หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 826 เตรียมทำศึก
ความปั่นป่วนลดลงจากเสียงอื้ออึงมากมาย
จอมยุทธ์อาณาเขตกงเวทสวรรค์ต่างถอนหายใจ เนื่องจากไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสามจะเป็นผู้ชนะในพิธีมอบยศราชัน
สายตาแต่ละคู่เปี่ยมไปด้วยความอิจฉาผสมตกตะลึง แต่ก็ไม่ได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ เพราะพลังที่มู่เฉินแสดงในพิธีมอบยศราชันทำให้ทุกคนในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ตกตะลึงกันถ้วนหน้า
ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่บวกกับหลิงเจิ้นต้าซือขั้นตี้ นี่เทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าแล้ว แม้แต่ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่เต็มไปด้วยจอมยุทธ์มากมาย เขาก็นับได้ว่าเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงที่โดดเด่นคนหนึ่ง
ดังนั้นไม่ว่าผู้คนจะรู้สึกอิจฉากับความจริงที่มู่เฉินขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการลำดับสิบเพียงใด ก็ไม่มีใครรู้สึกไม่พอใจเลย เพราะในโลกนี้พลังคือหัวใจสำคัญ ซึ่งพลังที่มู่เฉินแสดงออกมาก็สมควรได้รับการยอมรับและเคารพจากจอมยุทธ์คนอื่นๆ ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์แล้ว
เขาไม่ใช่จอมยุทธ์หน้าใหม่เหมือนหนึ่งปีที่แล้วที่เพิ่งเข้าร่วมอาณาเขตกงเวทสวรรค์
ยิ่งกว่านั้นหอวิหคโลกันตร์ที่อยู่เบื้องหลังมู่เฉินก็ไม่สามารถมองเหมือนในอดีตได้ เมื่อก่อนหอวิหคโลกันตร์เป็นหน่วยรบที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาหน่วยรบทั้งเก้า ได้รับคำติฉินนินทามากมาย แต่หนึ่งปีที่ผ่านมานี้ หอวิหคโลกันตร์พุ่งทะยานพร้อมกับชื่อเสียงขจรขจายมากขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือตอนนี้หอวิหคโลกันตร์เป็นหน่วยรบเดียวในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่มีผู้บัญชาการสองคน!
นั่นหมายความว่าทรัพยากรที่หอวิหคโลกันตร์ได้รับจะเป็นสองเท่าของผู้บัญชาการคนอื่นๆ ภายใต้การสนับสนุนทรัพยากรมหาศาลนี้ ไม่ต้องบอกเลยว่าหอวิหคโลกันตร์จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งเพียงใด
บางทีในอนาคตสถานะของหน่วยรบที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็จะเปลี่ยนไป… ดังนั้นจึงเป็นเรื่องโง่เง่ามากที่จะท้าทายมู่เฉินกับจิ่วโยวในตอนนี้
ในพิธีมอบยศราชันนี้ นอกจากมู่เฉินจะเป็นผู้ชนะ เจ้าเมืองเทียนหลัว—ฉินจงก็ได้รับผลประโยชน์ไม่น้อยด้วยเช่นกัน แม้เขาจะไม่ได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการ แต่ผลงานที่เขาสร้างคุณูปการต่ออาณาเขตกงเวทสวรรค์มาหลายครั้ง มั่นถัวหลัวก็ให้คำมั่นว่าจะช่วยเขาให้บรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าให้จงได้ เมื่อใดที่เขาสามารถบรรลุขุมพลังดังกล่าว เขาก็จะได้รับการอวยยศเป็นผู้บัญชาการลำดับที่สิบเอ็ดของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ หลังจากสงครามล่าจบ
เกียรติยศนี้ทำให้ฉินจงรู้สึกตื่นเต้นยินดีนัก จอมยุทธ์คนอื่นๆ ก็เกิดความอิจฉา มั่นถัวหลัวใช้โอกาสนี้ยืนกรานว่าในสงครามล่านี้จะมีรางวัลให้ผู้ที่มีผลงานทุกคน นอกจากนี้รางวัลก็ยังเป็นสิ่งที่แม้แต่ผู้บัญชาการทุกคนยังตาลุกวาว ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์คนอื่นๆ เลย ดังนั้นบรรยากาศทั่วอาณาเขตกงเวทสวรรค์จึงคุโชนด้วยไฟแห่งการต่อสู้
เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ มู่เฉินก็อดเบ้ปากไม่ได้ มั่นถัวหลัวมีทักษะในการควบคุมคนนัก นางสมกับเป็นประมุขหนึ่งเดียวของอาณาเขตกงเวทสวรรค์
หลังพิธีมอบยศราชันปิดฉากลง มู่เฉินก็อยู่ในหอวิหคโลกันตร์เพื่อฝึกยุทธ์เงียบๆ และรักษาเสถียรภาพคลื่นหลิงที่วุ่นวายจากการบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ นอกจากนี้เวลาที่เหลือก็นำไปใช้ในการฝึกหน่วยรบวิหคโลกันตร์ สงครามล่ากำลังมาถึง มู่เฉินสามารถสัมผัสได้ว่าบรรยากาศในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ค่อยๆ ตึงเครียดลงหลายส่วน
แม้อาณาเขตกงเวทสวรรค์ของพวกเขาจะเป็นขั้วอำนาจสูงสุดในภูมิภาคทางเหนือ แต่ในสงครามล่าทุกครั้ง ก็ยังมีขั้วอำนาจสูงสุดถูกทำลายและกลืนกินด้วยขั้วอำนาจสูงสุดอื่น จอมยุทธ์ในขั้วอำนาจเหล่านั้นทำได้เพียงหนีเอาชีวิตรอดหรือยอมสวามิภักดิ์สำนักอื่น แต่ความพ่ายแพ้ที่เกิดก็ทำให้พวกเขาเป็นที่เย้ยหยันไม่ว่าจะไปอยู่ที่ใดก็ตาม
ดังนั้นสงครามล่าจึงเกี่ยวข้องกับตนเองโดยตรง ดังนั้นเพื่อไม่ให้ตนเองกลายเป็นสุนัขจรจัด พวกเขาจึงต้องทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างที่มีเพื่อให้อาณาเขตกงเวทสวรรค์สามารถอยู่รอดในสงครามล่าได้
ดังนั้นทั่วทั้งสำนักจึงอยู่ในสภาวะเตรียมทำศึกในช่วงนี้ บรรยากาศคุกรุ่นและตึงเครียดปกคลุมไปทั้งดินแดน
หอวิหคโลกันตร์ก็ไม่ได้อยู่นอกเหนือจากบรรยากาศนั้น แม้ว่ามู่เฉินจะได้รับตำแหน่งแล้ว แต่หน่วยรบวิหคโลกันตร์ก็ยังอยู่ใต้การควบคุมของเขา ด้วยการขยายขนาดของหน่วยรบวิหคโลกันตร์ในปีที่ผ่านมา ขนาดก็เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว บวกกับทรัพยากรในการฝึกที่อุดมสมบูรณ์ของหอวิหคโลกันตร์ ตอนนี้หน่วยรบวิหคโลกันตร์ก็ถือได้ว่าเป็นกองกำลังทรงพลังที่มีความแข็งแกร่งมากกว่าปีที่แล้วหลายเท่า
จากการคาดคะเนของมู่เฉิน เขาอาจจะต้องยืมพลังของหน่วยรบวิหคโลกันตร์ในสงครามล่า ดังนั้นเขาจะทำตัวตามสบายไม่ได้ เขาต้องรีบสร้างความสัมพันธ์กับนักรบเหล่านี้
หอวิหคโลกันตร์ ภายในลานฝึกกว้างใหญ่
นักรบวิหคโลกันตร์อยู่ในชุดเกราะดำกำลังฝึกฝนอยู่ในลาน ทุกคนนั่งเงียบๆ ขณะรัศมีจั้นยี่สีดำเมื่อมพวยพุ่งออกจากร่างกายรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือพวกเขา
รัศมีจั้นยี่นี้เหมือนมหาสมุทรสีดำถั่งโถมที่เต็มไปด้วยเสียงคำรามทำให้ทั่วบริเวณสั่นสะเทือนเบาๆ
ที่เบื้องหน้า มู่เฉินนั่งอยู่บนรูปปั้นสิงห์ สองมือวาดตราประทับ ดวงตาหลับลงเล็กน้อย คลื่นหลิงสายหนี่งยิงออกจากร่างกายเขา พุ่งเข้าไปในรัศมีจั้นยี่กว้างใหญ่ราวกับมหาสมุทรเหนือหน่วยรบวิหคโลกันตร์
คลื่นหลิงของเขาว่ายวนอยู่ในรัศมีจั้นยี่กว้างใหญ่ไพศาล หากมู่เฉินต้องการควบคุมรัศมีจั้นยี่ของหน่วยรบวิหคโลกันตร์ เขาก็ต้องให้รัศมีจั้นยี่ของหน่วยรบยอมรับเขา
ในอดีตความเข้ากันได้ของมู่เฉินกับหน่วยรบวิหคโลกันตร์นับว่าดีไม่น้อย แต่เนื่องจากช่วงนี้เขายุ่งอยู่กับศึกมังกรหงส์และพิธีมอบยศราชัน บวกกับการขยายของหน่วยรบวิหคโกลันตร์ ความเข้ากันได้จึงด้อยลงหลายส่วน ตอนนี้ในเมื่อมีเวลาแล้ว เขาก็ต้องรีบใช้เวลาทำความคุ้นชินกับหน่วยรบวิหคโลกันตร์
มู่เฉินใช้เวลาสี่ชั่วโมงในการทำความคุ้นเคยระหว่างพวกเขาก่อนที่จะลืมตามองหน่วยรบวิหคโลกันตร์ที่ดูราวมหาสมุทรสีดำ ในม่านเมฆสีดำหนาทึบของรัศมีจั้นยี่เหนือร่างนักรบ เสียงดังกระหึ่มออกมา ฟังคล้ายกับสายฟ้าฟาดจนทำให้เกิดความหวาดกลัวในจิตใจของคนฟัง
บางทีพลังของนักรบวิหคโลกันตร์คนเดียวอาจไม่ใช่สิ่งน่ากลัวในสายตาของมู่เฉิน แต่หากรัศมีจั้นยี่มารวมตัวกัน แม้แต่เขาก็รู้สึกถึงแรงกดดันเล็กน้อย
จากการคาดเดาของเขา หากสามารถควบคุมรัศมีจั้นยี่ของหน่วยรบวิหคโลกันตร์ได้ด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ที่มี แม้แต่จอมยุทธ์ที่บรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นห้ามาหลายปีเขาก็สามารถสยบได้อย่างง่ายดาย
“แม้หน่วยรบวิหคโลกันตร์จะทรงพลัง แต่ก็ยังด้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับหน่วยรบกงเวทสวรรค์ ” มู่เฉินถอนหายใจขณะมองหน่วยรบวิหคโลกันตร์ แม้ว่าพลังของหน่วยรบวิหคโลกันตร์จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย แต่ก็มีช่องว่างพลังขนาดใหญ่ระหว่างพวกเขากับกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ อย่างหน่วยรบกงเวทสวรรค์
แต่เนื่องจากความจริงที่หน่วยรบกงเวทสวรรค์ทรงพลังเกินไป มู่เฉินจึงรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะควบคุมรัศมีจั้นยี่ของหน่วยรบกงเวทสวรรค์ ถึงขนาดที่มู่เฉินเดาว่าแม้แต่แม่ทัพใหญ่อย่างฮั่วเม่ยเอ๋อก็ไม่สามารถควบคุมรัศมีจั้นยี่กงเวทสวรรค์ได้อย่างเต็มกำลังนัก
มีนักรบพันคนในหน่วยรบกงเวทสวรรค์และทุกคนล้วนมีขุมพลังจื้อจุน หากรัศมีจั้นยี่น่ากลัวถูกควบคุมได้ละก็ บางทีอาจมีแค่มั่นถัวหลัวกับสามจอมพลที่สามารถต่อกรกับพวกเขาได้
“สงครามล่าคงเป็นสถานที่ที่จะใช้ประโยชน์จากกองทัพ” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง ในสงครามล่าพลังของตัวคนเดียวจะเหลือน้อยนิด เว้นแต่จะแข็งแกร่งเท่ากับสามจอมพล มิฉะนั้นพวกเขาจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องพึ่งพาพลังของกองทัพ
“ดูเหมือนสงครามล่าจะไม่ง่ายซะแล้ว”
มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจขณะเงยหน้ามองออกไปนอกหอวิหคโลกันตร์ เมื่อสงครามล่ากำลังจะมาถึง เขาก็สัมผัสได้ชัดเจนถึงความเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศทั่วอาณาเขตกงเวทสวรรค์ หน่วยรบของผู้บัญชาการทั้งหลายขัดเกลาตนเองทุกวัน สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสังหารที่แผ่ออกมาจากที่ไกล มากจนแม้แต่จิ่วโยวก็เริ่มเก็บตัวฝึกยุทธ์ ทิ้งภาระหน้าที่หอวิหคโลกันตร์ไว้ให้เขา แต่โชคดีที่มีผู้ดูแลอย่างถังปิงอยู่ ไม่งั้นเขาคงมีความคิดที่จะหนีเลย
แต่จากเรื่องนี้ก็เห็นได้ว่าสงครามล่าโหดร้ายเพียงใด แม้แต่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ยังอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง ไม่มีใครสามารถรับรองได้ว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะยังคงอยู่ในภูมิภาคทางเหนือหลังจากสงครามล่าครั้งนี้หรือไม่
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ หัวใจของมู่เฉินก็หนักอึ้งกว่าเดิม แม้จะมีคนที่เขาไม่ชอบ แต่สำนักก็ได้คุ้มครองเขา ทำให้พลังเขาพุ่งทะยานทะลุเพดานในปีที่ผ่านมา ดังนั้นเขาจึงสำนึกบุญคุณของอาณาเขตกงเวทสวรรค์นัก
ไม่ต้องพูดถึงมั่นถัวหลัวยังเป็นประมุขปกครองอาณาเขตกงเวทสวรรค์ มู่เฉินรู้สึกดีกับราชินีน้อยสองหน้าที่ดูน่ารัก แต่มีพลังล้ำลึกอย่างแท้จริง เนื่องจากมั่นถัวหลัวให้ความช่วยเหลือเขาค่อนข้างมากตลอดปีที่ผ่านมา สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเขารู้สึกได้ว่ามั่นถัวหลัวไม่ได้ปฏิบัติต่อเขาในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่อยู่เหนือสถานะที่เป็นอยู่แล้ว
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับมู่เฉินที่จะยอมรับหากอาณาเขตกงเวทสวรรค์พ่ายแพ้และถูกกลืนกินด้วยสำนักอื่นในสงครามล่า
“ดูเหมือนข้าต้องพยายามทำในส่วนของตนให้เต็มที่แล้ว” มู่เฉินยิ้มขมขื่น ด้วยความสัมพันธ์แทบจะขบหัวกันกับตำหนักสุดนภา หลิ่วเทียนเต้าไม่ปล่อยเขาไปแน่หากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ล่มสลาย
มู่เฉินส่ายหน้าสะบัดมือ จากนั้นก็โบกมือสั่งให้หน่วยรบวิหคโลกันตร์ฝึกฝนต่อไป
ฮึ่ม!
แต่ทันทีที่มู่เฉินลดมือลง เขาก็เห็นมิติกระเพื่อมตรงหน้า ร่างน้อยเดินหมดแรงออกมาจากมิติบิดเบี้ยว นางสะบัดมือ ขวดหยกสิบขวดลอยมาหามู่เฉิน
เมื่อขวดหยกพุ่งเข้ามาหามู่เฉิน เสียงนุ่มนวลแฝงความหมั่นไส้ก็ดังขึ้น
“เอาไป เลือดเทพอสูรทั้งสิบของเจ้า”
“เจ้าบ้า ข้าต้องตระเวนโรงประมูลใหญ่ทั่วภูมิภาคทางเหนือเชียวนะ เพื่อจะรวบรวมเลือดเทพอสูรทั้งสิบนี่!”