หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 832 เปิดศึก
ทันทีที่พายุเฮอริเคนสีดำสงบลง
สวรรค์และโลกก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น กลุ่มคนเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งไปยังสมรภูมิหยุ่นลั้วทันที ภาพนั้นดูน่าตระการตาอย่างยิ่ง
กองทัพยิ่งใหญ่ของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็เคลื่อนออกไปภายใต้การนำของมั่นถัวหลัว ดูราวกับมังกรเหินทะยานไปยังรอยแตกลึกพุ่งเข้าสู่สมรภูมิ
เมื่อกองทัพใหญ่เข้ามาในสมรภูมิหยุ่นลั้ว ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงความเหน็บหนาวเสียดกระดูกแผ่ออกมาจนกระทั่งคลื่นหลิงยังไม่อาจต้านทานได้ ความเปลี่ยนแปลงฉับพลันนี้ทำให้เกิดความปั่นป่วนเล็กน้อยในกองทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แต่ไม่นานก็สงบลงอย่างรวดเร็วภายใต้การควบคุมของเหล่าผู้บัญชาการ
มู่เฉินยืนตรงหน้าหน่วยรบวิหคโลกันตร์ เขามองบริเวณนี้ด้วยสีหน้าตึงเครียด คลื่นหลิงของเขาถูกขัดขวางไปมาก มิหนำซ้ำยังมีไอหนาวเหน็บเสียดกระดูกปกคลุมรอบตัว แม้จะไม่เป็นอันตรายแต่ก็ทำให้ไม่สบายใจ
“ระวังตัวด้วย มีจอมยุทธ์ไม่รู้เท่าไรล้มตายที่นี่ ดังนั้นจิตสังหารของพวกเขาทำให้คลื่นหลิงในสถานที่แห่งนี้แปดเปื้อน สิ่งพวกนี้เป็นปัญหาใหญ่มากเนื่องจากพวกมันไร้รูปร่าง แต่หากความหนาแน่นมากเกินก็จะกร่อนคลื่นหลิงในร่างและทำให้พลังการต่อสู้ลดลงอย่างมาก” จิ่วโยวเอ่ยเตือน
“ถ้าต้องการจัดการกับสิ่งนี้ เราก็ต้องพึ่งพาพลังงานที่แข็งแกร่งแบบคลื่นหยาง”
“คลื่นหยาง?” มู่เฉินหัวใจสั่น คลื่นหลิงในร่างกายเขาเคยรวมเข้ากับเพลิงอมตะและสายฟ้าฤทัยปีศาจดำ ซึ่งจากมุมมองหนี่งเปลวเพลิงกับสายฟ้าก็เป็นตัวจัดการพลังงานชั่วร้ายทั้งหลาย
พอคิดได้ดังนี้ เพลิงสีม่วงก็ลุกโชนบนร่างของเขา ทำให้อุณหภูมิสูงแผ่กระจาย ทันใดนั้นความเย็นเยือกเสียดกระดูกก็หายไป แทนที่ด้วยความอุ่นสบายทำให้ใบหน้าตึงเกร็งของมู่เฉินคลายลง
“สมกับเป็นดินแดนต้องห้ามจริงๆ”
มู่เฉินถอนหายใจ สมรภูมิหยุ่นลั้วเป็นดินแดนต้องห้ามสมชื่อ พวกเขาพบกับสิ่งที่ยุ่งยากตั้งแต่เริ่มเข้ามา จนไม่สามารถใช้คลื่นหลิงต่อต้านได้ ต้องใช้พลังงานพิเศษเท่านั้น
หลังจากจัดการกับความหนาวเหน็บเจาะกระดูกแล้ว มู่เฉินก็มองไปรอบๆ สมรภูมิหยุ่นลั้ว บริเวณที่มาถึงเป็นที่ราบสีแดงเข้มปกคลุมด้วยรอยเลือดและรอยแตกขนาดใหญ่บนพื้นดิน ดูราวกับบาดแผลที่กรีดไขว้พันกันไปมา ทำให้คนมองตกใจได้
ยากที่จะจินตนาการจริงๆ ว่าสงครามในยุคโบราณโหดร้ายเพียงใด
“จริงสิ ทำไมไม่เห็น…ซากศพเผ่าปีศาจเลยล่ะ?” มู่เฉินมองกองกระดูกที่เกลื่อนพื้นก็ขมวดคิ้ว เหมือนรู้สึกมีอะไรบางอย่างขาดหายไป ซึ่งเขาก็คิดได้หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนที่นี่จะไม่มีโครงกระดูกของพวกปีศาจต่างมิติเลย
เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผล เพราะนี่เป็นสงครามที่โหดร้ายในอดีต ไม่ควรมีแต่โครงกระดูกของจอมยุทธ์ในมหาพันภพเท่านั้น
“พวกปีศาจต่างมิติผิดประหลาด เมื่อตายไปร่างกายของพวกมันก็จะหลอมละลาย เปลี่ยนเป็นรังสีศพ ซึ่งรังสีเหล่านี้ร้ายกาจนัก เมื่อมันแผ่ออกไป แม้แต่คลื่นหลิงระหว่างฟ้าดินก็จะแปดเปื้อน ทำให้ไม่สามารถชำระได้
จิ่วโยวชี้ไปที่ฟ้าดินแห่งนี้แล้วพูดต่อ “สมรภูมิหยุ่นลั้วก็เคยแปดเปื้อนด้วยเช่นกัน แต่หลังจากจบสงครามจอมยุทธ์จำนวนมากได้ใช้ทักษะเทพทำการชำระสถานที่แห่งนี้ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ใช้เวลาหลายพันปีกว่าคลื่นหลิงจะกลับคืนสภาพ”
คลื่นหลิงแปดเปื้อน?
สีหน้าของมู่เฉินอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนไป ในดวงตาฉายแววหวาดเกรงและเคร่งขรึม สาเหตุหนึ่งที่มหาพันภพเป็นจุดรวมของพิภพเขตล่างนับไม่ถ้วน ก็เพราะในมหาพันภพมีคลื่นหลิงที่เป็นพลังเหนือชั้น แต่พวกปีศาจต่างมิติร้ายกาจมาก ทักษะเช่นนี้เป็นการฆ่าจอมยุทธ์ทุกคนในมหาพันภพจากต้นตอเลยทีเดียว
เป็นเรื่องยากจะจินตนาการเลยว่าถ้าพื้นที่ส่วนใหญ่ของมหาพันภพสูญเสียคลื่นหลิงไป จะเป็นผลกระทบใหญ่หลวงเพียงใดต่อมหาพันภพ
หากไร้คลื่นหลิง มหาพันภพก็ไม่สามารถสู้กับปีศาจต่างมิติได้แน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นทั้งมหาพันภพก็จะล่มสลายภายใต้การควบคุมของปีศาจต่างมิติ จอมยุทธ์ที่สูญเสียคลื่นหลิงไปก็เท่ากับสูญเสียพลัง ตกอยู่ในการควบคุมของผู้อื่น
“ปีศาจต่างมิติโหดร้ายจริงๆ” มู่เฉินเอ่ยเสียงขรึม ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจอมยุทธ์ทุกคนในมหาพันภพถึงถือว่าปีศาจต่างมิติเป็นศัตรูคู่อาฆาต ในยุคโบราณพวกเขาถึงกับปล่อยวางความแค้นต่อกัน จับมือร่วมกันเพื่อต่อต้านการรุกรานของจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ
“แม้ในสมัยโบราณสุดท้ายมหาพันภพจะชนะสงคราม แต่จากบันทึกของเผ่าข้า ก็ยังไม่ถือว่าชนะ” จิ่วโยวถอนหายใจเบาๆ
“ไม่ถือว่าชนะ?” สายตาของมู่เฉินหดเกร็ง
“ขนาดของมหาพันภพในปัจจุบันเป็นเพียงครึ่งหนึ่งที่เคยมีในอดีต” จิ่วโยวตอบ
ม่านตามู่เฉินหดเกร็ง ความหวาดผวาในตีขึ้นบนใบหน้า เขามองจิ่วโยวอย่างไม่อยากเชื่อขณะเอ่ยอย่างอึกอัก “งั้นอีกครึ่งที่เหลือ…”
“ถูกพวกเผ่าปีศาจต่างมิติยึดครองไว้ แม้เราจะขับไล่พวกจักรวรรดิปีศาจต่างมิติออกไปได้ แต่มหาพันภพก็สูญเสียอย่างใหญ่หลวงเช่นกัน เราไม่มีกำลังพอที่จะชิงดินแดนที่สูญเสียไปคืนมา ทำได้เพียงรักษาดินแดนที่ยังเหลือไว้อยู่” จิ่วโยวตอบ
ใบหน้าของมู่เฉินดิ่งลงด้วยความตกใจที่ไม่อาจปิดบังในหัวใจ แม้ตอนนี้เขายังไม่เคยพบปะกับพวกปีศาจต่างมิติ แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกมันก็เป็นจุดเน่าในหัวใจของทุกคนในมหาพันภพ
“แต่ก็ไม่ต้องกังวลนัก แม้จอมยุทธ์จำนวนมากจะสิ้นชีพในครั้งนั้น แต่ตอนนี้มหาพันภพของเราก็ยังทรงพลังอยู่และไม่ขาดแคลนยอดฝีมือ อย่างเทพจักรพรรดิสงคราม-บิดาของหลินจิ้งที่เราเจอในทวีปซัง และหญิงสาวที่เป็นสหายกับเจ้าในเขตหลงเฟิ่ง บิดานางก็คือเทพจักรพรรดิอัคคีแห่งแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว นอกจากนี้ยังมีเจ้าสุสานอมตา เทพกระบี่ชุดเขียวแคว้นเจี้ยนและจอมยุทธ์อื่นๆ ในตำนาน…”
จิ่วโยวยิ้ม “พวกเขานับเป็นยอดยุทธ์ชั้นสูงแม้แต่ในยุคโบราณ ไม่อาจมองข้ามไปได้ หากพวกปีศาจต่างมิติต้องการจะรุกราน จอมยุทธ์เหล่านี้จะต้องเคลื่อนไหวแน่”
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ เมื่อได้ยินชื่อยิ่งใหญ่เหล่านั้นจากปากของจิ่วโยว เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาในใจ นี่แหละเส้นทางแห่งการเป็นยอดยุทธ์
เขาโหยหาวันที่ตนเองสามารถยืนหยัดเคียงข้างยอดยุทธ์ในมหาพันภพ ถึงตอนนั้นเขาก็ไม่กลัวอุปสรรคใดๆ ที่ขวางทาง
ซู้ด
มู่เฉินสูดหายใจลึกข่มความตื่นเต้นในใจไว้ ภูเขาสูงชันเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เขาต้องไล่ตามและเขาก็มั่นใจในการก้าวขึ้นไปในระดับความสูงนั้นด้วย เขาเชื่อว่าตนเองสามารถเติบโตไปถึงระดับนั้นได้ เขาต้องการเพียงเวลาที่จะเติบโต
ดังนั้นเขาต้องหาโอกาสทุกอย่างที่จะยกศักยภาพให้ตัวเอง!
บนเนินเขาที่ราบสีแดง ทุกคนจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์มารวมตัวกัน มั่นถัวหลัวยืนเอามือไพล่หลัง แม้ว่าร่างนั้นจะเป็นเด็กสาวตัวน้อย แต่แรงกดดันที่แผ่มาจากนางก็ทำให้แม้แต่สามจอมพลยังต้องโค้งศีรษะลงด้วยความเคารพ
“เราอยู่ในสมรภูมิหยุ่นลั้วแล้ว ข้าสัมผัสได้ว่าคนอื่นๆ ก็เข้ามาแล้วเช่นกัน ตอนนี้สมรภูมิหยุ่นลั้วคือสมรภูมิรบที่แท้จริง” เสียงของมั่นถัวหลัวดังก้องในโสตประสาทของทุกคน
“ตอนนี้เราเริ่มทำตามแผน ข้าจะค้นหาขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนพร้อมกับสามจอมพล ดังนั้นขอฝากหน้าที่ในการค้นหายาหยุ่นลั้วไว้ที่พวกเจ้า”
มั่นถัวหลัวมองทุกคนเอ่ยต่อ “หวังว่าพวกเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
“เราจะพยายามเต็มที่ขอรับ!” เหล่าผู้บัญชากการเอ่ยตอบพร้อมเพรียง
มั่นถัวหลัวพยักหน้า จากนั้นก็สะบัดมือ ริ้วแสงหลายสายบินไปหาเหล่าผู้บัญชาการ
เมื่อแต่ละคนจับเอาไว้ แสงก็เปลี่ยนเป็นแผ่นหยกที่ดูเหมือนเป็นแผนที่เรียบง่าย ซึ่งแต่ละคนได้รับไม่เหมือนกัน
“บนแผนที่ของพวกเจ้าต่างมีซากอารยธรรมโบราณแห่งหนึ่ง นี่คือข้อมูลส่วนน้อยที่ได้มา ถ้าต้องการข้อมูลมากกว่านี้ พวกเจ้าก็ต้องพึ่งพาความสามารถตนเองในการค้นหา”
“รับทราบ!” ผู้บัญชาการพยักหน้ารับ
เมื่อเห็นดังนี้ มั่นถัวหลัวก็ไม่พูดให้มากความอีกต่อไป สายตากวาดมองไปหยุดที่มู่เฉินครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าให้เบาๆ เป็นเชิงบอกให้เขาระวังตัว
ผู้บัญชาการคนอื่นไม่ทันสังเกตท่าทางของมั่นถัวหลัว เพราะตอนนี้นางไม่อาจแสดงความชอบใจใครเป็นพิเศษ
“ในเมื่อเข้าใจกันแล้วก็นำหน่วยรบของพวกเจ้าไปลุยกันได้เลย” มั่นถัวหลัวเอ่ยเสียงขรึมหลังจากสูดหายใจ
ทุกคนพยักหน้ากลับไปที่หน่วยรบ แต่ละคนเปล่งเสียงคำราม พื้นดินสั่นสะเทือน หน่วยรบต่างๆ แยกตัวออกจากกองทัพใหญ่เหาะไปยังทิศทางที่แตกต่างกัน
มู่เฉินกับจิ่วโยวไม่ได้แยกกัน เนื่องจากหากแยกกันก็หมายถึงแยกหน่วยรบวิหคโลกันตร์ออก ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีสำหรับทั้งสอง เพราะการบุกเดี่ยวถือว่าเป็นเรื่องอันตรายและไม่ฉลาดในสมรภูมิหยุ่นลั้ว
ดังนั้นทั้งสองคนจึงร่วมมือกันพลางโบกมือนำหน่วยรบวิหคโลกันตร์ออกไป
เมื่อกองทัพแยกออกไปคนละทิศทาง ความยิ่งใหญ่ของกองทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ลดขนาดลงอย่างรวดเร็ว มั่นถัวหลัวยืนอยู่บนเนินเขามองผู้คนแยกออกไปก็ค่อยๆ กำหมัดแน่น
ในที่สุดสงครามล่าครั้งนี้ก็เปิดฉากแล้ว