หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 858 การเคลื่อนไหวของขั้วอำนาจต่างๆ
สมรภูมิหยุ่นลั้ว
ในสนามรบโบราณแห่งนี้ที่เต็มไปด้วยอันตรายทุกรูปแบบ เวลาดูเหมือนจะผ่านไปอย่างเชื่องช้ามาก เนื่องจากท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยคลื่นหลิงรุนแรงมาตลอดหลายปี ดังนั้นจึงยากที่จะบอกว่าเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน ณ ที่แห่งนี้ แต่ไม่ว่าสภาพแวดล้อมนี้จะเป็นอย่างไร ความโหดเหี้ยมของสงครามล่าก็ยังแผ่ออกมาเงียบๆ
ในเวลาไม่กี่วันมีกองทัพมากมายมุ่งหน้าเข้าสู่สมรภูมินี้เพื่อค้นหาซากอารยธรรมโบราณราวกับฝูงหนู การค้นพบทุกครั้งจะมาพร้อมกับกองทัพอื่นๆ ที่เหมือนกับฉลามตามกลิ่นเลือดกันมาเลยทีเดียว ดังนั้นทุกที่จึงไม่ต่างอะไรกับเครื่องบดเนื้อ…
การต่อสู้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าต้องการครอบครองซากอารยธรรมโบราณเหล่านี้ ในการต่อสู้ที่นองเลือดและโหดร้ายก็ทำให้จอมยุทธ์มากมายต้องพลีร่างลงบนพื้นดิน ทุกซอกมุมเต็มไปด้วยการสังหารที่โหดเหี้ยม
ทว่าในเมื่อกระดานหมากเปิด จอมยุทธ์ที่เข้ามาที่นี่ทุกคนก็คือหมากตัวหนึ่ง คนที่สามารถรอดชีวิตออกมาได้ ต้องเป็นพวกจอมยุทธ์ที่ผ่านประสบการณ์ต่อสู้เป็นตายหลายครั้งแน่นอน
ข่าวการต่อสู้ของหมู่ตึกเทวะและอาณาเขตกงเวทสวรรค์กระจายไปรวดเร็ว
เพราะตอนนั้นมู่เฉินไล่ตามกองทัพจระเข้สวรรค์ไปไกลถึงพันลี้ ความปั่นป่วนที่เกิดจึงไม่สามารถปกปิดได้อีกต่อไป
อาณาเขตกงเวทสวรรค์และหมู่ตึกเทวะเป็นขั้วอำนาจสูงสุดในภูมิภาคทางเหนือ ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาจึงดึงดูดความสนใจของผู้คนมาก ดังนั้นเมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกไปก็สร้างความปั่นป่วนขึ้นมาไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมู่เฉินใช้ขุมพลังที่มีสู้กับฟังยี่ได้ในระเดียวกันและจบลงแบบเจ็บตัวทั้งคู่ จากนั้นก็บัญชารัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์เพื่อยับยั้งฟังยี่และปะทะกับเจ้าภูเขาเอ่อกระจายออกไป ความปั่นป่วนก็กลายเป็นความตกใจและยากจะเชื่อ
หลังจากศึกมังกรหงส์ชื่อของมู่เฉินก็ขจรขจายไปทั่วภูมิภาคทางเหนือ แต่หลายคนก็ยังอดสงสัยไม่ได้เกี่ยวกับตำแหน่งที่สามในบันทึกมังกรหงส์ของเขา นั่นเพราะในสายตาของหลายๆคน มู่เฉินได้ตำแหน่งสูงขนาดนี้ เนื่องจากได้รับความช่วยเหลือจากธิดาเทพจักรพรรดิอัคคี ดังนั้นความสำเร็จที่เกิดขึ้นจึงทำให้เกิดข้อกังขามากมาย
แต่ข้อกังขาเหล่านี้ก็ถูกลบล้างจนหมดสิ้น ณ เวลานี้
ไม่กี่เดือนก่อนในศึกมังกรหงส์แม้มู่เฉินจะทุ่มสุดแรง แต่ก็ทำได้เพียงขัดขวางโยวหมิง ซ้ำยังอยู่ในจุดที่เสียเปรียบ ทว่าเพียงแค่สามเดือนต่อมา เขาก็สามารถใช้พลังของตนเองต่อสู่กับเจ้าบันทึกมังกรหงส์…ฟังยี่ จนได้รับบาดเจ็บหนักตามกัน ผลที่ได้ก็คือเสมอ!
ความรวดเร็วพัฒนาการความแข็งแกร่งของเขาทำเอาผู้อื่นถึงกับตะลึงงัน
นอกจากนี้ในข่าวที่ทำให้เหล่าจอมยุทธ์ตกตะลึงมากที่สุด ก็คือความจริงที่มู่เฉินสามารถกลั่นวิญญาณสงครามได้ หากเขานำพลังนี้มารวมที่ตัวเอง แม้แต่ฟังยี่ก็ยังต้องถูกเขาปราบปราม…กระทั่งสูป้าที่มากประสบการณ์เขาก็เผชิญหน้าได้!
พลังดังกล่าวเพียงพอที่จะทำให้กองทัพอื่นๆ มองอย่างระมัดระวังและไม่กล้าปฏิบัติกับมู่เฉินเหมือนไก่อ่อนอีกต่อไป
ขณะที่การดวลเดือดแผ่ออกไปในสงครามล่า ชื่อของมู่เฉินก็ค่อยๆ ดังไปทั่ว…
ทว่าเวลานี้ไม่มีใครกล้าสงสัยเขาอีกต่อไป
ตู้ม!
คลื่นหลิงรุนแรงระเบิดขึ้นในพื้นที่ ก่อตัวเป็นมวลพลังทะลุผ่านมิติ ซัดร่างจอมยุทธ์โชกเลือดที่กระเด็นออกไปจนระเบิดกลายเป็นละอองเลือด
โยวหมิงถอนกำปั้นออกอย่างไร้อารมณ์ ก่อนจะพลิ้วตัวลงมาจากท้องฟ้า ร่างแสงหนึ่งวาบมาหยุดอยู่ข้างเขาพลางลดศีรษะลงต่ำพูดอะไรบางอย่าง
“มู่เฉินรึ…” ดวงตาของโยวหมิงหรี่แคบลงด้วยริ้วความประหลาดใจวูบไหวไปทั่ว เขาไม่คิดเลยว่าคนที่เขาเคยบีบให้อยู่ในสภาพที่น่าสังเวชจะมีพัฒนาการเพิ่มขึ้นภายในไม่กี่เดือน ซึ่งสามารถสู้กับฟังยี่แบบเสมอตัวได้เลย
โยวหมิงหดมือเข้าไป จากนั้นก็หันกลับพร้อมกับน้ำเสียงเย็นยะเยือกกระจายในอากาศ
“ตอนแรกข้ากะจะเอาชนะฟังยี่ก่อน แต่ในเมื่อแกสามารถสู้กับเขาได้ในระดับนี้ ข้าก็จะจัดการแกก่อนถ้าเราเจอกัน…แต่คราวนี้ไม่มีใครช่วยแกได้แล้ว”
ในซากอารยธรรมโบราณแห่งหนึ่ง
รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตแผ่ซ่านออกไปพร้อมกับกองทัพขนาดใหญ่บนท้องฟ้า ยืนอยู่เหนือกองทัพ ร่างร่างหนึ่งไพล่มือไว้ด้านหลัง รัศมีจั้นยี่ราวกับมหาสมุทรกำจายอยู่ที่ใต้ฝ่าเท้าของเขา
จอมยุทธ์ผู้นี้แสยะยิ้มขณะที่จ้องมองไปที่เบื้องหน้า มีกองทัพอีกกองทัพหนึ่งกำลังยืนคุมเชิงอยู่ แต่รัศมีจั้นยี่ของกองทัพนั้นกลับถูกเขากดไว้
“ตายให้หมด”
เสียงหัวเราะของเขาน่าขนพองสยองเกล้า น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกระหายเลือด จากนั้นเขาก็กำกำปั้น มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ส่งเสียงฮึมฮัม ก่อร่างเป็นอสรพิษสีแดงโลหิตขนาดใหญ่
นี่คือวิญญาณสงครามเช่นกัน!
ปัง!
หางอสรพิษยักษ์ที่สร้างขึ้นจากรัศมีจั้นยี่อันไร้ขอบเขตทะลุผ่านมิติ ดูราวกับขวานใหญ่ผ่าลงไปที่กองทัพเบื้องหน้า ทันใดนั้นเสียงร้องโหยหวนนับไม่ถ้วนก็ดังสะท้อนก้อง ร่างเงาเลือดมากมายตกลงมาจากท้องฟ้า
ร่างนั้นยิ้มบางก่อนจะหันหน้ามาจ้องมองร่างเงาที่อยู่เบื้องหลัง “ประมุขน้อย คนที่ท่านพูดถึงคือมู่เฉินใช่ไหม? ตอนนี้ชื่อเสียงของเขาดังไปไกลมากเลยนะ”
ที่เบื้องหลังร่างนั่น ใบหน้ามืดครึ้มของหลิ่วเหยียนแห่งตำหนักสุดนภาก็ฉายออกมา ตอนนี้สีหน้าเขาอัดแน่นไปด้วยความเกลียดชัง
หลังจากที่ร่างเนื้อเขาถูกทำลายในเขตหลงเฟิ่ง บิดาของเขาใช้ทุกวิถีทางในการกอบร่างขึ้นมาใหม่ มิฉะนั้นตอนนี้เขาคงล่องลอยอยู่ในปรโลกแล้ว
“ไม่คิดว่าไอ้บ้านั่นจะสามารถควบคุมรัศมีจั้นยี่ได้ มิหนำซ้ำยังกลั่นวิญญาณสงครามออกมาได้อีกด้วย” หลิ่วเหยียนกล่าวอย่างน่าขนลุก
ร่างนั้นแสยะยิ้มพลางเลียริมฝีปากสีแดงสด เส้นเลือดในดวงตาเผยขึ้นมาอย่างชัดเจนพลางเอ่ยเสียงเบา “ประมุขน้อย เรามาทำข้อตกลงกันเถอะ ข้าจะทำให้มู่เฉินมาคลานเหมือนหมาที่หน้าท่าน เพียงแค่ท่านช่วยให้ข้าขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ของตำหนักสุดนภา…”
หลิ่วเหยียนหรี่ตาลง แสงน่าสะพรึงวูบไหวในดวงตา เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตกลง
“ได้!”
ที่นี่เป็นที่ราบ
ซึ่งเต็มไปด้วยซากศพมากมาย เลือดแห้งกรังเปรอะเปื้อนผืนดิน
บนเนินเล็กหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่บนรถเข็น เส้นผมสีดำสนิททิ้งตัวลงมา ดวงตาที่เรียบเฉยกำลังเฝ้ามองความโกลาหล โดยมีนักรบดำทะมึนกระจายตัวอยู่ที่ด้านหลัง กระทั่งการหายใจก็เป็นหนึ่งเดียว รัศมีจั้นยี่กระจายออกไปทั่วบริเวณ
สายตาทุกคู่เต็มไปด้วยความเคารพนับถือเลื่อมใส เมื่อมองไปที่ภาพเงาที่อ่อนแอของหญิงสาว
ทันใดนั้นร่างร่างหนึ่งก็ทะยานมาถึงที่เบื้องหลัง หญิงสาวก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“ท่านแม่ทัพจินไถ มีข่าวส่งมาจากเสี่ยวฟัง” ร่างที่เบื้องหลังมองนางขณะที่พูดต่อ “เขาอยากเชิญแม่ทัพไปจัดการกับมู่เฉินแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ มีข่าวว่ามู่เฉินสามารถกลั่นวิญญาณสงครามได้ ท่านฟังยังบอกว่าถ้าท่านสามารถจัดการมู่เฉินให้ เขาจะจัดหา ‘ต้นเก้าวิญญาณเต็มสวรรค์’ ให้กับน้องสาวท่าน”
พอได้ยินชื่อสมุนไพรล้ำค่า ดวงตาของหญิงสาวที่ราวกับเหวไร้ก้นก็กระเพื่อมขึ้นเล็กน้อย นางกระตุกแก้มแล้วพยักหน้า
“ข้าเข้าใจล่ะ”
ความโหดเหี้ยมครอบงำสนามรบโบราณกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตตลอดเวลา
ยิ่งเวลาเคลื่อนผ่านไปการต่อสู้ที่โหดร้ายก็ทวีคูณ คนอ่อนแอจะกลายเป็นเหยื่อและล้มลง คนที่แข็งแกร่งจะยืนหยัดอยู่ในสถานที่แห่งนี้
หลังจากสร้างคลื่นสั่นสะเทือนขนาดมหึมาในการเอาชนะกองทัพของหมู่ตึกเทวะได้ มู่เฉินในฐานะตัวเอกของเรื่องร้อนแรงที่สุดในเวลานี้กลับไม่ได้สนใจ เขากำลังใช้เข็มทิศค้นวิญญาณอย่างเต็มประสิทธิภาพ เมื่อชักชวนผู้บัญชาการทั้งสี่และหน่วยรบของพวกเขาให้ร่วมทางค้นหาด้วยกัน
ตอนนี้เขามีแต่ความมุ่งมั่นในการค้นหาเม็ดยาหยุ่นลั้วทุกลมหายใจเข้าออก ด้วยวิธีนี้เขาอาจจะสามารถนำพาประมุขสู่ดินแดนขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนเป็นคนแรก ดังนั้นในเมื่อในมือมีเข็มทิศค้นวิญญาณ มู่เฉินก็ไม่คิดปล่อยให้สูญเสียมูลค่าแน่นอน
ภายใต้การค้นหาอย่างเต็มกำลังของกองทัพขนาดใหญ่บวกกับความช่วยเหลือของเข็มทิศค้นวิญญาณ พวกเขาก็มีผลเก็บเกี่ยวที่น่าตกใจในเวลาเพียงแค่สี่วัน
ในสี่วันพวกเขาพบซากอารยธรรมกว่าสามสิบแห่ง ในจำนวนนี้มีประมาณสิบกว่าแห่งที่ไม่ใช่ซากอารยธรรมระดับสาม อีกสิบกว่าแห่งอยู่ในระดับสาม มิหนำซ้ำพวกเขายังพบซากอารยธรรมระดับสองมาหนึ่งแห่งด้วย…
ในบรรดาซากอารยธรรมสามสิบกว่าแห่งนี้ พวกเขาได้รับเม็ดยาหยุ่นลั้วเกือบหมื่นเม็ด เมื่อแบ่งให้แต่ละหน่วยรบก็ได้เกือบหน่วยละสองพันเม็ดเลยทีเดียว การเก็บเกี่ยวเช่นนี้ทำให้แม้แต่เลี่ยซันยังดีใจจนเนื้อเต้น ถ้าพวกเขาค้นแบบมั่วซั่วในสี่วันที่ผ่านมาแบบเดิม เม็ดยาสองพันเม็ดก็คงเป็นแค่ฝันกลางวัน
ส่วนมู่เฉินก็พอใจเรื่องนี้ นั่นเป็นเพราะเมื่อพวกเขาพบซากอารยธรรมโบราณบางแห่งก็ดึงดูดความสนใจพวกกองทัพอื่นๆ แต่เมื่อกองทัพเหล่านั้นเห็นการรวมพลังที่น่ากลัวก็ได้แต่ถอยทัพกลับไป ตลกละ มีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกถึงห้าคนมารวมตัวกันพร้อมกับหน่วยรบถึงห้าหน่วยรบ กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดยังต้องหลบหลีก
นอกจากนี้ซากอารยธรรมโบราณบางแห่งก็เต็มไปด้วยอันตราย เช่นซากอารยธรรมระดับสองที่พวกเขาค้นพบ มีซากร่างจอมยุทธ์ไม่ต่ำกว่าสิบร่างที่ไม่ได้ผุกร่อนอย่างสมบูรณ์ด้วยเหตุผลพิเศษบางประการ และในบรรดาซากร่างเหล่านี้มีสี่ร่างที่อยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นหกอีกด้วย
ซากอารยธรรมระดับสองสร้างความยุ่งยากให้พวกเขาไม่น้อย ซึ่งทำให้มีจอมยุทธ์บาดเจ็บและล้มตาย เป็นการตอกย้ำความจริงที่ว่ามู่เฉินคิดถูกแล้วที่ชักชวนผู้บัญชาการทั้งสี่มาด้วย ถ้ามีเพียงหน่วยรบวิหคโลกันตร์เข้ามา คงต้องมีคนล้มตายมากมายแน่
ดังนั้นเขาจึงรู้สึกดีมากที่ชักชวนทั้งสี่คนมาเป็นผู้ช่วย…
ที่ด้านนอกซากอารยธรรมโบราณแห่งหนึ่ง นักรบหลายหน่วยยืนประจำการตามคำสั่ง ซึ่งเป็นร่างนักรบดำทะมึนจำนวนมาก ผู้คนเหล่านี้ก็คือมู่เฉินและพรรคพวกที่เสร็จสิ้นการสำรวจและกำลังพักผ่อนกันอยู่
มู่เฉินนั่งอยู่บนยอดเขาโดดเดี่ยวพลางหลับตาลงเพื่อฝึกฝน เมื่อเขาเปิดตาขึ้นและมองลงมา ก็เห็นหน่วยรบวิหคโลกันตร์และหน่วยรบอื่นนั่งกันอยู่เงียบๆ รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตพวยพุ่งเหนือร่างพวกเขา
รัศมีจั้นยี่ทั้งห้ากลุ่มครอบครองครึ่งหนึ่งของท้องฟ้าเลยทีเดียว
มู่เฉินจับจ้องไปที่รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขต ม่านตาสีดำก็เกิดระลอกคลื่นบางจาง ความคิดแปลกประหลาดวูบไหวในส่วนลึกของหัวใจ
ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะสามารถควบคุมรัศมีจั้นยี่ของกองทัพอื่นและหน่วยรบวิหคโลกันตร์ในเวลาเดียวกันได้ไหม?