ดินแดนมืดมิดแผ่กระจายไปด้วยรัศมีเน่าเปื่อย
มองเห็นกระดูกสีขาวโพลนเลือนรางใต้พื้นดินโดยมีรอยแตกน่าขนลุกอยู่เต็มพื้นที่ไปหมด สามารถจินตนาการได้ถึงการต่อสู้ในยุคโบราณว่าดุเดือดเพียงใด
หลังจากกองทัพพันธมิตรฝ่าแนวป้องกันของส่วนนอกเข้ามา พวกเขาก็เข้าสู่ที่ราบว่างเปล่าที่อยู่ระหว่างชั้นนอกกับชั้นใน ไม่มีนักรบผีดิบจากทัพนอกกล้าเหยียบเข้ามาในบริเวณนี้ นอกจากนี้พวกเขาที่สูญเสียสติสัมปชัญญะก็ไม่คิดโจมตีทัพพันธมิตรยิ่งใหญ่อีกต่อไป
กองทัพพันธมิตรจึงได้เวลาพักผ่อนครู่หนึ่ง
ทว่าขณะที่กำลังพัก ผู้นำกองทัพต่างๆ ก็มองไปที่เบื้องหน้าด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด ทั้งบริเวณนั้นปกคลุมไปด้วยความมืด ไม่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่อยู่ภายในได้ แต่ทุกคนรู้สึกได้ถึงแรงกกดดันที่น่าสะพรึงกลัวที่กำจายออกมาจากความมืด ซึ่งเป็นแรงกดดันที่ทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกยังไม่อดสีหน้าเปลี่ยนไปไม่ได้
ทุกคนรู้ชัดเจนว่าภายในความมืดมิดนั้นมีสถานที่ที่อันตรายที่สุดของซากอารยธรรมความตาย—ค่ายกลจตุเทวะ!
ที่ด้านหน้าของกองทัพพันธมิตร จินไถหลิวหลีมองไปที่ความมืดขณะที่ดวงตากะพริบวูบไหว ครู่หนึ่งนางก็หันกลับมาพลางคลี่ยิ้มให้มู่เฉินและเซียวเทียน “ทุกคนต่างจ่ายไปมหาศาลกว่าจะส่งเรามาถึงจุดนี้ ดังนั้นต่อไปก็ถึงคราวพวกเราแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดของจินไถหลิวหลี ผู้คนก็หันไปมองมู่เฉินและเซียวเทียน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่ก็ไม่สามารถปกปิดความกระตือรือร้นและความคาดหวังในสายตาของพวกเขาได้
ก่อนหน้าที่บุกตะลุยเข้ามา แม้ว่าจินไถหลิวหลีจะสั่งการได้ยอดเยี่ยม แต่นอกจากสามขั้วอำนาจชั้นยอด กองทัพอื่นๆ ล้วนได้รับความเสียหาย ทว่าขั้วอำนาจสูงสุดทั้งสามกลับประสบความสูญเสียน้อยมากและเหตุผลที่จินไถหลิวหลีบอกก็คือพวกเขาจะต้องรักษาพลังไว้เพื่อทำลายค่ายกลจตุเทวะ
ตอนนี้พวกเขาได้ฝ่าส่วนนอกมาแล้ว ก็ถึงเวลาที่กองทัพชั้นยอดทั้งสามจะต้องทำลายค่ายกลตามที่จินไถหลิวหลีอธิบายไว้ก่อนหน้า
มู่เฉินรู้สึกถึงสายตาร้อนรนเหล่านั้น ก็เบ้ปาก จากท่าทางของเหล่ากองทัพอื่นๆ ถ้าพวกเขาล้มเหลวในการทำลายค่ายกล กองทัพเหล่านี้อาจจะโกรธจนคลั่งก็ได้ แต่เนื่องจากเรื่องนี้เริ่มต้นโดยจินไถหลิวหลี ความโกรธจึงไม่น่าจะส่งผลกระทบมาถึงอาณาเขตกงเวทสวรรค์บ้างเท่านั้น
ขณะที่มู่เฉินครุ่นคิดอยู่ในใจก็เหลือบมองจินไถหลิวหลี หญิงสาวยังคงสวมรอยยิ้มอบอุ่นเบาบางแฝงไว้ด้วยความสงบ ไม่ได้รู้สึกกดดันอะไรจากสายตาผู้อื่นเลย
นี่ทำให้มู่เฉินแปลกใจไป หรือว่าจินไถหลิวหลีมีความมั่นใจมากในการทำลายค่ายกลจตุเทวะจริงๆ?
ตู้ม!
ขณะที่ความคิดแล่นพล่านในใจของมู่เฉิน เสียงฟ้าคำรนก็ระเบิดออกมาจากในส่วนลึกของความมืด ดึงดูดความสนใจของทุกคนไปทันที พวกเขารีบเงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป เมื่อเห็นว่าในส่วนลึกของความมืดกำลังเดือดพล่านอยู่ในขณะนี้ และแล้วความมืดก็หดตัวลงทีละน้อย…ละน้อย
เมื่อความมืดถอยห่าง ม่านตาของทุกคนก็หดเกร็ง
ขณะที่ความมืดหายไป สิ่งแรกที่เข้าสู่สายตาก็คือกองทัพดำมืดที่แน่นขนัดจนสุดลูกหูลูกตา แต่ละร่างราวกับหอกที่ตั้งมั่นอยู่บนที่ราบมืดมิดกำจายกลิ่นอายโบราณออกมา
กองทัพนี้แม้จะสู้เรื่องจำนวนกับทัพหน้าเมื่อสักครู่ไม่ได้ แต่เมื่อทุกคนเห็นกองทัพที่นิ่งราวรูปปั้นกลับรู้สึกยากในการหายใจ
กองทัพมหึมากระจายอยู่บนที่ราบ สามารถมองเห็นได้เลือนรางว่าแยกออกเป็นสี่ส่วน กระบวนทัพที่ดูไม่เป็นระบบมากนัก กลับทำให้เหล่าผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์เย็นยะเยือกไปทั่วสรรพางค์กาย เมื่อมองไป ราวกับว่าพวกเขารู้สึกถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามา
กองทัพที่เบื้องหน้านี้เป็นกองทัพจตุเทวะแท้จริง! กองทัพใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิเทียนเจิ้น!
ฮึ่ม!
ขณะที่ทุกคนกำลังตกใจกับกองทัพดำมืด ทั่วบริเวณก็เริ่มสั่นสะเทือน จากนั้นทุกคนก็ได้เห็นเหล่านักรบที่ยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นบนที่ราบเริ่มเปิดเปลือกตาที่ปิดแน่นมานานนับหมื่นปีขึ้นอย่างช้าๆ
ตึง!
จังหวะที่ดวงตาเหล่านักรบจตุเทวะเปิดออก ความแวววาวก็วาบขึ้นในส่วนลึกของดวงตา นั่นเป็นความกระหายในการต่อสู้ พวกเขาเกิดมาเพื่อสู้รบ แม้ว่าจะตายไปแล้วปณิธานแรงกล้าในการต่อสู้ก็ยังคงอยู่
ทันใดนั้นมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ดำมืดหนาแน่นกว้างใหญ่ไพศาลก็กวาดออกจากเบื้องบนกองทัพ ทำให้ทั้งผืนฟ้าและผืนดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
ครืน!
ระลอกคลื่นรัศมีจั้นยี่ราวกับมหาสมุทร มิติเหมือนจะส่งเสียงแตกกระจายดังลั่น เนื่องจากไม่สามารถรับแรงกดดันได้ แม้แต่มู่เฉิน จินไถหลิวหลีและเซียวเทียนก็ยังมีสีหน้าเปลี่ยนไปเมื่อได้เห็นรัศมีจั้นยี่อันไร้ขอบเขตนั้น
“ช่างเป็นรัศมีจั้นยี่ที่น่าสะพรึงอะไรแบบนี้!” ผู้นำกองทัพอื่นๆ ร้องลั่นด้วยความประหลาดใจ ความหวาดกลัวแผ่ซ่านบนใบหน้า แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดก็ยากที่จะหนีไปได้หากตกเข้าไปในนั้น
จินไถหลิวหลีกำมือแน่น สายตาจับจ้องไปยังกองทัพเบื้องหน้า แม้แต่คนที่สงบเย็นอย่างนาง ตอนนี้ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
“ฟิ้ว!”
ขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงกับภาพที่เห็น รัศมีจั้นยี่กว้างใหญ่ของกองทัพจตุเทวะก็เปลี่ยนแปลง แสงสีดำกระจายออกไปก่อร่างเป็นกำแพงแสงทรงสี่เหลี่ยมที่มีขนาดหลายหมื่นจั้ง
กำแพงแสงเหล่านั้นกั้นสี่ทิศทางของกองทัพ อัดแน่นไปด้วยลวดลายโบราณที่เชื่อมโยงซึ่งกันและกัน ขณะที่ปลดปล่อยลูกคลื่นลึกซึ้งและลึกลับออกมา
มู่เฉินที่มองภาพเหล่านี้ก็หดดวงตา เขาสามารถมองเห็นว่าเหมือนจะมีกองทัพในกำแพงแสงทั้งสี่ด้านเหล่านั้น แต่เพราะรัศมีจั้นยี่ที่แผ่กระจายทำให้ไม่สามารถคำนวณกำลังพลได้อย่างชัดเจน
นี่ต้องเป็นค่ายกลจตุเทวะแน้แท้ เพียงว่าค่ายกลศึกนี้ดูเหมือนจะยังไม่ได้เปิดใช้งานขณะนี้ ดังนั้นมู่เฉินจึงยังไม่สามารถระบุได้ว่าค่ายกลทรงพลังเพียงใด
“ทุกคนสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าก็คือค่ายกลจตุเทวะ ตราบใดที่พวกเราสามารถทำลายได้ ซากอารยธรรมความตายก็จะล่มสลาย กองทัพนักรบผีดิบจะได้รับการชำระ จากนั้นก็ถึงเวลาเก็บเกี่ยวของเรา” จินไถหลิวหลีกวาดตามองทุกคนพลางเผยรอยยิ้มบาง
“แม่นางจินไถ เจ้ามีความมั่นใจในการทำลายค่ายกลศึกนี้จริงหรือ?” ผู้นำคนหนึ่งอดถามไม่ได้ หลังจากได้เห็นพลังค่ายกลจตุเทวะ ในใจพวกเขาก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
“ไม่งั้นเรายังมีทางเลือกอื่นอีกเหรอ?” จินไถหลิวหลียิ้ม “ค่ายกลจตุเทวะไม่ธรรมดาก็จริง แต่พวกเจ้าไม่ต้องกังวลไป นักรบเหล่านี้ตายไปแล้วและพลังก็ลดลงอย่างมาก ดังนั้นก็ใช่ว่าพวกเราจะไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จ”
“แน่นอนว่าถ้าต้องการทำลายมัน ก็ต้องขอความช่วยเหลือจากผู้บัญชาการมู่และแม่ทัพเซียวเทียน” จินไถหลิวหลีมองไปที่มู่เฉินและเซียวเทียน
“เฮ้ ข้าก็อยากเห็นว่าค่ายกลศึกจตุเทวะจะทรงพลังขนาดไหนเหมือนกัน!” เซียวเทียนหัวเราะเสียงเย็น
มู่เฉินมองจินไถหลิวหลีขณะที่สายตาวูบไหว “แล้วแม่นางจินไถคิดว่าตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไร?”
จินไถหลิวหลีมองไปที่กองทัพอื่นๆ พูดว่า “ไม่ทราบว่าทุกคนได้เลือกสามแม่ทัพหรือยัง?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้คนอื่นก็พยักหน้า จากนั้นจอมยุทธ์สามคนก็เดินออกมา ทั้งสามคนมีสายตาที่แหลมคมนัก พวกเขาล้วนเป็นแม่ทัพที่ทรงพลังที่สุดของแต่ละขั้วอำนาจ แม้ว่าจะไม่สามารถเทียบได้กับอัจฉริยะอย่างพวกมู่เฉิน แต่ก็ไม่สามารถประเมินพวกเขาต่ำได้
“ค่ายกลจตุเทวะทิศที่สี่มอบให้พวกเจ้าทั้งสามคน”
จินไถหลิวหลีพยักหน้าให้ทั้งสามก่อนที่จะมองมู่เฉินและเซียวเทียน “ครั้งนี้พวกเจ้าต้องนำกองทัพเข้าไปคนเดียว ไม่ได้จำกัดในเรื่องจำนวนนักรบของกองทัพ เพราะค่ายกลศึกนี้จะตอบโต้ผู้ที่แข็งแกร่งด้วยความแข็งแกร่ง แต่ดีที่ปัจจุบันสิ่งนี้ไม่ได้ถูกควบคุมโดยใคร ดังนั้นจอมยุทธ์ที่มีคลื่นหลิงที่ทรงประสิทธิภาพเกินไปก็ไม่สามารถเข้าไปพร้อมกองทัพได้ ไม่งั้นจะทำให้รูปแบบค่ายกลมีพลังยิ่งขึ้น”
มู่เฉินอึ้งไปก่อนจะมองจิ่วโยวและพรรคพวก ตามคำพูดของจินไถหลิวหลีจอมยุทธ์อย่างจิ่วโยวและผู้บัญชาการที่มีคลื่นหลิงทรงพลังไม่สามารถเข้าร่วมศึกนี้ได้
เหล่าผู้บัญชาการมองหน้ากันพลางไตร่ตรองชั่วครู่ก่อนผงกหัวมองไปที่มู่เฉิน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าผู้บัญชาการมู่ต้องการ ก็เอากองทัพเราไปใช้ได้เลย เพียงแต่ว่าระวังให้มาก”
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ พร้อมกับประสานมือเป็นเชิงขอบคุณ
“ทุกคนยังมีปัญหาอื่นอีกหรือเปล่า?” จินไถหลิวหลีหัวเราะเบา ๆ
ทุกคนส่ายหัว
“งั้นก็เตรียมตัวให้พร้อมที่จะเคลื่อนพลเถอะ หวังว่าเราจะสามารถทำลายค่ายกลศึกนี้ได้” จินไถหลิวหลียิ้มบางขณะที่พูดต่อ “ในเมื่อกองกำลังพันธมิตรเริ่มต้นจากหมู่ตึกเทวะ ดังนั้นพวกข้าก็จะนำบุกเข้าไปในค่ายกลเอง”
เมื่อจบคำพูด นางก็หันไปรอบๆ กำลังจะนำกองทัพหมู่ตึกเทวะเข้าสู่ค่ายกลศึก
“ช้าก่อน!”
ทว่าขณะที่จินไถหลิวหลีกำลังจะขยับ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ทุกคนอึ้งไปแล้วพากันมองไปยังต้นเสียง ก็เห็นเซียวเทียนมองจินไถหลิวหลีด้วยสีหน้ายิ้มเหมือนไม่ยิ้ม
จินไถหลิวหลีมุ่นคิ้วมองเซียวเทียนพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเบาบางว่า “เจ้าหมายความว่าไง?”
“แม่นางจินไถบอกข้อมูลตั้งมากมาย ถ้ายังให้เจ้าเป็นคนแรกที่เข้าไปก็ใจร้ายไปหน่อย ดังนั้นข้าคิดว่าเจ้าควรให้ข้าไปก่อนดีกว่า” เซียวเทียนฉีกยิ้ม
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ มู่เฉินก็แววตาวูบไหวเล็กน้อย ท่าทางเซียวเทียนจะมีข้อสงสัยเกี่ยวกับจินไถหลิวหลีเหมือนกัน
ใบหน้าของจินไถหลิวหลีมืดครึ้มลง
“แม่นางจินไถไม่เต็มใจรึ? หรือจะมีเหตุผลเบื้องหลังอะไรที่เราไม่รู้?” เซียวเทียนหัวเราะ
ทุกคนก็จ้องมองจินไถหลิวหลีด้วยความสงสัยในสายตา เพราะครั้งนี้จินไถหลิวหลีเป็นผู้นำคนแรกเสมอ ดังนั้นพวกเขาจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าจินไถหลิวหลีได้บอกข้อมูลทั้งหมดให้พวกเขาหรือยัง
ภายใต้สายตาของทุกคน จินไถหลิวหลีก็เม้มริมฝีปากสีแดงชาดพลางยิ้มเบาๆ
“ในเมื่อแม่ทัพเซียวเทียนกล้าหาญขนาดนี้ งั้นให้เจ้าเป็นคนนำแล้วกัน”