาดวงตาเขาก็หดเกร็ง ร่างหายไปในพริบตา
วาบ!
แต่ทันทีที่เขาหายไป ร่างของไฉ่เซียวก็หายไปปรากฏตัวอีกหลายร้อยจั้งห่างออกไป ก่อนที่นิ้วเรียวจะชี้ไปที่อากาศว่างเปล่า
ฮึ่ม!
มิติผันผวนขณะที่ร่างไฉ่เซียวทะลวงมิติก่อนพายุคลื่นหลิงทรงพลังจะระเบิดออก ทำให้แผ่นหินบนถนนสลายเป็นผุยผง
ไฉ่เซียวถอยทันทีที่ปล่อยการโจมตีกลับมายืนที่จุดเดิม สายตามองมิติที่ค่อยๆ คืนกลับสภาพดังเดิม นางเลิกคิ้วอย่างอัศจรรย์ใจ “ชายคนนั้นทรงพลังแท้จริง เสียดายที่ร่างข้าตอนนี้มีผนึกประทับอยู่มากเกินไป ไม่อย่างนั้นข้าจะผนึกเขาไว้ในมิตินั้นเลย มาดูว่าเขาจะหนีไปไหนได้”
เห็นชัดว่านางไม่เป็นฝ่ายได้เปรียบในการแลกกระบวนท่าก่อนหน้านี้
มู่เฉินมีสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยเบาๆ “ถ้าข้าเดาไม่ผิด เขาอาจจะเป็นจอมยุทธ์อันดับหนึ่งของบันทึกมังกรหงส์—ฟังยี่จากหมู่ตึกเทวะ”
“โอ้ แบบนี้ไม่ได้หมายว่าเจ้าท้าทายห้าอันดับแรกเกือบครบแล้วหรือ?” ไฉ่เซียวอุทาน ในดวงตาฉายแววหัวเราะที่ไม่ปิดบัง
มู่เฉินมองนางพลางขบฟัน “ครั้งนี้เจ้าเป็นคนลงมือนะ!”
“ใจของเจ้านั่นล้ำลึก ข้าไม่ชอบ ดังนั้นไม่อยากร่วมมือกับเขา” ไฉ่เซียวแบมือ มีท่าทางไม่แยแส นางไม่รู้สึกกลัวเพียงเพราะชายคนนั้นเป็นจอมยุทธ์อันดับหนึ่งบนบันทึกมังกรหงส์หรอก
“แล้วแต่เจ้าเถอะ” มู่เฉินพยักหน้า เจ้านั่นส่งแรงกดดันคุกคามจนแม้แต่มู่เฉินยังไม่อยากร่วมมือด้วย แม้จะเป็นเรื่องยุ่งยากหากท้าทายเขา แต่คนอย่างมู่เฉินก็ไม่เคยกลัวปัญหา
มู่เฉินมีท่าทางไม่แยแสเช่นเดียวกัน ทำให้ไฉ่เซียวผิดคาดไปเล็กน้อย นางยิ้มพราว “ข้าคิดว่าเจ้าจะอยากร่วมมือกับเขาซะอีก เพราะหากเจ้าทำงานร่วมกับเขา แม้แต่หลิ่วเหยียนก็คงไม่กล้าแตะต้องเจ้า”
“ให้มันมาตามต้องการ ข้าไม่กลัวมันอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้นข้าผูกมิตรไม่ได้เพื่อเอาไว้ใช้ประโยชน์จากพวกเขา” มู่เฉินยิ้ม ทว่าน้ำเสียงก็เปลี่ยนไปยามมองไฉ่เซียวด้วยยิ้มตาหยี “อีกอย่าง ข้าก็มีเจ้าแล้วนี่ ต่อให้ฟังยี่จะมีพลังน่าสะพรึง แต่เจ้าก็ไม่เห็นด้อยกว่าตรงไหน”
“เมื่อกี้ข้ายังอยากชมเจ้าอยู่เลยนะ…” ไฉ่เซียวกลอกตาใส่มู่เฉิน นางไม่สนใจหันหลังกลับมุ่งหน้าไปที่ถนนโดยมีมู่เฉินเดินตามไปด้วยรอยยิ้ม
เมื่อทั้งสองไปแล้ว มิติก็บิดเบี้ยวเหนือหลังคาไกลออกไป ชายชุดขาวเผยตัวมองไปยังทางที่ทั้งสองออกไป ก่อนจะก้มมองนิ้วมือที่มีรอยเลือด
สายตาล้ำลึกเปล่งประกาย จากนั้นเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะโบกมือหายตัวไป
“แม่นางคนนั้นเป็นใครกัน…. ดูเหมือนศึกมังกรหงส์ครั้งนี้จะน่าสนใจแล้วสิ”