หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 816 ชิงตำแหน่งผู้บัญชาการ
ในเวลาสิบวันต่อมา
มู่เฉินก็ไม่ได้ย่างเท้าออกจากหอวิหคโลกันตร์เลย เขาปิดกั้นสิ่งรบกวนจากโลกภายนอกและเข้าสู่การเก็บตัวห้องฝึกยุทธ์
หลังจากทราบข่าวคราวของลั่วหลี เขาก็รู้ว่าการทำงานหนักและพัฒนาการที่เขาทำมาทั้งหมดนั้นยังห่างจากคำว่าพอ เมื่อเทียบกับหญิงสาวคนรักที่ทำงานหนักอยู่เช่นกัน
ยังมีหนทางอีกยาวไกลสำหรับคำสัญญาที่เขาได้ให้กับนาง ดังนั้นตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เขาจะพอใจและผ่อนคลาย
เขาต้องแข็งแกร่งกว่านี้!
ขณะที่มู่เฉินปิดกั้นสิ่งรบกวนเข้าสู่สภาวะฝึกยุทธ์ ภูมิภาคทางเหนือกลับเต็มไปด้วยข่าวของเขา ก่อให้เกิดความโกลาหลไม่น้อย เนื่องจากเขาเป็นคนแรกที่ก้าวขึ้นบันไดขั้นสิบของเขตหลงเฟิ่งได้หลังจากเปิดมาหลายปี แล้วพวกจอมยุทธ์ภูมิภาคทางเหนือจะไม่รู้สึกตกใจไปกับความสำเร็จของเขาได้อย่างไร?
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากรู้ว่ามู่เฉินอยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นสามเท่านั้น มิหนำซ้ำยังเอาชนะหลิ่วเหยียนและขัดขวางโยวหมิงได้ เมื่อได้รับรู้ความสำเร็จเหล่านั้น แววประหลาดใจก็แรงกล้ามากขึ้น
ทุกครั้งที่เปิดศึกมังกรหงส์ก็จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใหญ่ในบันทึกมังกรหงส์ ครั้งนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน ซึ่งคนที่เจิดจรัสที่สุดก็คือมู่เฉินที่เป็นม้ามืด
ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จในการเอาชนะหลิ่วเหยียน ขัดขวางโยวหมิงหรือก้าวขึ้นสู่บันไดมังกรหงส์ขั้นสิบได้ นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ชื่อของเขาขจรขจายในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งภูมิภาคทางเหนือ
ดังนั้นหลังจากการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญนับไม่ถ้วน บันทึกมังกรหงส์ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ชื่อของมู่เฉินขึ้นมาแทนที่หลิ่วเหยียนในอันดับสาม แซงหน้าจอมยุทธ์อย่างซูปี้เยี่ย หงหยูและคนอื่นๆ
อันดับสูงขึ้นไปก็คือโยวหมิงและฟังยี่ที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง พลังที่สองคนนั้นแสดงออกมาอยู่เหนือกว่าทุกคน แม้กระทั่งมู่เฉินที่แสดงความสามารถออกมาอย่างเยี่ยมยอดในครั้งนี้ก็ทำได้เพียงขัดขวางโยวหมิงเท่านั้น
สำหรับไฉ่เซียวที่จรัสแสงที่สุดในศึกมังกรหงส์ นางก็ราวกับตำนาน หลังจากเขตหลงเฟิ่งปิดลง ไฉ่เซียวก็ออกจากภูมิภาคทางเหนือ ทิ้งเงาร่างสะคราญโฉมติดตรึงใจไว้ เพราะความจริงนางไม่ใช่คนในภูมิภาคทางเหนือ ชื่อของนางจึงไม่ปรากฏอยู่บนบันทึกมังกรหงส์ แต่คนที่เข้าร่วมศึกครั้งนี้ไม่อาจลืมนางได้เลย นางมีความงดงามน่าทึ่งประหนึ่งราชินี แม้แต่อัจฉริยะอย่างฟังยี่กับโยวหมิงก็ไม่ได้อยู่ระดับเดียวกับนาง
ที่เทือกเขาหลงเฟิ่ง ตัวตนของไฉ่เซียวที่เผยออกมาสร้างความตกตะลึงให้กับขั้วอำนาจน้อยใหญ่ในภูมิภาคทางเหนือ นางเป็นธิดาของเทพจักรพรรดิอัคคี แม้แต่หมู่ตึกเทวะก็ไม่กล้ามองข้ามเรื่องนี้ เพราะมีเพียงยักษ์ในระดับพวกเขาเท่านั้นที่จะเข้าใจได้ดีว่าแคว้นหวู่จิ้งฮั่วกับเทพจักรพรรดิอัคคีมีพลังอำนาจเพียงใดในมหาพันภพ
แค่คิดถึงเรื่องนี้แม้แต่หมู่ตึกเทวะกับจวนยมโลกยังรู้สึกหวาดผวาขึ้นมา โชคดีที่ไฉ่เซียวเอาชนะฟังยี่กับโยวหมิงได้ ไม่อย่างนั้นหากนางพ่ายแพ้และได้รับบาดเจ็บหนัก ก็จะจุดเพลิงโทสะให้แคว้นหวู่จิ้งฮั่วซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาตามมาอย่างแน่นอน
และความคิดเช่นนี้ทำให้ขั้วอำนาจชั้นยอดรู้สึกสลดลง เพราะพวกเขายืนอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของภูมิภาคทางเหนือ แต่กลับหวาดกลัวที่จะทำอันตรายใครบางคนและความวอดวายมาให้ตนเอง…
แต่เรื่องนี้ก็โทษพวกเขาไม่ได้ เนื่องจากยักษ์ใหญ่อย่างแคว้นหวู่จิ้งฮั่วน่าสะพรึงกลัวเหลือเกิน
หลังจากชื่อของมู่เฉินขึ้นสู่อันดับสามบนบันทึกมังกรหงส์ ความวุ่นวายในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ค่อยๆ สงบลง แทนที่ด้วยเหตุการณ์ที่น่าสนใจมากกว่านั้น
พิธีมอบยศราชัน
ในสายตาของจอมยุทธ์อาณาเขตกงเวทสวรรค์ นี่เป็นเรื่องที่ดึงดูดความสนใจยิ่งกว่าศึกมังกรหงส์ เนื่องจากพิธีมอบยศราชันเป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนตัวของพวกเขา
อาณาเขตกงเวทสวรรค์มีเขตแดนกว้างใหญ่ไพศาล มีจอมยุทธ์มากมายราวกับหมู่เมฆภายใต้นั้น ทว่าลำดับชั้นภายในเข้มงวดอย่างยิ่ง ผู้ปกครองมีประมุขเพียงหนึ่งเดียว ไล่ลำดับลงมาก็คือสามจอมพล เก้าผู้บัญชาการ แม่ทัพน้อยใหญ่ เจ้าเมืองและกองกำลังย่อย การเพิ่มขึ้นในลำดับชั้นจะแสดงถึงการเพิ่มขึ้นของทรัพยากรและสถานะ
สามจอมพลมีพลังแข็งแกร่ง มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดเท่านั้นที่จะได้รับการเสนอชื่อเป็นจอมพล ดังนั้นจึงมีน้อยคนในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่มีคุณสมบัตินี้
ส่วนตำแหน่งผู้บัญชาการน่าดึงดูดใจอย่างยิ่งในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ นั่นเพราะการเป็นผู้บัญชาการทำให้พวกเขาสามารถสร้างขุมกำลังของตัวเอง ไม่เพียงแต่พวกเขาจะได้รับของเหลวจื้อจุนปริมาณมหาศาลจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ พวกเขายังได้ปกครองเมืองต่างๆ หลังโจมตีขั้วอำนาจอื่นสัดส่วนรางวัลที่ต้องส่งบรรณาการให้อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็น้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับเมืองและกองกำลังย่อย ดังนั้นจึงมีคนจำนวนมากใฝ่ฝันถึงตำแหน่งผู้บัญชาการ
ทว่าโดยธรรมเนียมตำแหน่งผู้บัญชาการเป็นของจอมพลังยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า แน่นอนว่าจิ่วโยวได้รับข้อยกเว้น เนื่องจากนางมีกองหนุนใหญ่อย่างเผ่าวิหคโลกันตร์ พูดให้ตรงประเด็นเผ่าเทพอสูรนี้ที่มีประวัติความเป็นมายาวนานเป็นสิ่งที่แม้แต่มั่นถัวหลัวยังหวาดหวั่น ดังนั้นนี่จึงเป็นข้อยกเว้นสำหรับจิ่วโยว
ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จอมยุทธ์คนอื่นจะมีโอกาสเช่นนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงต่อสู้ชิงมาด้วยพลังของตัวเอง
ส่วนพิธีมอบยศราชันก็คือโอกาสรับตำแหน่ง ดังนั้นกล่าวได้ว่างานนี้สำคัญขนาดไหน
ด้วยเหตุนี้ขณะที่ภูมิภาคทางเหนือยังคงอยู่ในความโกลาหลจากการที่มู่เฉินคว้าอันดับสามในบันทึกมังกรหงส์ จอมยุทธ์ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์กลับเริ่มพุ่งความสนใจมายังพิธีมอบยศราชันที่จะมีขึ้น
ตราบใดที่ได้รับตำแหน่ง สถานะของพวกเขาก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นในอาณาเขตกงเวทสวรรค์
ดังนั้นภายใต้การรอคอยอย่างใจจดจ่อของจอมยุทธ์จำนวนมาก พิธีมอบยศราชันก็มาถึงตามกำหนดการ
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
วันนี้อาณาเขตกงเวทสวรรค์ดูคึกคักมากที่สุดในรอบปี ลำแสงพุ่งผ่านเขตต้าหลัวเทียนราวกับฝูงตั๊กแตนจากทุกทิศทาง
การรักษาความปลอดภัยในเขตต้าหลัวเทียนหนาแน่นขึ้นกว่าเดิม หน่วยใต้บัญชาของผู้บัญชาการทั้งหลายร่วมกันรักษาความสงบเรียบร้อยป้องกันไม่ให้เกิดความวุ่นวายในงานยิ่งใหญ่จนอาจทำให้ตัวเองต้องอับอาย
ทว่าพิจารณาจากภาพตระการตานี้ พิธีมอบยศราชันก็สมกับการเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ คนจำนวนมากตื่นเต้นไปกับเรื่องนี้ ใครๆ ก็อยากรู้ว่าผู้ใดที่จะมาเป็นผู้บัญชาการลำดับสิบ
หอวิหคโลกันตร์
ด้านนอกห้องฝึกยุทธ์คนสองคนยืนนิ่ง คนด้านหน้าก็คือจิ่วโยว โดยมีถังปิงสวมชุดดำยืนอยู่ด้านหลัง
ตอนนี้ถังปิงกำลังขมวดคิ้วมองห้องฝึกที่ปิดตาย “พิธีมอบยศราชันจะเริ่มอีกไม่ช้าแล้ว เจ้านั่นยังไม่ออกมาอีก”
จิ่วโยวยิ้มดูไม่รีบร้อน “ต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อมน่ะ การชิงตำแหน่งผู้บัญชาการลำดับสิบไม่ใช่เรื่องง่าย”
“หึ เพื่อการเก็บตัวฝึกของเจ้านี่ ข้าต้องควักของเหลวจื้อจุนถึงสองแสนหยดด้วยความลำบากใจ ถ้าเขาล้มเหลวละก็ข้าจะเค้นคอให้เขาคายออกมาให้หมด” ถังปิงเอ่ยอย่างปวดใจ นางเป็นผู้ดูแลหอวิหคโลกันตร์โดยที่ของเหลวจื้อจุนทั้งหมดอยู่ใต้การควบคุมดูแลของนาง จิ่วโยวให้ของเหลวจื้อจุนกับมู่เฉินสองแสนหยดสำหรับการเก็บตัวครั้งนี้ ซึ่งต้องผ่านมือถังปิงเพื่อทำการถอน
“ขี้เหนียวจริง วางใจเถอะ เขาคุ้มค่ากับการลงทุนนะ” จิ่วโยวอดไม่ได้ที่จะยิ้ม จากนั้นก็ลูบใบหน้าของถังปิงเอ่ยเย้า “เจ้าเอาตัวเองไปลงทุนก็ได้นะ ข้าว่าผลกำไรน่าจะใช้ได้เลยนะ”
“พี่ใหญ่!”
ถังปิงหน้าเห่อแดง นางรักษาท่าทางเย็นชาเกือบตลอดเวลา ทำให้ดูเข้มงวดไม่น้อย ดังนั้นการกระทำแบบสาวน้อยเขินอายเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องหาดูได้ยาก
“ใครอยากจะลงทุนกับข้าเหรอ?” เวลานี้ห้องฝึกยุทธ์ก็เปิดออกพร้อมกับเสียงหัวเราะร่วนดังมาจากข้างใน มู่เฉินเดินออกมาพลางมองหญิงสาวทั้งสองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
พอเห็นมู่เฉินแสดงตัว ใบหน้าของถังปิงก็แดงซ่านขึ้นไปอีก จากนั้นก็กวาดมองมู่เฉินก่อนที่จะขมวดคิ้ว “เจ้าไม่ได้บรรลุขุมพลังเรอะ?”
แม้คลื่นหลิงรอบตัวมู่เฉินจะหนาแน่นมากขึ้น แต่ก็ยังอยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นสาม ไม่ได้บรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่อย่างที่ถังปิงคาดไว้
พอได้ยินคำพูดนาง ใบหน้าของมู่เฉินก็ดูขมขื่นพร้อมกระตุกยิ้ม “เจ้าเห็นข้าเป็นตัวอะไร? ทุกครั้งที่เก็บตัวจะต้องบรรลุขุมพลังเหรอ?”
ใบหน้าของถังปิงแดงก่ำ จากนั้นก็บ่มพึมพำ “ถ้างั้นก็ไม่เท่ากับว่าของเหลวจื้อจุนสูญเปล่าเหรอ?”
มู่เฉินอดกลอกตาไม่ได้
จิ่วโยวเดินวนเวียนรอบตัวมู่เฉิน ดวงตาเปล่งประกาย สายตาของนางเฉียบแหลมมากกว่าถังปิง นางจึงสัมผัสได้ว่าคลื่นหลิงของมู่เฉินตอนนี้เต็มเปี่ยม ยิ่งกว่านั้นเขาเหมือนจะจงใจกดอะไรบางอย่างไว้
“ดูเหมือนประโยชน์ที่เจ้าได้รับจากการเก็บตัวครั้งนี้จะดีไม่น้อย” จิ่วโยวยิ้ม
มู่เฉินยิ้มแต่ไม่พูดอะไร เขาเหยียดเอวมองท้องฟ้าด้านนอกหอวิหคโลกันตร์ สามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงทรงพลังจำนวนมากพุ่งมาจากทุกทิศทาง
“ช่างสมกับเป็นงานพิธีสำคัญที่สุดในอาณาเขตกงเวทสวรรค์” มู่เฉินตกใจเล็กน้อย หลังจากอยู่ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์มานาน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนจำนวนมากมายมารวมตัวกันในสถานที่แห่งนี้
“เจ้าเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง?” จิ่วโยวยิ้มมองมู่เฉิน
มู่เฉินสูดหายใจลึกขณะสายตาเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดพลางพยักหน้าเบาๆ ครั้งนี้พิธีมอบยศราชัน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าเมืองเทียนหลัว—ฉินจง หรือเจ้าสำนักภูตจันทรา—ชิวไท่ยิง พลังของพวกเขาก็ไม่ด้อยกว่าโยวหมิงเลย
ถ้าเขาต้องการตำแหน่งผู้บัญชาการ ก็จะต้องเกิดการต่อสู้ดุเดือดแน่นอน
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างเขาจะขี้ขลาด
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นพร้อมกับใบหน้าของหญิงสาวคนรักวาบผ่านในหัวสมอง จากนั้นเขาก็กำหมัดเดินออกไป
“ไปกันเถอะ”
ตำแหน่งผู้บัญชาการลำดับสิบ เขาต้องชิงมาให้ได้