หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 808 บันไดมังกรหงส์
คลื่นหลิงรุนแรงสลายจากท้องฟ้า
การต่อสู้ที่ทำให้ทุกคนอกสั่นขวัญแขวนจบลงแล้ว จอมยุทธ์สองคนที่ยืนอยู่บนฟ้ากลายเป็นเป้าสายตาที่โดดเด่นที่สุดในบริเวณนี้
สายตาของมู่เฉินจับจ้องที่จุดสูงสุดของจัตุรัสมังกรหงส์ ภายใต้สายตาร้อนแรงนับไม่ถ้วน แสงสีทองเจิดจ้ากำจายออกมาจากทิศทางนั้น พร้อมเปล่งเสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าในยุคโบราณแว่วมา
มรดกมังกรหงส์อยู่ตรงนั้น
ฮึ่ม!
จัตุรัสมังกรหงส์เหมือนจะสัมผัสได้ถึงจำนวนคนที่น้อยลง ทำให้กระแสธารสีทองพวยพุ่งออกจากยอดสูงสุด ก่อตัวเป็นบันไดสีทอง
มรดกมังกรหงส์อยู่ที่ปลายบันไดนั่น
“ไปรับมรดกของเรากันเถอะ” ไฉ่เซียวมองบันไดสีทองมลังเมลืองด้วยรอยยิ้มบาง ในที่สุดพวกนางก็มาถึงที่นี่หลังผ่านการต่อสู้ยากลำบากมาหลายด่าน ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่พวกนางจะเก็บเกี่ยวผประโยชน์แล้ว
มู่เฉินพยักหน้า จากนั้นทั้งสองก็เคลื่อนไหวไปปรากฏตัวตรงบันไดสีทองขั้นล่างสุด จากนั้นฝ่าเท้าก็ก้าวขึ้นไปท่ามกลางสายตาอิจฉานับไม่ถ้วน
ที่ด้านหลัง ซูปี้เยี่ย หงหยูและติงเฉวียนต่างเดินตามไปอยู่ห่างๆ แม้พวกเขาจะไม่สามารถแตะต้องยอดมรดกได้ แต่พวกเขาก็ได้รับประโยชน์ไม่น้อยที่ลดหลั่นลงมา
กลุ่มคนเดินไปที่บันไดสีทอง จากนั้นก็หยุดอยู่ที่ขั้นของตน มู่เฉินเงยหน้าขึ้นเห็นแท่นบูชาสีทองอยู่ตรงปลายสุดของบันได
แท่นมีร่างของมังกรและหงส์ฟ้าเกาะเกี่ยวกันพร้อมกับเปล่งรัศมีโบราณออกมา ทำให้ทั่วบริเวณรู้สึกได้ถึงความเวิ้งว้าง เมื่อมาถึงที่นี่ แม้แต่สีหน้าของไฉ่เซียวก็ยังเปลี่ยนไปเล็กน้อยจากแรงกดดันน่ากลัวที่แผ่ออกมา
แรงกดดันราวกับต้องการแช่แข็งมิติไว้
ที่จุดสูงสุดของแท่นบูชามีบันไดเพียงสิบขั้น ทว่าบันไดทั้งสิบขั้นยากที่จะก้าวขึ้นไปตามธรรมชาติเนื่องจากแรงกดดันของมังกรหงส์ที่น่ากลัวแผ่ออกมา ราวกับต้องการบดขยี้คนที่ขึ้นบนบันไดให้กลายเป็นเนื้อบด
“แรงกดดันตรงนี้…” สีหน้าของไฉ่เซียวขรึมลงอดไม่ได้ที่จะมุ่นคิ้ว นั่นเป็นเพราะนางรู้สึกได้ว่าแรงกดดันมังกรและหงส์ฟ้าในสถานที่แห่งนี้ว่าน่ากลัวเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงบันไดทองคำทั้งสิบขั้นตรงหน้า นางรู้สึกว่าถ้าก้าวขึ้นไป แรงกดดันมังกรและหงส์ฟ้าน่ากลัวก็จะกดทับบนร่างนางแน่นอน
แรงกดดันนี้ทรงพลังยิ่งกว่าในสระมังกรหงส์ชั้นยอดนั่นเสียอีก
“ว่ากันว่าหัวใจของมังกรและหงส์ฟ้าตกอยู่ในบริเวณนี้ แล้วก่อร่างเป็นจัตุรัสมังกรหงส์ขึ้นมาและผนึกมรดกเอาไว้… ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงมีแรงกดดันมังกรและหงส์ฟ้าน่ากลัวที่สุด”
“ส่วนบันไดสิบขั้นเป็นการทดสอบสุดท้ายสำหรับมรดกมังกรหงส์ ที่เรียกว่าบันไดมังกรหงส์ ตราบใดที่สามารถขึ้นไปได้ ก็จะได้รับมรดกสุดท้าย” มู่เฉินขบฟันรู้สึกได้ถึงแรงกดดันมังกรและหงส์ฟ้าอันน่ากลัว หากไม่ใช่เพราะกายามังกรหงส์ละก็ เขาคงล้มทรุดไปนานแล้ว
“หลายปีที่ผ่านมาในศึกมังกรหงส์ มีจอมยุทธ์มากมายที่มาถึงที่นี่ แต่แม้กระทั่งพวกขั้นเทพของเทพยังก้าวขึ้นไปได้แค่ขั้นเก้าเลย…”
“โอ้?” ดวงตาไฉ่เซียวหดลงขณะที่แววตาเคร่งเครียดลงหลายส่วน เขตหลงเฟิ่งน่าสะพรึงจนถึงจุดที่ไม่มีใครสามารถก้าวขึ้นไปถึงบันไดขั้นสิบได้ หลังจากเปิดตัวมาหลายปีงั้นหรือ?
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?” ไฉ่เซียวถามขณะมองมู่เฉิน
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองปลายบันได แสงสีทองกำจายออกมาจากทิศที่มองไป พร้อมกับแรงกดดันทรงพลัง มรดกมังกรหงส์โบราณจะต้องถูกซ่อนอยู่ที่นั่น
“ไม่ง่ายที่จะให้ข้ายอมแพ้หรอก!” ม่านตาสีดำของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นคมกริบขณะที่ส่งเสียงขึ้นจมูก ไม่มีความลังเลใดๆ ขณะที่เขาย่างเท้าขึ้นไปบนบันไดมังกรหงส์ขั้นแรก
ตู้ม!
ทันทีที่มู่เฉินก้าวขึ้นไปบนบันได เสียงมังกรคำรามกึกก้องก็ดังขึ้นพร้อมกับแรงกดดันน่ากลัวกดทับลงมา
มู่เฉินรู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้งราวกับภูเขา
แต่เขาก็กัดฟันก้าวขึ้นไปอีกขั้นด้วยฝ่าเท้าสั่นระริก
ร่างของมู่เฉินโงนเงนอยู่บนบันได เห็นชัดว่ากำลังแบกรับแรงกดดันมหาศาลไว้ ทุกฝีก้าวทำให้เขาต้องเหงื่อแตกพลั่ก ความรู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัสขณะที่กล้ามเนื้อปริแยกจากกัน
ที่ด้านหลัง ไฉ่เซียวตามมาติดๆ แม้นางจะไม่ได้ยากลำบากเหมือนมู่เฉิน แต่ฝีเท้าก็หนักอึ้งไปเช่นกัน เห็นชัดว่านางก็แบกแรงกดดันน่ากลัวไว้
เยื้องไปที่ด้านหลัง ก็เป็นเรื่องยากสำหรับซูปี้เยี่ย หงหยูและติงเฉวียนในการก้าวเดินขึ้นไปเช่นกัน
ทุกสายตาในบริเวณนี้พุ่งตรงไปที่บันไดมังกรหงส์ ตรงจุดที่จอมยุทธ์ทั้งห้าคนก้าวเดินช้าๆ พวกเขาอยากรู้ว่าทั้งห้าคนจะสามารถก้าวเดินขึ้นบันไดมังกรหงส์ไปได้ไกลแค่ไหน!
ภายใต้การจ้องมองเหล่านั้น ฝีเท้าของมู่เฉินก็สั่นระริกขณะหยุดอยู่ที่บันไดขั้นหก เมื่อเขาก้าวมาถึงที่นี่ เขาก็รู้สึกว่าผิวหนังเริ่มฉีกขาดเลือดไหลซึมออกมา
แม้ว่าจะมีกายามังกรหงส์ แรงกดดันที่นี่ก็ถือว่าเหลือกำลังนัก
ไฉ่เซียวเดินตามหลังมู่เฉินพร้อมกับเหงื่อเม็ดใหญ่ผุดบนใบหน้าขาวนวล กระทั่งนางที่มีพลังแก่กล้า ก็ยังไม่รอดพ้นจากแรงกดดันน่ากลัวของที่นี่
“เจ้าจะไปต่อรึ?” ไฉ่เซียวขบฟันเอ่ยออกมาเมื่อมองเห็นเลือดที่ไหลซึมออกจากแผ่นหลังของมู่เฉิน
มู่เฉินไม่พูดอะไรแต่พยักหน้าหนักแน่น ในม่านตาสีดำไม่มีแววท้อถอยขณะที่ก้าวเท้าขึ้นไปอีกขั้น
เปรียะ!
บาดแผลฉกรรจ์ปรากฏบนหัวไหล่เขาพร้อมกับเลือดไหลออกมาหยดลงไปที่ฝ่าเท้าของมู่เฉิน ทิ้งรอยเท้าสีแดงบาดตาไว้เบื้องหลัง
เลือดบนร่างกายมู่เฉินเพิ่มขึ้น มีกระทั่งบาดแผลปรากฏบนใบหน้าจนเลือดสดไหลบดบังสายตา ทว่าเขาก็ยังก้าวเดินอย่างมั่นคงด้วยฝีเท้าหนักแน่น
สุดท้ายเขาก็หยุดอยู่ที่บันไดขั้นแปด
ยามนี้ร่างกายของมู่เฉินโชกเลือดไปหมด แรงกดดันน่ากลัวจากรอบด้านราวกับจะบดขยี้เขา แสงสีทองเข้มกำจายออกมาจากเลือดและกล้ามเนื้อ นี่คือแก่นเลือดมังกรหงส์ที่กำลังซ่อมแซมร่างกายที่เสียหายของเขา
ถ้าไม่ได้รับการปกป้องจากแก่นเลือดมังกรหงส์ ร่างเขาคงระเบิดไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นมู่เฉินก็รู้สึกว่าตนเองสูญเสียการมองเห็นและการได้ยินไปในตอนนี้ ทุกสรรพเสียงล้วนหายไป มีเพียงแรงกดดันหนักหน่วงปกคลุมตัวเขาอย่างต่อเนื่อง
ร่างของมู่เฉินโงนเงนขณะยืนอยู่บนบันไดขั้นแปด ไฉ่เซียวก็ก้าวมาถึงระดับเดียวกับเขาเช่นกัน เหงื่อกลิ่นอ่อนไหลลงไปตามลำคอเพรียวระหง ทำให้เสื้อผ้าเปียกชุ่มเน้นทรวดทรงงดงามของนางขึ้นมา
ใบหน้าของนางซีดลงหลายส่วน ทรวงอกสะท้อนขึ้นลงหนักแน่น ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด แต่เมื่อมองมู่เฉินแล้ว กลับมีริ้วเป็นห่วงกังวลฉายในนัยน์ตานาง
ตอนนี้นางรู้แล้วว่าทำไมถึงไม่มีใครสามารถขึ้นไปถึงบันไดขั้นสิบได้ เพราะจากการประเมินของนาง ตัวนางคงขึ้นไปได้ถึงแค่ขั้นเก้า นั่นน่าจะเป็นเรื่องสุดความสามารถของนางแล้ว หากยังฝืนต่อไป ร่างกายของนางแตกสลายจากแรงกดดันนั้นเลย
ที่เบื้องหลังทั้งสอง ซูปี้เยี่ย หงหยูและติงเฉวียนหยุดยืนอยู่บนบันไดขั้นหกไม่ก้าวขึ้นมา นั่นเพราะพวกเขารู้ว่านี่เป็นระดับสุดความสามารถแล้ว ร่างกายของพวกเขาไม่สามรถรับไหวหากยังฝืนไปต่อ
คนทั้งสามนั่งลงบนขั้นบันไดกว้าง มองสองคนที่อยู่เบื้องหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นร่างมู่เฉินที่ปกคลุมไปด้วยชั้นเลือด แววประทับใจก็ฉายในดวงตาของพวกเขา
มู่เฉินมีขุมพลังจื้อจุนขั้นสามเท่านั้น แต่เขากลับสามารถขึ้นไปถึงบันไดขั้นแปดได้ แรงกดดันที่เขาต้องทนรับหนักหนาขนาดไหน หากเป็นคนที่อ่อนแอกว่าคงล้มฟุบไปในทันทีแล้ว
ก่อนหน้าพวกเขายังคงสงสัยเล็กน้อยจากความจริงที่มู่เฉินเอาชนะหลิ่วเหยียนและต่อกรกับโยวหมิงได้ด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นสาม แต่ในตอนนี้พวกเขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมจึงมีปาฏิหาริย์มากมายเกิดขึ้นรอบตัวชายหนุ่ม
ปาฏิหาริย์ไม่ได้มาจากสวรรค์ประทาน แต่ถูกสร้างขึ้นจากความมุมานะของเขา
ซูปี้เยี่ยกับหงหยูมองหน้ากัน สายตาของพวกนางค่อนข้างซับซ้อน
ไฉ่เซียวปาดเหงื่อออกจากคางมองมู่เฉินที่ทั้งตัวโชกเลือด ก่อนที่ริมฝีปากสีแดงชาดจะขยับขึ้นลง “อย่าไปต่ออีกเลย”
“เจ้าขึ้นไปเถอะ” เลือดสดแข็งตัวจนพอกใบหน้ามู่เฉิน เสียงสั่นพร่าอย่างยิ่ง ราวกับว่าแม้แต่ลำคอของเขายังได้รับความเสียหายจากแรงกดดันนั้น
ไฉ่เซียวพยักหน้าจากนั้นก็ขบฟันพร้อมกับลงฝีเท้าอย่างนุ่มนวล คลื่นหลิงมหาศาลปกคลุมรอบกายนางต้านพลังกดดันน่ากลัวไว้ ฝ่าเท้าเล็กบางสั่นเทาเหยียบลงบนบันไดขั้นเก้า
บันไดขั้นเก้า!
เสียงฮือฮาดังขึ้นทั่วบริเวณ หลังจากผ่านมาหลายปีตั้งแต่เขตหลงเฟิ่งเปิดตัว ก็มีอัจฉริยชนคนเดียวเท่านั้นที่สามารถขึ้นไปยังบันไดขั้นเก้าได้ ไม่คิดว่าครั้งนี้จะมีคนทำสำเร็จอีกแล้ว
ท่ามกลางความโกลาหล มู่เฉินที่ร่างกายมีแต่เลือดก็เงยหน้าขึ้นด้วยความยากเย็นขณะที่สายตาพร่าเลือนมองไปยังยอดจัตุรัสมังกรหงส์ตรงที่แสงสีทองกำจายออกมา ราวกับว่ามีมังกรและหงฟ้าส์กำลังมองลงมาจากเบื้องบน แผ่แรงกดดันไร้ที่สิ้นสุดออกมา
แรงกดดันนั้นสามารถทำให้ผู้คนแดดิ้นลงได้เลย
ทว่ามู่เฉินในตอนนี้กลับกำหมัดแน่น เบื้องหน้าคือภูเขายากเอาชนะที่ขวางเส้นทางเขาไว้ แม้จะมีพลังกายทรงประสิทธิภาพ แต่แรงกดดันที่น่ากลัวก็ไม่อาจต้านทานได้
มู่เฉินรู้สึกเลือนรางว่าร่างกายจะเริ่มแตกสลายเมื่อก้าวเท้าขึ้นไปสู่บันไดขั้นเก้า และบนขั้นสิบนั้นก็มีโอกาสถึงแปดส่วนที่ร่างกายของเขาจะระเบิด
ตอนนี้…จะยอมแพ้เหรอ?’
สายตาของมู่เฉินค่อยๆ พร่ามัวขณะร่างงดงามปรากฏในความมืด นางสวมชุดดำมีเรือนผมสีเงินยวงยาวสยาย ดวงตาแก้วใสกำลังมองมาที่เขาด้วยความอ่อนโยนไร้ที่สิ้นสุด
ลั่วหลี
หญิงสาวที่ทำให้เขามีแรงผลักดัน…ในตอนนี้น่าจะกลับไปยังตระกูลลั่วเสิน แบกรับภาระเพื่อกอบกู้ตระกูลของนางอยู่สินะ? แรงกดดันที่นางต้องแบกรับไว้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย
และเขาเคยให้คำมั่นกับนางว่า…จะเป็นยอดยุทธ์ของโลก…
ดวงตาที่พร่ามัวจากเลือดเบิกโพลง ไม่มีความลังเลอยู่ในแววตามู่เฉินแม้แต่น้อย เส้นทางการแห่งการเป็นหนึ่งเต็มไปด้วยขวากหนามเสมอ หากเขายอมแพ้เรื่องง่ายๆ เขาจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับคนรักได้อย่างไร?
“อ้ะ?!”
ทันใดนั้นเสียงตกตะตึงก็ดังขึ้นทั่วบริเวณ ซูปี้เยี่ยกับหงหยูพากันปิดปากพร้อมกับดวงตาฉายแววตกตะลึงเมื่อมองขึ้นไป ร่างโงนเงนที่ดูเหมือนจะล้มลงทุกเมื่อก็ปล่อยรัศมีทรงพลังออกมา เขาเงยหน้าขึ้นฟ้าร้องคำรามก่อนจะก้าวไปข้างหน้าอย่างดุดัน!
ก้าวเดียวเขาก็ขึ้นไปบนบันไดขั้นเก้าแล้ว!
ดวงตาของไฉ่เซียวเบิกกว้างพร้อมกับแววตะลึงใจฉายบนใบหน้า นั่นเพราะนางตระหนักได้ว่าตอนนี้มีบาดแผลฉกรรจ์ปริแตกบนร่างของมู่เฉินขณะที่เลือดสดหลั่งไหลออกมา
ความเจ็บปวดรุนแรงกระโจนออกมา เกือบจะทำให้มู่เฉินหมดสติ แต่เขากลับก้าวไปอีกก้าวท่ามกลางเสียงร้องคำราม!
ดวงตาของไฉ่เซียวเต็มไปด้วยความตกตะลึง
เสียงสูดหายใจรับอากาศเย็นเยือกนับไม่ถ้วนดังขึ้น ตอนนี้พวกเขารู้ดีว่ามู่เฉินกำลังพยายามจะทำอะไร
บันไดขั้นสิบ!
มู่เฉินยืนอยู่บนสุดของบันไดมังกรหงส์ ทว่าจากนั้นใบหน้าของไฉ่เซียวก็เริ่มเปลี่ยนแปลงรุนแรง เพราะนางเห็นว่าร่างของมู่เฉินกำลังจะระเบิดออกในเวลานี้!
เลือดสดกระเซ็นไปทุกทิศทาง!
เนื้อของเขาแตกออกไปหมดแล้ว!