หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 802 องค์ชายโยวหมิง
โยวหมิงยืนไว้สง่าอยู่บนท้องฟ้าด้วยใบหน้าขาวไร้อารมณ์
แรงกดดันคลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวราวกับกระแสน้ำพวยพุ่งออกจากร่างเขา ทำให้ทั่วบริเวณเกิดการกระเพื่อมจางๆ
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปจากแรงกดดันนั้น รวมถึงมู่เฉินด้วย
นั่นเป็นเพราะแรงกดดันคลื่นหลิงอยู่เหนือจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ทั่วไป สูงจนแตะขั้นห้าแล้ว!
หรือว่าโยวหมิงบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าแล้ว?!
จอมยุทธ์จำนวนมากมีสีหน้าตกตะลึง สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า แม้แต่ในขั้วอำนาจชั้นยอดทั้งหลายก็ยังถือว่าเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเหล่าจอมยุทธ์รุ่นใหม่ในภูมิภาคทางเหนือเลย ซึ่งทำให้ผู้อื่นรู้สึกอยู่ห่างไกลอย่างยิ่ง
สายตาบางคู่อดไม่ได้ที่จะมองไปทางมู่เฉินด้วยความเห็นใจ หากมู่เฉินยังคงมีโอกาสอยู่บ้างเมื่อต่อสู้กับหลิ่วเหยียน แต่โอกาสที่เขาจะชนะเมื่อเผชิญหน้ากับโยวหมิงซึ่งเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าก็เข้าใกล้ศูนย์เลยทีเดียว
ภายใต้สายตาเห็นใจจำนวนมาก มู่เฉินมองโยวหมิงที่ไม่แยแสด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและตกใจในใจ จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าเป็นคนที่สามารถคว้าตำแหน่งผู้บัญชาการในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ได้เลยทีเดียว!
บางทีพลังของหลิ่วเหยียนนับได้ว่าเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ แต่ห่างเป็นโยชน์เมื่อเทียบกับโยวหมิง
“นี่คือช่องว่างพลังระหว่างอันดับสามกับอันดับสองของบันทึกมังกรหงส์เรอะ?” มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่นเมื่อจ้องมองโยวหมิง เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดเสียดแทงเบาบางบนร่างกาย นั่นเป็นเพราะภัยคุกคามทรงพลังที่สัมผัสได้
แม้ความแตกต่างระหว่างจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้ากับขั้นสี่จะเป็นขั้นเดียว แต่ความแตกต่างของพลังห่างไกลกับขั้นก่อนๆ มากเลยทีเดียว
ในขุมพลังจื้อจุนทั้งเก้าขั้น สี่ขั้นแรกห่างกันแค่ระดับความแข็งแกร่งของคลื่นหลิงเท่านั้น แต่เมื่อเข้าสู่ขั้นห้าแล้วก็จะมีความแตกต่างใหญ่หลวง ความแตกต่างมากที่สุดก็คือความสามารถในการเคลื่อนผ่านมิติ ซึ่งต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าแล้วถึงจะทำได้
นี่เป็นวิธีช่วยชีวิตและโจมตีอันทรงพลัง การยืมพลังนั้นมาทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ถูกอัดเละเมื่อต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า
ดังนั้นเมื่อจอมยุทธ์คนอื่นๆ เห็นว่าโยวหมิงอยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า พวกเขาจึงมองไปที่มู่เฉินด้วยความเห็นใจ นั่นเป็นเพราะในสายตาของพวกเขาผลลัพธ์ในการต่อสู้ครั้งนี้ตัดสินได้แล้ว
ไม่ว่ามู่เฉินจะมีทักษะทรงพลังอะไร เขาก็ไม่สามารถเอาชนะโยวหมิงได้แน่นอน
“แกยังคิดไปต่อไหม?” โยวหมิงถามเสียงเรียบ
มู่เฉินยิ้มเมื่อได้ยินคำถามนั่น แม้เขาจะไม่ให้คำตอบใดๆ แต่ในดวงตาก็ไม่ปรากฏแววหวาดกลัวสักริ้ว โยวหมิงทรงพลังก็จริง แต่พูดตรงๆ แล้วโยวหมิงยังไม่สามารถทำให้เขาต้องหนีไปโดยยังไม่ออกกระบวนท่าได้
โยวหมิงมองสายตาของมู่เฉินก็รู้คำตอบ ทว่ายังคงไม่มีริ้วกระเพื่อมใดๆ ในดวงตา เพียงแค่เอ่ยเสียงเรียบ “ดูเหมือนว่าอัจฉริยะคนเก่งแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะต้องตายอยู่ในเขตหลงเฟิ่งอีกครั้งแล้วสิ”
มู่เฉินหรี่ตาลงขณะที่กำลังจะตอบกลับ ม่านตาก็หดเกร็งทันที นั่นเป็นเพราะเขาเห็นมิติรอบตัวโยวหมิงพลันบิดเบี้ยวก่อนที่ร่างจะหายไปอย่างลึกลับ
ตู้ม!
มิติบิดเบี้ยวเบื้องหลังมู่เฉิน ฝ่ามือหนึ่งที่บรรจุด้วยคลื่นหลิงทรงพลังก็ตบใส่กลางหลัง
การจู่โจมลึกลับนี้ทำให้สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไป ทว่าตัวเขาก็ตื่นระวังอยู่ตลอดดังนั้นตราประทับจึงถูกวาดขึ้นในทันที ขณะที่แสงพวยพุ่ง ร่างเขาก็เปลี่ยนเป็นภาพมังกรเลือนราง เมื่อมังกรปรากฏขึ้นมิติรอบตัวก็บิดเบี้ยวพาร่างเขาหายเข้าไป
ฝ่ามือซัดลงบนอากาศว่างเปล่า โยวหมิงเผยตัวออกมาในพริบตา เมื่อเห็นว่าการโจมตีของตนเองล้มเหลว แววประหลาดใจก็วูบไหวในดวงตาพร้อมกับเอ่ยเบาๆ “ไม่คิดเลยว่าแกจะสามารถเคลื่อนผ่านมิติได้โดยมีขุมพลังจื้อจุนขั้นสามเท่านั้น… แต่น่าเสียดายที่ทักษะแกยังอ่อนด้อยนัก”
เมื่อพูดจบ ร่างเขาก็หายไปอีกครั้งทิ้งความผันผวนไว้ในมิติ
พื้นที่ห่างออกไปพันจั้ง มิติกระเพื่อมภาพมังกรทะยานออกมา แต่ทันทีที่ปรากฏตัว สีหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปอีกครั้งหนึ่ง
มิติพลิ้วเป็นลอนที่เบื้องหน้า ร่างคนคนหนึ่งก็พุ่งออกมา ฝ่ามือราวกับหนอนเจาะกระดูกซัดตรงมาหาพร้อมกับพลังเท่าภูเขาที่พลิกคว่ำทะเลได้
ครั้งนี้มู่เฉินหลบไม่ได้แล้ว
ขณะที่ฝ่ามือพุ่งผ่านก็เกิดเสียงครางกระหึ่มในสายลม ทำให้แทบจะรู้สึกหายใจไม่ออก ร่างมู่เฉินเปล่งประกายแสงสีทองเกราะมังกรหงส์ปรากฏขึ้นในพริบตา ขณะเดียวกันชั้นเกล็ดสีทองเข้มหนาแน่นก็ปรากฏบนผิวหนังของเขา
ในช่วงเวลาไม่กี่ลมหายใจ เขาก็เร้าพลังงานในร่างกายออกมาจนถึงขีดสุด ก่อนจะตบฝ่ามือทั้งคู่ออกไป ภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน ฝ่ามือเขาก็ปะทะกับฝ่ามือโยวหมิง
ปัง!
จังหวะที่ฝ่ามือทั้งคู่ปะทะกัน ก็ราวกับเกิดบางอย่างคล้ายเสียงคำราม คลื่นพลังที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากวาดออก มิติในรัศมีหมื่นจั้งกระเพื่อมราวกับลอนคลื่น
ร่างของมู่เฉินสั่นสะท้านจากแรงปะทะกระเด็นออกไปพันจั้ง เขารู้สึกหวานในลำคอ กระอักเลือดออกมาคำหนึ่งอย่างห้ามไม่ได้
ความเจ็บปวดรุนแรงแล่นขึ้นมาจากแขนทั้งสองข้าง ราวกับว่ากระดูกถูกบดละเอียด สายตาของมู่เฉินเคร่งขรึมลงหลายส่วน โยวหมิงทรงพลังจริงๆ เพียงแค่ประมือเท่านี้ หากไม่ใช่เพราะเขามีเกราะมังกรหงส์และกายามังกรหงส์ปกป้องอยู่ละก็ งานนี้แขนของเขาหักไปแล้ว
ขณะที่มู่เฉินกระเด็นออกไป ร่างของโยวหมิงก็กระตุกก้าวถอยไปสิบกว่าก้าว มีริ้วบางจางปรากฏบนสีหน้าไร้อารมณ์ ไอเย็นเยือกรวมตัวกันในดวงตา เขาไม่คิดเลยว่าตนเองจะไม่สามารถหักแขนมู่เฉินได้ด้วยกระบวนท่านี้
“มิน่าล่ะแกถึงเอาชนะหลิ่วเหยียนได้ มีฝีมือเหมือนกันนี่” โยวหมิงจ้องมองมู่เฉินพลางเอ่ยช้าๆ จากการปะทะเมื่อครู่ หากเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ใดๆ คงได้รับบาดเจ็บหนักไปแล้ว แต่มู่เฉินแค่กระอักเลือดออกมาคำเดียวเท่านั้น
มู่เฉินมองโยวหมิงด้วยสายตาเย็นชาขณะปาดคราบเลือดตรงมุมปากออก ไม่มีแววหวาดกลัวในดวงตาจากพลังที่โยวหมิงแสดงออกมา กลับแทนที่ด้วยไฟการต่อสู้ลุกโชนในดวงตา
เขาวาดตราประทับสองมือ แสงสีทองกวาดออกจากร่างกายทุกทิศทาง ก่อตัวเป็นร่างใหญ่โตสีทองยืนตระหง่าน ชั่วขณะนั้นคลื่นหลิงในฟ้าดินก็ม้วนตัวพร้อมกับแสงสีทองเปล่งประกาย
มู่เฉินยืนอยู่บนศีรษะของร่างเทพสุริยะ เมื่อเขากำมือ เสาปีศาจก็ปรากฏในมือใหญ่โต
โยวหมิงมองร่างเทพสุริยะที่เป็นเอกลักษณ์ก็ขมวดคิ้ว นั่นเพราะเขาไม่สามารถระบุได้ว่าร่างเทห์สวรรค์นั้นคือร่างอะไร แต่ในเวลาเดียวกันก็สัมผัสได้ชัดเจนว่านี่ไม่ใช่ร่างเทห์สวรรค์ธรรมดา
“ต่อให้เอาชีวิตมาเสี่ยง แกก็เปลี่ยนจุดจบไม่ได้หรอก”
โยวหมิงไม่สนใจการตอบโต้ของมู่เฉิน เขากำมือเบาๆ แสงสีดำรวมตัวอยู่ในฝ่ามือ ก่อนก่อร่างเป็นง้าวสีดำราวน้ำหมึก
คลื่นหลิงเย็นเยือกผันผวนออกมาจากง้าว ความเย็นเยือกนั้นทำให้แม้แต่คลื่นหลิงรอบด้านยังหยุดชะงักและแข็งตัว
“นั่นคืออาวุธพบสวรรค์ขั้นสูงของจวนยมโลก ง้าวเทพใต้พิภพ!” จอมยุทธ์จำนวนมากอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาเมื่อเห็นภาพนี้ ชัดว่าพวกเขาคุ้นเคยกับง้าวในมือของโยวหมิง
“ดูเหมือนโยวหมิงไม่คิดปล่อยให้มู่เฉินมีทางรอดแล้ว ถึงขนาดเอาง้าวเทพใต้พิภพออกมาเลย” บางคนถึงกับถอนหายใจ หากโยวหมิงดูถูก บางทีมู่เฉินอาจมีทางรอด แต่ชัดว่าคนที่ผ่านประสบการณ์สังหารมานับไม่ถ้วน ไม่โง่ที่จะทำเช่นนั้นหรอก
แม้แต่สิงโตยังใช้พลังเต็มที่ในการล่ากระต่าย เห็นชัดว่าการเป็นจอมยุทธ์โดดเด่นที่สุดในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของจวนยมโลก โยวหมิงย่อมไม่ทำสิ่งที่โง่เขลาและเสี่ยงต่อการล้มเหลว
“เขายังไม่บรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าอย่างแท้จริง” มู่เฉินจ้องมองโยวหมิงพลางเอ่ยออกมาช้าๆ
จากการประมือสั้นๆ มู่เฉินรับรู้ได้ว่าโยวหมิงทรงพลังเพียงใด แต่ขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ว่าโยวหมิงไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าแท้จริง จากการคาดเดาของเขา โยวหมิงน่าจะเกือบบรรลุขุมพลัง
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ระดับความอันตรายของโยวหมิงก็เหนือกว่าหลิ่วเหยียนมากนัก
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินมองทะลุปรุโปร่ง โยวหมิงก็ประหลาดใจจากนั้นก็เอ่ยเสียงเรียบ “มดอย่างแกจะสนใจทำไมว่าจะเป็นหมาป่าหรือเสือที่บดขยี้มันจนตาย?”
มู่เฉินส่งเสียงขึ้นจมูกพลางกระทืบเท้า ที่หว่างคิ้วและกลางอกของร่างเทพสุริยะปรากฏดวงตะวันสีทองเจิดจ้าสองดวงลุกโชนขึ้นมา
“ทักษะเทห์สวรรค์ คลื่นสองตะวัน!”
มู่เฉินตะโกนขึ้นในหัวใจ แสงสีทองพร่างพราวก็ระเบิดออกจากดวงตะวันสีทองสองดวง พลังงานทรงพลังมหาศาลที่สามารถบดขยี้ภูเขาได้แผ่ออกมาจากร่างเทพสุริยะ
“ฮ่าๆ น่าสนใจ”
โยวหมิงมองมู่เฉินที่มีพลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยพลางยิ้มเอ่ย “แกคิดจะใช้ชีวิตเข้าสู้เรอะ? แต่กลัวว่าความพยายามจะสูญเปล่านะสิ”
“ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินว่าสูญเปล่าไหม!”
มู่เฉินตะเบ็งเสียง จากนั้นแสงสีทองก็กวาดออกจากร่างเทพสุริยะ ย้อมเสาปีศาจจนกลายเป็นสีทองอร่ามทันที จากนั้นก็ระเบิดมิติ พลังทำลายล้างปกคลุมร่างโยวหมิงพร้อมกับเงาขนาดใหญ่
เผชิญกับศัตรูทรงพลังเช่นนี้ มู่เฉินก็เร้าพลังจนถึงขีดสุด
จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนมีสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อมองพลังโจมตีที่มู่เฉินปล่อยออกมา ความกล้าหาญของมู่เฉินน่ายกย่องและน่าตกใจ
ทว่าในการต่อสู้ที่มีระยะห่างเช่นนี้ ความกล้าหาญอย่างเดียวอาจไม่สามารถส่งผลได้มากนัก
ทุกอย่างถูกกำหนดด้วยพลัง!
การปะทะครั้งนี้รุนแรงกว่าเดิมแน่นอน!