หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 830 ยาหยุ่นลั้ว
แสงสีทองค่อยๆ สลาย
เมื่อจางหายไปจนหมดสิ้น แรงกดดันที่กำจายออกมาจากร่างมู่เฉินก็หดหายไปด้วยเช่นกัน เขาก้มหน้าลงมองแผ่นอก ก็อดอึ้งไปไม่ได้
บนแผ่นอกมีมังกรแท้จริงกำลังแหวกว่ายอยู่ใต้ผิว มังกรนี้มีชีวิตชีวาราวกับว่าเป็นตัวจริงที่อยู่ในร่างมู่เฉิน
ใบหน้ามู่เฉินเปี่ยมไปด้วยแววอัศจรรย์ใจ เขาไม่คิดว่าหลังจากกระตุ้นลวดลายมังกร มันจะกลายเป็นเช่นนี้…นอกจากนี้เขายังสัมผัสได้เลืองรางว่ามังกรจิ๋วตัวนี้เหมือนจะอัดแน่นด้วยพลังงานน่ากลัว
สายตาเขาวูบไหว จากนั้นด้วยเจตจำนงในหัวใจ มังกรก็ขยับไปที่หมัดอย่างรวดเร็ว เขากำหมัดแน่นพลางซัดออกไป
โฮก!
เมื่อหมัดพุ่งออกไป เสียงมังกรคำรามรุนแรงก็ลั่นดังในบริเวณนี้ รอยร้าวปรากฏบนมิติเบื้องหน้าจากหมัดหลุ่นๆ หมัดเดียว
ซู้ด!
มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะสูดปากเมื่อเห็นภาพนี้ เขาแค่เหวี่ยงหมัดออกไปเบาๆ เท่านั้นแล้วก็ควบคุมมังกรอีกนิดหน่อย ไม่คิดว่าจะเกิดพลังทำลายล้างจากมันปานนี้
หลังจากกระตุ้นวิญญาณมังกรแท้จริงสำเร็จ มันก็น่าสะพรึงกว่าแต่ก่อนมากเลยทีเดียว
“วาบ!”
ร่างจิ่วโยวปรากฏตรงหน้ามู่เฉิน นางมองมังกรแท้จริงที่เคลื่อนตัวบนแผ่นอกของมู่เฉินด้วยความอัศจรรย์ใจ ตัวนางเองก็เป็นเทพอสูร ดังนั้นจึงสัมผัสได้ถึงรัศมีคุกคามที่แผ่ออกมาจากมังกรจิ๋ว
นี่เป็นของสายเลือดมังกรบริสุทธิ์
มู่เฉินสัมผัสถึงมังกรที่เคลื่อนไปตามแผ่นอก จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป เขายิ้มให้จิ่วโยว “ลองโจมตีข้าดูสิ”
จิ่วโยวเหลือบมองมู่เฉินด้วยความสงสัย แต่นางก็ไม่ได้ถามอะไรสะบัดนิ้วออกไปเบาๆ พลังคมชัดรุนแรงกวาดออกราวกับสายฟ้าฟาดพุ่งเป้าไปที่แผ่นอกของมู่เฉิน
เผชิญหน้ากับการโจมตีจากจิ่วโยว มู่เฉินกลับไม่ป้องกันแต่อย่างใด แม้แต่คลื่นหลิงบนร่างยังลดลง ปล่อยให้คลื่นหลิงสายนั้นโจมตีเข้ามา
ชี่!
ทว่าขณะที่คลื่นหลิงกำลังจะสัมผัสตัวมู่เฉิน มังกรที่แหวกว่ายบนแผ่นอกก็ปล่อยเสียงคำรามต่ำลึก มันอ้าปากกลืนกินคลื่นหลิงที่พุ่งเข้ามาทันที
หลังจากกลืนกินคลื่นหลิงเรียบร้อย วิญญาณมังกรแท้จริงก็สั่นไหวเบาๆ ก่อนจะกลับสู่สภาวะปกติ แหวกว่ายใต้ผิวหนังของมู่เฉินต่อไปเงียบๆ
จิ่วโยวมองภาพนี้ด้วยสีหน้าอัศจรรย์ใจ
มู่เฉินอดยิ้มกริ่มไม่ได้ ไม่เพียงแต่วิญญาณมังกรแท้จริงจะมอบพลังอันยิ่งใหญ่ให้กับเขาแล้ว มิหนำซ้ำยังมีความสามารถในการป้องกันอีกด้วย การปกป้องทรงพลังไม่ด้อยไปกว่าเกราะมังกรหงส์เลย ถ้ามู่เฉินเรียกใช้เกราะมังกรหงส์บวกพลังป้องกันร่างกาย เผชิญกับการป้องกันทั้งสามชั้นนี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้ายังต้องรู้สึกปวดหัวแน่นอน
ถ้าเขากระตุ้นวิญญาณมังกรหงส์ได้ตั้งแต่เมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว ตอนที่สู้กับชิวไท่ยิง เขาคงไม่ต้องถูกบีบให้ซ่อนอยู่ในร่างเทห์สวรรค์เพื่อสร้างค่ายกลโต้กลับหรอก
“ที่เจ้าฝึกคืออะไรกันแน่เนี่ย?” ในที่สุดจิ่วโยวก็อดรนทนไม่ไหวต้องตั้งคำถาม ตอนนี้มู่เฉินดูราวกับเทพอสูรมากกว่านางเสียอีก
มู่เฉินหัวเราะแห้ง ไม่ได้ปิดบังจิ่วโยว เขาบอกไปตรงๆ เกี่ยวกับเรื่องของคัมภีร์หลงเฟิ่ง
พอได้ยินที่มู่เฉินพูด จิ่วโยวก็ไร้คำพูดไปครู่หนึ่ง แต่จากนั้นก็อดขมวดคิ้วมองวิญญาณมังกรแท้จริงบนแผ่นอกของมู่เฉินไม่ได้ “ในอนาคตหากเจ้าเจอกับสมาชิกเผ่ามังกรและหงส์ฟ้า อย่าให้พวกเขาค้นพบวิญญาณของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบนตัวเจ้านะ…”
“ทำไม?”
“เผ่ามังกรและหงส์ฟ้าเป็นสุดยอดเผ่าเทพอสูร พลังของพวกเขาเทียบเท่ากับเผ่าโบราณที่ซ่อนตัว ยิ่งกว่านั้นมังกรแท้จริงกับหงส์ฟ้าแท้จริงยังเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นยอดในเผ่าตัวเอง ดังนั้นหากพวกเขาค้นพบว่าเจ้ามีวิญญาณของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงละก็ พวกเขาอาจจะลงมือกับเจ้าเพื่อแย่งชิงเอาไป” จิ่วโยวเอ่ย
ใบหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าเผ่ามังกรกับหงส์ฟ้าจะเผด็จการขนาดนี้ แต่โชคดีที่วิญญาณของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงยังอ่อนแอในตอนนี้ ดังนั้นจึงไม่น่าดึงดูดความสนใจของเผ่าพันธุ์เหล่านั้นได้ ส่วนในอนาคตหากเขาฝึกวิญญาณของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงจนได้ระดับสูง เขาก็คงไม่อ่อนแอแล้วเมื่อถึงตอนนั้น
“ข้าจะระวังตัว” มู่เฉินพยักหน้า
ใบหน้าของจิ่วโยวคลายลง แต่ขณะที่จะพูดต่อ เสียงระฆังใสกังวานก็ดังขึ้นในส่วนลึกของเขตต้าหลัวเทียน จังหวะช่างฟังดูเร่งเร้าผสานกับรังสีสังหารบางจาง
เมื่อมู่เฉินกับจิ่วโยวได้ยินเสียงระฆัง สายตาก็หดเกร็งงมองไปที่ส่วนลึกของเขตต้าหลัวเทียน พวกเขาทราบดีว่านี่เป็นระฆังที่ใช้เรียกประชุมของเหล่าผู้บัญชาการ เวลาเดียวกันก็เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าสงครามกำลังเริ่มต้น
“สงครามกำลังจะเริ่มแล้ว”
ในตำหนักหลักของเขตต้าหลัวเทียน
บรรยากาศในโถงใหญ่เคร่งเครียดลงอย่างยิ่ง ประมุข สามจอมพล สิบผู้บัญชาการและขั้วอำนาจที่สวามิภักดิ์มารวมตัวกันในโถงใหญ่ นี่อาจนับว่าเป็นการรวมตัวที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ จากจุดนี้เห็นได้ว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์มองสงครามล่าว่าสำคัญเพียงใด บอกว่างานนี้เป็นการบุกเต็มกำลังของพวกเขาก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริง
มู่เฉินนั่งอยู่บนบัลลังก์หินภายในโถงกับจิ่วโยวที่อยู่ทางขวาโดยมีเหล่าผู้บัญชาการนั่งเรียงลำดับ ชั้นสูงขึ้นไปก็คือสามจอมพลและมั่นถัวหลัวผู้ไร้เทียมทาน
ที่ผ่านมามู่เฉินทำเพียงติดตามจิ่วโยวมาในการประชุมและยืนอยู่ด้านหลังนางราวกับผู้คุ้มกัน แต่เมื่อตอนนี้เขาขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการแล้ว จึงได้รับการปฏิบัติตัวเช่นเดียวกับจิ่วโยว
ในโถงประชุมบรรยากาศบีบคั้นอย่างยิ่ง มั่นถัวหลัวนั่งบนบัลลังก์สูงมองลงมายังทุกคน ก่อนเสียงเยาว์วัยจะดังขึ้น “เจ็ดวันนับจากนี้ไป พายุผลึกวิญญาณในสมรภูมิหยุ่นลั้วจะอยู่ในจุดอ่อนกำลังมากที่สุด ถึงตอนนั้นสงครามล่าจะอุบัติขึ้น”
แม้ว่าทุกคนจะเตรียมพร้อมแล้ว แต่เมื่อได้ยินเสียงประกาศ สายตาก็อดสั่นไหวไม่ได้ เผชิญหน้ากับสงครามโหดร้ายอย่างสงครามล่า แม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดอย่างอาณาเขตกงเวทสวรรค์ในภูมิภาคทางเหนือก็ไม่สามารถประมาทได้
มั่นถัวหลัวโบกมือ คลื่นหลิงพวยพุ่งออกมา ถักทอเป็นแผนที่ขนาดใหญ่ซับซ้อนกลางอากาศ มองจากลักษณะภูมิประเทศ นี่น่าจะเป็นสมรภูมิหยุ่นลั้วแต่พื้นที่ส่วนใหญ่จัดอยู่ในส่วนมืด คิดว่าคงเป็นตำแหน่งที่ไม่มีใครทราบ
“เนื่องจากมีพายุผลึกวิญญาณในสมรภูมิหยุ่นลั้ว ดังนั้นทุกครั้งที่เปิดตัวภูมิประเทศจะเปลี่ยนแปลงไปมาก แผนที่ที่เรารู้ในอดีตก็จะไร้ประโยชน์ เมื่อเข้าไปในสมรภูมิหยุ่นลั้วแล้ว เราต้องพึ่งตัวเองในการสำรวจภูมิประเทศนี้”
“กองทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะเข้าสู่สมรภูมิหยุ่นลั้วจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ หลังจากเข้าไปแล้ว กองทัพจะกระจายกำลัง พวกเจ้าทุกคนจะนำหน่วยรบของตนออกค้นหาซากอารยธรรมโบราณและจัดการเก็บยาหยุ่นลั้ว”
“ยาหยุ่นลั้ว?” ได้ยินคำนี้ มู่เฉินก็อึ้งไป เนื่องจากเป็นคำที่ไม่คุ้นเคยสำหรับเขา
“เนื่องจากความพิเศษของสมรภูมิหยุ่นลั้ว ทะเลพลังในจุดจื้อจุนไห่ของจอมยุทธ์ที่จบชีวิตในนั้นจะเปลี่ยนเป็นยาหยุ่นลั้วเมื่อเวลาผ่านไป ยาหยุ่นลั้วมีผลดีอย่างยิ่งต่อการฝึกยุทธ์ นอกจากนี้ยังเป็นของจำเป็นที่ใช้ในการทำลายประตูขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนอีกด้วย” เสียงของจิ่วโยวดังขึ้นคลายความสงสัยของมู่เฉิน
“ขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนเป็นสถานที่ที่จอมยุทธ์ตี้จื้อจุนจบชีวิตลง แต่สุสานระดับนั้นจะถูกอำพรางไว้อย่างแน่นหนา มิหนำซ้ำยังมีค่ายกลของสมรภูมิหยุ่นลั้วปกป้องอยู่ ซึ่งค่ายกลที่เกิดตามธรรมชาตินี้จะเชื่อมต่อกับสมรภูมิหยุ่นลั้วทั้งหมด ดังนั้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ไม่สามารถทำลายผ่านเข้าไปได้ ทางเดียวที่จะทำได้คือใช้ยาหยุ่นลั้ว เนื่องจากแหล่งที่มาของพลังงานภายในนั้นเหมือนกับสมรภูมิหยุ่นลั้ว”
“ดังนั้นการแย่งชิงยาหยุ่นลั้วจึงเป็นก้าวแรกของสงครามล่าและเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด ขั้วอำนาจอื่นๆ ก็หมายมั่นจะแย่งชิงยาหยุ่นลั้วเช่นกัน”
“เพื่อให้เราได้รับยาหยุ่นลั้วมากที่สุด ก็ต้องกระจายกำลังออก ไม่งั้นจะสูญเสียทรัพยากรโดยใช่เหตุถ้าการเพ่งเล็งไปที่จุดใดจุดหนึ่งในเวลาเดียวกัน”
มู่เฉินถูหน้าผากพลางยิ้มขื่น สงครามล่ายากลำบากนัก นอกจากนี้ในเมื่อยาหยุ่นลั้วสำคัญเช่นนี้ การแข่งขันก็ต้องดุเดือดมากแน่นอน
“เมื่อเข้าสู่สมรภูมิหยุ่นลั้ว สามจอมพลและข้าจะค้นหาขุมทรัพย์ตี้จื้อจุน ดังนั้นภารกิจหายาหยุ่นลั้วจะเป็นของพวกเจ้า” มั่นถัวหลัวมองเหล่าผู้บัญชาการเอ่ยด้วยเสียงขรึม
“ดังนั้นข้าไม่สนใจว่าปกติพวกเจ้าจะต่อสู้เพื่อทรัพยากรและแข่งขันกันอย่างไร แต่ครั้งนี้ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะวางความแค้นระหว่างกันและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มิฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่พวกเจ้าจะนำยาหยุ่นลั้วมาได้ในปริมาณที่เพียงพอด้วยตัวเอง และเมื่อไม่มียาหยุ่นลั้วที่เพียงพอ ก็ไม่สามารถเปิดขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนได้ นั่นหมายความว่าเราแพ้สงคราม พวกเจ้าน่าจะรู้ราคาแบบไหนที่เราต้องจ่ายถ้าเหตุการนั้นเกิดขึ้น”
“พวกเจ้าต้องพึ่งพาพลังแห่งตนเพื่อให้ได้ยาหยุ่นลั้วมา เพราะสามจอมพลกับข้าจะไม่สามารถให้ความช่วยเหลือใดกับพวกเจ้าได้ เนื่องจากจะต้องคอยจับตามองยอดยุทธ์ของขั้วอำนาจอื่นไม่ให้เคลื่อนไหว”
เมื่อมองม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวที่ทั้งดึงดูดและทระนง เหล่าผู้บัญชาการก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าด้วยความเคารพ
ครั้นเห็นปฏิกิริยาดังกล่าว มั่นถัวหลัวก็โบกมือ ลำแสงสิบสายพุ่งไปหาผู้บัญชาการทั้งสิบคน เมื่อแสงจางหายไป ก็เผยกระจกสีฟ้าอมเขียวสิบบานที่แสงแล่นแปลบปลาบบนผิวหน้า
“นี่คือกระจกหัวใจเชื่อมโยง หากพวกเจ้าคนใดตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ให้หยดเลือดบนกระจกซะ คนอื่นๆ จะรับรู้ตำแหน่งเร่งรุดไปให้ความช่วยเหลือได้ทันท่วงทีและจุดนัดพบจะแจ้งผ่านกระจกนี้ด้วย”
มู่เฉินและคนอื่นๆ พยักหน้ารับกระจกหัวใจเชื่อมโยงกันเก็บไว้กับตัว
เมื่อสั่งการทุกอย่างเรียบร้อย มั่นถัวหลัวก็ลุกขึ้น ร่างน้อยแผ่แรงกดดันที่ทุกคนไม่กล้าเผชิญ ดวงตาสีทองคำเปี่ยมไปด้วยความยิ่งใหญ่
“เพื่อให้อาณาเขตกงเวทสวรรค์ยังสามารถยืนหยัดอยู่ในภูมิภาคทางเหนือได้หลังจากสงครามล่า”
“ทุกคนจงลุกขึ้นสู้!”
ภายในโถงใหญ่ ทุกคนเหยียดกายยืนขึ้น ดวงตาแต่ละคู่ลุกโชนเปี่ยมด้วยไฟแห่งการต่อสู้ ตะโกนเสียงสะท้อนลั่นออกมา
“สู้!”