ขนนกโหมสวรรค์
ร่างใหญ่โตดูราวกับเทพไฟยืนตระหง่านบนท้องฟ้า
ขณะที่เพลิงหลากสีสันโชติช่วงบนพื้นผิวกาย อุณหภูมิน่ากลัวทำให้บริเวณนี้ลุกไหม้จนเกิดกลิ่นไหม้ในชั้นบรรยากาศ
มู่เฉินหรี่ตาลงมองร่างเพลิงนั่น มีความเปลี่ยนแปลงเบาบางบนสีหน้าไร้อารมณ์ เห็นได้ชัดว่าแม้แต่เขาที่อยู่ในสภาวะฤทัยปีศาจก็ยังรู้สึกถึงภัยคุกคามข้นคลั่กที่มาจากร่างเพลิงนั้น
“ร่างมหาเพลิงนภา สมกับชื่อเสียงจริงๆ”
บนยอดเขากระดูกขาว จอมยุทธ์คนอื่นๆ มีสีหน้าตกตะลึงไปและอดไม่ได้ที่จะชื่นชม ร่างมหาเพลิงนภาเป็นร่างมีอันดับไม่ต่ำในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง ยิ่งกว่านั้นความยากลำบากในการฝึกร่างนับว่าสูงมาก แค่ความต้องการเพลิงหลากหลายชนิดก็ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลแล้ว หากเป็นจอมยุทธ์ธรรมดาได้ร่างเทห์สวรรค์นี้ไป ก็คงเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะชำระได้สำเร็จ
โชคดีที่หลิ่วเหยียนคือประมุขน้อยแห่งตำหนักสุดนภา ไม่อย่างนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะชำระร่างมหาเพลิงนภาได้หรอก
บนหัวของร่างมหาเพลิงนภา เปลวไฟพวยพุ่ง หลิ่วเหยียนก็ปรากฏตัวในพริบตา สายตามืดครึ้มจับจ้องมู่เฉินพร้อมกับรังสีสังหารแรงกล้าวาบขึ้นในส่วนลึกของดวงตา
เขาไม่คิดว่าตนเองจะถูกบีบให้ต้องใช้ร่างเทห์สวรรค์ก่อนคนแรก!
“เจ้าเล่ห์จริงๆ” หลิ่วเหยียนกัดฟันแววตาอัดแน่นด้วยความเกลียดชัง หากไม่ใช่เพราะสายฟ้าฤทัยปีศาจดำทำให้เขาไม่ทันตั้งตัว เขาก็ไม่มีทางเปิดช่องโหว่ให้มู่เฉิน แล้วถูกบีบให้ถอยจนสุดท้ายต้องเร้าร่างเทห์สวรรค์มาปกป้องตัวด้วย
แม้จะโกรธเคือง แต่ในใจหลิ่วเหยียนกลับเพิ่มข้อควรระวังขึ้น ถอนการประเมินต่ำทั้งหมดที่มีต่อมู่เฉิน
ฮา
หลิ่วเหยียนที่ยืนอยู่บนหัวร่างมหาเพลิงนภาสูดหายใจลึกพร้อมกับโทสะบนใบหน้าค่อยๆ จางหายไปทีละน้อย…ละน้อย สายตากลับคืนสู่ความไม่แยแส
เมื่อเห็นภาพนี้ มู่เฉินก็ขมวดคิ้วเบาๆ หลิ่วเหยียนที่คืนความสงบย่อมไม่เปิดช่องโหว่ให้ บวกกับการที่เขาเตรียมป้องกันสายฟ้าฤทัยปีศาจดำ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะเป็นฝ่ายได้เปรียบเหมือนก่อนหน้าอีก
“ถ้าแกอยากชนะข้า ก็เอาความสามารถที่แท้จริงออกมา อย่าใช้วิธีลอบกัดพวกนั้นให้ขายขี้หน้าเลย!”
หลิ่วเหยียนมองมู่เฉินอย่างเย็นชา จากนั้นก็ไม่ลังเลประสานมือเข้าด้วยกัน ทันใดนั้นเพลิงหลากสีก็โชติช่วงบนร่างมหาเพลิงนภา
มือประสานเข้าด้วยกัน เพลิงหลากหลายก็กวาดออก ก่อร่างเป็นนกเพลิงสีแดงส้มบนท้องฟ้า นกเพลิงสีแดงส้มช่างน่าตื่นตา ด้วยสีหลากหลายที่ลุกโชน ทำให้ดูงดงามนัก
“วิญญาณมหาเพลิง!”
หลิ่วเหยียนส่งเสียงคำรามต่ำขณะที่นกเพลิงสีแดงส้มงดงามกางปีก เมื่อปีกกระพือ ก็ราวกับวาดผ่านเป็นเส้นเกลียวเพลิง ทว่าภายใต้ความงามกลับเต็มไปด้วยอันตรายร้ายแรง
นกเพลิงสีแดงส้มขยายอย่างรวดเร็วในนัยน์ตาของมู่เฉิน เขาวาดตราประทับเร็วรี่เช่นกัน แสงสีทองเจิดจ้าก็ระเบิดออกทุกทิศทาง ร่างทองคำปรากฏตัวยืนอยู่ในบริเวณนี้
ทันทีที่ร่างทองคำเผยออกมา ดวงตะวันสีทองเจิดจ้าก็กำจายออกจากหว่างคิ้ว จากนั้นฝ่ามือใหญ่เหยียดออก แสงเรืองรองราวกับทองคำพวยพุ่งออกมา ทำให้ร่างนั้นดูราวกับหลอมมาจากทองคำปะทะกับนกเพลิงสีแดงส้ม
ตู้ม!
เปลวเพลิงงดงามระเบิดราวกับดอกไม้ไฟ มิติในจุดปะทะกันบิดเบี้ยวรุนแรงจากแรงกระทบน่ากลัว พลังระเบิดคลื่นหลิงกวาดตัวออกทำให้เหล่าจอมยุทธ์รอบด้านถอยหนีกันจ้าละหวั่นด้วยสีหน้าเปลี่ยนไป ด้วยหวาดกลัวว่าจะถูกลูกหลง
“นี่คือร่างเทห์สวรรค์ที่เขาฝึกงั้นหรือ?”
ม่านตาหลิ่วเหยียนหดลงเมื่อมองร่างทองคำที่ดูเหมือนพระพุทธรูปองค์ใหญ่ มิหนำซ้ำยังอดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าเปลี่ยนไป เนื่องจากเขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันคุกคามที่ไม่อาจอธิบายได้จากอีกฝ่าย
ความกดดันบีบคั้นทำให้เขารู้สึกไม่อยากเชื่อ ร่างมหาเพลิงนภาที่เขาฝึกอยู่ในอันดับหกสิบเก้าบนทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง ซึ่งไม่ใช่อันดับต่ำเลย แต่ตอนนี้ร่างเทห์สวรรค์ที่มู่เฉินฝึกฝนกลับทำให้ร่างมหาเพลิงนภาของเขารู้สึกถูกกดดันได้?
หรือว่าร่างเทห์สวรรค์นั่นเป็นสุดยอดในสามสิบอันดับแรก?!
หลิ่วเหยียนจ้องมองดวงตะวันสีทองเจิดจ้าที่ลอยอยู่เบื้องหลังร่างเทพสุริยะ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถระบุได้ ในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่างที่เขารู้มา รู้สึกจะไม่มีวิชาไหนที่เหมือนกับร่างตรงหน้าเขาเลย
“หรือจะเป็นร่างเทห์สวรรค์ลึกลับที่ไม่ได้ถูกจัดอันดับไว้?”
หลิ่วเหยียนขมวดคิ้ว แต่สุดท้ายเขาที่ไม่มีคำตอบก็ทำได้เพียงส่ายหัวด้วยสายตามืดครึ้ม ต่อให้ร่างเทห์สวรรค์ของมู่เฉินจะลึกลับ แต่ร่างเทห์สวรรค์ทรงพลังก็ต้องการพลังมาสนับสนุน เขาไม่เชื่อว่าในขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่บวกกับร่างมหาเพลิงนภา เขาจะไม่สามารถจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามได้!
“ตู้ม!”
ขณะที่เค้นเสียง แสงสีทองก็กวาดออกมาจากเบื้องหน้า ร่างเทพสุริยะคว้าเสาปีศาจ สีเสาแต่เดิมที่เป็นสีดำก็ราวกับหลอมทองคำไว้ เมื่อเคลื่อนตัวผ่าน แม้แต่ท้องฟ้ายังฉีกขาดออกจากกัน
“ฮึ่ม!”
เมื่อเห็นมู่เฉินเป็นฝ่ายเริ่มเปิดโจมตีก่อน หลิ่วเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงพร้อมกับมือสองข้างของร่างมหาเพลิงนภากำเป็นหมัด ขณะที่เพลิงพวยพุ่ง หอกเพลิงยาวก็ก่อตัวขึ้นพร้อมกับภาพหอกกวาดออกมาทุกทิศทาง
ปัง! ปัง!
ขณะที่ร่างใหญ่ยักษ์ทั้งสองปะทะกันบนท้องฟ้า ความปั่นป่วนก็ทำให้แม้แต่ฟ้าดินยังสั่นสะเทือน มากจนเกิดรอยแตกร้าวบนภูเขากระดูกขาว คลื่นหลิงที่กวาดออกมาราวกับพายุครางกระหึ่มกวาดอาละวาดออกไป ภายในรัศมีหมื่นเมตร ไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้แม้แต่คนเดียว
จอมยุทธ์โดยรอบตะลึงลานไปกับการปะทะกันกระบวนท่านี้ พวกเขาไม่อยากเชื่อว่ามู่เฉินจะสามารถสู้กับหลิ่วเหยียนได้ถึงระดับนี้
ในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ภูมิภาคทางเหนือ หลิ่วเหยียนมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในอันดับสี่ของบันทึกมังกรหงส์ ส่วนมู่เฉินล่ะ? เขาเป็นจอมยุทธ์ไร้ชื่อเท่านั้น แม้จะมีอาณาเขตกงเวทสวรรค์หนุนหลังทำให้เขามีสถานะบางอย่างขึ้นมา แต่ก็ยังห่างไกลเมื่อเทียบกับชนชั้นสูงที่โดดเด่นในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่อย่างหลิ่วเหยียน
แต่ตอนนี้จอมยุทธ์ไร้ชื่อตรงหน้าพวกเขากลับสู้กับหลิ่วเหยียนจนผืนฟ้าผืนดินมืดครึ้มไปหมด แม้เขาจะไม่ได้เป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ไม่ง่ายเลยที่เขาจะต้านทานไว้ได้นานขนาดนี้
ตู้ม!
เสาปีศาจฟาดใส่หอกเพลิง ตรงจุดปะทะเกิดรอยร้าวมากมายบนมิติ จากนั้นก็มีคลื่นระเบิดที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายตัวออก
ทั้งสองถอยออกไป แต่เห็นชัดว่าหลิ่วเหยียนยังเป็นฝ่ายได้เปรียบจากกระบวนท่านี้ แต่ใบหน้าของหลิ่วเหยียนกลับดูน่าเกลียด เพราะเขาไม่ต้องการเป็นฝ่ายเหนือกว่าแค่กระผีกลิ้นเท่านี้
พลังร่างเทห์สวรรค์ของมู่เฉินเหนือความคาดหมายของเขาไปมาก
“ร่างเทห์สวรรค์ของเจ้านั่นไม่ธรรมดาเลย” สายตาของหลิ่วเหยียนเปลี่ยนไปเมื่อจ้องมู่เฉินด้วยสายตาเย็นเยือก เขานั่งบนศีรษะร่างมหาเพลิงนภา เริ่มวาดตราประทับวูบไหวด้วยมือทั้งสองข้าง
ฟู่วๆๆๆ!
ขณะที่ตราประทับของหลิ่วเหยียนเปลี่ยนไป เพลิงรอบร่างมหาเพลิงนภาก็ลุกโชน เปลวไฟหลากสีก็พวยพุ่ง สุดท้ายไปรวมตัวกันเหนือร่างหลิ่วเหยียน
ความร้อนไร้รูปร่างผันผวนไปในบริเวณนี้
เมื่อจอมยุทธ์คนอื่นๆ มองจากที่ไกลสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป เพราะพวกเขารู้สึกว่าคลื่นหลิงในร่างกายของตนเองกำลังเดือดพล่าน ทั้งยังแสดงสัญญาณเผาไหม้อีกด้วย
สีหน้าแต่ะคนเปลี่ยนแปรถอยหนีกันอย่างรวดเร็ว พวกเขารู้สึกได้ว่าหลิ่วเหยียนไม่ทนอีกต่อไปแล้ว การโรมรันพันตูแบบนี้กับมู่เฉินทำให้เขาหมดความอดทน
เขาตั้งใจจบศึกนี้แล้ว
มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้น เพลิงงดงามสะท้อนในม่านตาสีดำขณะที่ใบหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมมากขึ้น
“ไม่ว่าแกจะมีร่างเทห์สวรรค์อะไร ข้าก็จะเผาให้เป็นจุณเลย!”
หลิ่วเหยียนยิ้มน่าขนลุกให้มู่เฉินพลันตบมือ เพลิงงดงามนับไม่ถ้วนบนท้องฟ้ารวมตัวกัน ก่อตัวเป็นหม้อกลั่นขนาดใหญ่ที่มีขนาดหลายพันจั้ง
หม้อกลั่นนี้งดงามมาก ทว่าแผ่รังสีน่ากลัวออกมา
หลิ่วเหยียนมองมู่เฉินอย่างน่าขนลุก จากนั้นก็โบกมือ หม้อกลั่นหายไปทันที
ทันทีที่หม้อกลั่นหายไป มู่เฉินก็รู้สึกว่าท้องฟ้ารอบด้านมืดมนลง ทว่าไม่นานเขาก็ตระหนักได้ว่าไม่ใช่ท้องฟ้าที่มืด เป็นเพราะเขาถูกหม้อกลั่นครอบคลุมเอาไว้ต่างหาก
หลิ่วเหยียนมองมู่เฉินและร่างเทพสุริยะที่ถูกหม้อกลั่นครอบไว้ก็รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมบนมุมปาก จากนั้นมือทั้งคู่ประสานมือเข้าด้วยกัน ตะโกนเสียงเย็นดังก้องไปทั่วบริเวณ
“เตามหาเพลิง ขนนกโหมสวรรค์!”
ตู้ม!
ทันทีที่หลิ่วเหยียนตะโกนออกมา เพลิงหลากสีก็ลุกโชนในหม้อกลั่น พริบตาเดียวก็เปลี่ยนเป็นทะเลเพลิงมโหฬาร
เปลวไฟลุกโชนอยู่ในทะเลเพลิงก่อตัวเป็นหลุมวนขนาดใหญ่ เพลิงเจิดจ้าเปลี่ยนเป็นเส้นเพลิงเล็กๆ รวมตัวกัน เส้นเพลิงเล็กๆ เหล่านั้นคือแก่นของเปลวเพลิง เพียงเส้นเดียวก็สามารถเผาทั้งเทือกเขาให้มอดไหม้เป็นเถ้าถ่านได้
เส้นเพลิงเหล่านี้รวมตัวกันก่อร่างเป็นขนนกสายรุ้งขนาดหนึ่งจั้ง
ขนนกเต็มไปด้วยลวดลายเพลิงทุกชนิด ลอยตัวเงียบๆ บนอากาศ แม้จะดูอ่อนโยน แต่อุณหภูมิน่ากลัวที่แผ่ออกมาก็ทำให้เกิดรอยร้าวบนมิติ
พลังงานที่อยู่ในขนนกสายรุ้งนั่นทำให้แม้แต่ร่างกายของมู่เฉินที่เข้าสู่สภาวะฤทัยปีศาจยังเกร็งเครียด ชัดว่ารู้สึกได้ถึงอันตรายถึงชีวิตอย่างชัดเจน
หลิ่วเหยียนเป็นศู่ต่อสู้ที่โค่นยากจริงๆ
“ต่อไปข้าจะให้แกดูว่าข้าจะเผาร่างเทห์สวรรค์ของแกให้เป็นเถ้าถ่านได้ยังไง!”
มองภาพนี้แล้ว รอยยิ้มที่แขวนบนมุมปากของหลิ่วเหยียนก็ดูเหี้ยมเกรียมลงหลายส่วน