“คัมภีร์จิตจิ่วเจี๋ยเหลยหยู่…”
มู่เฉินเปิดเปลือกตาอย่างช้าๆ พร้อมกับเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องอยู่ในใจ คำพูดโบราณที่สะท้อนจากสายฟ้าราวกับฝังเข้าไปในห้วงแห่งจิต
แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ดูรายละเอียดคัมภีร์จิตนี้ลึกลงไป แต่ไม่รู้ทำไมเขารู้สึกถึงแรงกดดันรุนแรงที่กระจายไปทั่วในห้วงแห่งจิต
คัมภีร์นี้ไม่ธรรมดาแน่นอน
“ไม่คิดว่าเจ้าจะมีความเข้ากันได้สูงขนาดนี้กับมัน” เมื่อมู่เฉินลืมตา จักรพรรดิเทียนเจิ้นก็มองไปที่เขาด้วยท่าทางแปลกประหลาด ก่อนจะเอ่ยช้าๆ
“ผู้อาวุโส คัมภีร์จิตจิ่วเจี๋ยเหลยหยู่นี้มีที่มาอย่างไรหรือขอรับ?” มู่เฉินถามด้วยความอยากรู้ เมื่อพิจารณาจากปฏิกิริยาของจักรพรรดิเทียนเจิ้น ดูเหมือนว่าคัมภีร์จิตนี้จะมีประวัติเบื้องหลังไม่ธรรมดา
“คัมภีร์จิตจิ่วเจี๋ยเหลยหยู่สร้างขึ้นตั้งแต่โบราณกาลโดยราชันสงครามจิ่วเจี๋ย” จักรพรรดิเทียนเจิ้นยิ้ม แม้ว่าน้ำเสียงจะสงบ แต่มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงความพิเศษเมื่อเขาพูดถึงราชันสงครามจิ่วเจี๋ยซึ่งนั่นเป็นความเคารพเทิดทูน
“ราชันสงครามจิ่วเจี๋ย?”
มู่เฉินรู้สึกถึงความเกรงขามกับชื่อที่เด็ดขาดนี้ จากนั้นเขาก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วนขึ้น นั่นเป็นเพราะเขาไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับผู้อาวุโสคนนี้เลย อีกฝ่ายน่าจะเป็นจั้นเจิ้นซือล่ะมั้ง?
“ราชันสงครามจิ่วเจี๋ยเป็นจั้นเจิ้นซือที่สามารถสร้างลวดลายจั้นเหวินได้ถึงสิบล้านลายในสมัยโบราณ” จักรพรรดิเทียนเจิ้นพูดอย่างช้าๆ เมื่อพูดถึงลวดลายจั้นเหวินสิบล้านลาย ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความปรารถนา
“ลวดลายจั้นเหวินสิบล้านลาย?”
ทว่ามู่เฉินกลับรู้สึกปวดหัวเกี่ยวกับความปรารถนาของจักรพรรดิเทียนเจิ้น นั่นเป็นเพราะเขาไม่คุ้นเคยกับลำดับขั้นของจั้นเจิ้นซือเลย ลวดลายจั้นเหวินสิบล้านลายคืออะไรกัน?
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะเพิ่งตั้งไข่กับการเป็นจั้นเจิ้นซือจริงด้วย”
เมื่อเห็นความสับสนของมู่เฉิน จักรพรรดิเทียนเจิ้นก็จนคำพูดได้แต่ส่ายหัวไปมา “ในเมื่อเจ้าสามารถวิญญาณสงครามได้ ก็น่าจะรู้ว่าความแข็งแกร่งของวิญญาณสงครามแตกต่างกันอย่างไรสินะ?”
มู่เฉินลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “น่าจะเกี่ยวกับจำนวนลวดลายจั้นเหวินใช่ไหมขอรับ?”
เขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับจั้นเจิ้นซือจริงๆ แต่ยังไงเขาก็สามารถสร้างวิญญาณสงครามให้หน่วยรบทั้งห้าแล้ว ดังนั้นจึงพอตระหนักได้ว่าดูเหมือนว่ายิ่งวิญญาณสงครามที่มีลวดลายจั้นเหวินมาก ก็จะยิ่งมีพลังมากขึ้นเท่านั้น
จักรพรรดิเทียนเจิ้นพยักหน้า “จั้นเจิ้นซือในสมัยโบราณแบ่งระดับกันด้วยลวดลายจั้นเหวิน โดยจัดหมวดหมู่ไว้เป็นสี่ระดับใหญ่ๆได้แก่ วั่นเหวินจั้นเจิ้นซือ สือวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือ ไป่วั่นเหวินจั้นเจิ้นซือและเชียนวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือ”
เมื่อได้ยินการจำแนกที่แปลกประหลาด มุมปากมู่เฉินก็กระตุก พวกจั้นเจิ้นซือนี่ขี้เกียจจริงๆ ขนาดการแบ่งระดับยังไม่มีการสร้างสรรกันเลย
แต่ถึงแม้ว่าจะไม่สละสลวย แต่มู่เฉินก็ยอมรับว่าชัดเจนมากเพียงแค่จากชื่อ
“แต่จำนวนลวดลายจั้นเหวินที่นี้ไม่ได้หมายถึงการรวมลวดลายบนวิญญาณสงครามหลายตัว แต่เป็นลวดลายที่ได้รับการกลั่นหลังจากรวมเอารัศมีจั้นยี่ทั้งหมด” จักรพรรดิเทียนเจิ้นอธิบาย
มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะเข้าใจโจ่งแจ้ง เรื่องนี้ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เขาควบคุมรัศมีของหน่วยรบทั้งห้า ตอนนั้นในแต่ละวิญญาณสงครามต่างมีลวดลายจั้นเหวินหลายพันลาย ถ้ารวมทั้งหมดเข้าด้วยกัน ก็มีลวดลายจั้นเหวินเกินหมื่นลายไปนานแล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขามาถึงระดับวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือ เพราะนอกเหนือจากเขาสามารถรวมรัศมีจั้นยี่ของห้าหน่วยรบเข้าเป็นหนึ่งเดียวและสร้างวิญญาณสงครามที่มีลวดลายจั้นเหวินหนึ่งหมื่นลายขึ้นมาใหม่ แบบนั้นถึงจะถือว่าเขาเป็นวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือตัวจริง
“ยิ่งสูงก็ยิ่งยากในการปรับแต่งลวดลายจั้นเหวิน” จินไถหลิวหลีพูดเบาๆ จากด้านข้าง “ข้าบัญชากองทัพผลึกฟ้าที่มีนักรบสามหมื่นคน แต่จำนวนลวดลายจั้นเหวินที่ข้าสามารถปรับแต่งได้อยู่ประมาณเก้าพันลายเท่านั้น ซึ่งยังมีระยะห่างจากหนึ่งหมื่นลายอยู่”
พูดถึงจุดนี้ จินไถหลิวหลีก็เผยความมั่นใจบนใบหน้าพลางยิ้ม “แต่นั่นเป็นเพราะข้อจำกัดคลื่นจิตของข้า รอให้ข้าประสบความสำเร็จจากคัมภีร์จิตที่อาจารย์มอบให้ก็ไม่น่าจะยากในการไปถึงระดับวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือ”
มู่เฉินแอบเดาะลิ้น ตอนที่เขาบัญชาหน่วยรบวิหคโลกันตร์ซึ่งมีจำนวนนักรบห้าพันคน เขาสามารถกลั่นลวดลายจั้นเหวินได้สี่พันลาย แต่จินไถหลิวหลีที่ควบคุมนักรบสามหมื่นคนกลับสามารถกลั่นลวดลายจั้นเหวินได้เพียงเก้าพันลาย ดังนั้นจะเห็นได้ว่ายากเพียงใดในการกลั่นลวดลายจั้นเหวินเมื่อจำนวนลวดลายเพิ่มขึ้น
แต่จากการประเมินของมู่เฉิน ถ้าเขาสามารถบัญชากองทัพทรงพลังอย่างกองทัพผลึกฟ้า เขาอาจจะปรับแต่งลวดลายจั้นเหวินได้หมื่นลาย เพราะเขารู้สึกได้ว่าคลื่นจิตของเขาแข็งแกร่งกว่าจินไถหลิวหลีเล็กน้อย ซึ่งอาจเป็นเพราะเขาเป็นหลิงเจิ้นซือด้วย
“มีสองประการใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการกลั่นลวดลายจั้นเหวิน หนึ่งปริมาณกับคุณภาพของกองทัพ และสองคือความแข็งแกร่งของคลื่นจิต”
จักรพรรดิเทียนเจิ้นอธิบายให้มู่เฉินซึ่งไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับจั้นเจิ้นซือให้ฟังต่อ “กองทัพแสดงถึงแสนยานุภาพของรัศมีจั้นยี่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของจั้นเจิ้นซือและรัศมีจั้นยี่เป็นรากฐานของลวดลายจั้นเหวินเหล่านี้ ส่วนความแข็งแกร่งของคลื่นจิตก็จะเป็นตัวแทนว่าเจ้าสามารถควบคุมรัศมีจั้นยี่ของพวกเขาได้เต็มที่หรือไม่”
มู่เฉินพยักหน้า สำหรับจั้นเจิ้นซือกองทัพก็เป็นเสมือนอาวุธเทพและคลื่นจิตก็คือพลังในการควบคุมอาวุธนั่นเอง ยิ่งคลื่นจิตทรงพลังมากเท่าไรอาวุธเทพก็จะสามารถแสดงพลังที่แข็งแกร่งขึ้นมากเท่านั้น
“สำหรับจั้นเจิ้นซือลวดลายจั้นเหวินก็คือเส้นแบ่ง หากเจ้าสามารถกลั่นวิญญาณสงครามที่มีลวดลายจั้นเหวินหนึ่งหมื่นลาย ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงพลังอย่างสมบูรณ์”
“นั่นเป็นเพราะเมื่อวิญญาณสงครามกลั่นลวดลายจั้นเหวินหมื่นลายได้ ก็หมายความว่ารัศมีจั้นยี่นั้นประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้น ในเวลานั้นรัศมีจั้นยี่จะวิวัฒนาการไปสู่ผนึกจั้นยี่”
“รัศมีจั้นยี่กลายเป็นผนึกจั้นยี่?” มู่เฉินออกอาการตะลึงงันบนใบหน้า เนื่องจากเขาไม่คุ้นเคยกับสิ่งนี้เลย
“ผนึกจั้นยี่เป็นระดับที่สูงขึ้นในการควบคุมรัศมีจั้นยี่ ก็เช่นเดียวกับวิทยายุทธระดับเสินซู่ของขุมพลังหลิง สามารถปลดปล่อยพลังได้อย่างเต็มที่ แน่นอนว่าลวดลายจั้นเหวินหนึ่งหมื่นลายเป็นเงื่อนไขพื้นฐานของการสร้างค่ายกลศึก มีเพียงการไปถึงระดับนี้เท่านั้นถึงจะสามารถสร้างรูปแบบค่ายกลศึกที่จะปรับแต่งรัศมีจั้นยี่ได้มากและสร้างรูปแบบการโจมตีหลากหลายวิธีมากขึ้น” จินไถหลิวหลีอธิบายจากด้านข้าง
มู่เฉินพยักหน้าด้วยความอัศจรรย์ใจ ไม่คิดเลยว่ารัศมีจั้นยี่ยังสามารถนำมาใช้ในลักษณะนี้ได้ ถ้าคิดแบบนี้ วิธีก่อนหน้านี้ของเขาในการใช้รัศมีจั้นยี่ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่หยาบกระด้างมาก
“พูดโดยทั่วไปเมื่อวิญญาณสงครามมีลวดลายจั้นเหวินหมื่นลาย ก็สามารถเทียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ถ้ามีถึงห้าหมื่นลายกระทั่งขั้นแปดยังต้องหวาดกลัว และถ้ามีถึงหนึ่งแสนลายก็สามารถเผชิญหน้ากับขั้นเก้าได้เลยทีเดียว” จักรพรรดิเทียนเจิ้นกล่าวเสียงเบา
ม่านตามู่เฉินหดลงริ้วความตกตะลึงฉายลึกในส่วนลึกของนัยน์ตา วิญญาณสงครามที่มีลวดลายจั้นเหวินแสนลายสามารถต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าได้ ถ้าเช่นนั้นเชียนวั่นจั้นเจิ้นซือจะน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน?
หรือว่าราชันสงครามจิ่วเจี๋ยจะน่ากลัวจนเทียบเคียงกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้?
“ลวดลายจั้นเหวินล้านลายเทียบระดับตี้จื้อจุน ส่วนวิญญาณสงครามที่มีลวดลายจั้นเหวินสิบล้านลายเป็นสิ่งที่แม้แต่ระดับเทียนจื้อจุนก็ไม่กล้าเผชิญหน้ากัน พลังอันน่าสะพรึงกลัวสามารถทำลายล้างพิภพเขตล่างด้วยการสะบัดนิ้วครั้งเดียว” จักรพรรดิเทียนเจิ้นพูดด้วยท่าทางหนักหน่วง
“ทำลายพิภพเขตล่าง”
หัวใจของมู่เฉินเต้นไม่เป็นส่ำ ย้อนกลับไปตอนที่เขาตีความ ‘หัวใจแห่งจั้นเจิ้น’ ได้ ภาพที่เขาเห็นก็เหมือนจะเป็นอสรพิษเก้าหัวขนาดมหึมาไร้ขอบเขตที่สามารถฆ่าล้างเผ่าปีศาจที่อยู่พิภพเขตล่างด้วยการเคลื่อนไหวเดียว
ในตอนนั้นมู่เฉินไม่ได้สนใจมากนัก แต่ตอนนี้เมื่อคิดอีกครั้งดูเหมือนว่าวิญญาณสงครามอสรพิษเก้าหัวจะเต็มไปด้วยลวดลายจั้นเหวินนับไม่ถ้วน ซึ่งอาจอยู่ในระดับสิบล้านลายก็ได้
“ไม่คิดว่าราชันสงครามจิ่วเจี๋ยจะมีที่มาที่ไปสุดยอดเช่นนี้” มู่เฉินอุทานด้วยความชื่นชม จอมยุทธ์แบบนั้นจะต้องเป็นจุดสูงสุดของสวรรค์และโลกต่อให้อยู่ในสมัยโบราณ นับว่าเป็นเสาหลักของมหาพันภพเลยทีเดียว ดูเหมือนเขาจะเสียไปอย่างแต่ก็ได้มาอย่าง แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับมรดกของจักรพรรดิเทียนเจิ้น แต่เขาก็ได้รับสิ่งที่หลงเหลือจากจอมยุทธ์ที่น่าสะพรึงกลัว
“แต่อย่าได้ใจหลังจากได้รับ คัมภีร์จิตจิ่วเจี๋ยเหลยหยู่ในมือเจ้าไม่ครบสมบูรณ์ มีเพียงการเพาะบ่มภัยพิบัติสี่ประการแรกเท่านั้น อีกห้าประการหลังหายสาปสูญไปนานแล้ว แต่ถึงกระนั้นถ้าเจ้าสามารถฝึกฝนสี่ภัยพิบัติแรกได้สำเร็จ ก็คงไม่ยากที่จะกลั่นลวดลายจั้นเหวินได้หลายแสนลาย ยิ่งถ้าเจ้ามีความเข้ากันได้สูงกับคัมภีร์จิตนี้ เจ้าอาจจะสามารถกลั่นลวดลายจั้นเหวินได้นับล้านเลยทีเดียว” จักรพรรดิเทียนเจิ้นเอ่ยเตือน
“ลวดลายจั้นเหวินหลายแสนลายเรอะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ แม้จะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง แต่มู่เฉินก็ไม่ผิดหวัง หากมีโอกาสในอนาคตเขาจะค้นหาภัยพิบัติอีกห้าประการมาให้จงได้ ยังไงตามการคาดการณ์ของเขาเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสำเร็จสี่ภัยพิบัติแรกได้ในช่วงเวลาสั้นๆ
“ขอบคุณสำหรับการชี้แนะท่านผู้อาวุโส”
มู่เฉินประสานมืออย่างจริงใจต่อจักรพรรดิเทียนเจิ้นเพื่อแสดงความขอบคุณ แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับมรดกของอีกฝ่าย แต่จักรพรรดิเทียนเจิ้นก็เปิดเส้นทางของจั้นเจิ้นซือให้กับเขา ซ้ำยังให้โอกาสเขามอบศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ให้ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกขอบคุณในหัวใจยิ่งนัก
จักรพรรดิเทียนเจิ้นโบกมือ “เจ้ามีส่วนทำให้ข้าสามารถค้นหาผู้สืบทอดได้ในช่วงสุดท้าย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่ข้าจะให้โอกาสนั้น”
พูดมามากมาย สีหน้าของจักรพรรดิเทียนเจิ้นก็ฉายความเหนื่อยล้า มู่เฉินสามารถสัมผัสถึงประกายในสายตาอีกฝ่ายพร่ามัวลง ซึ่งทำให้เขารู้ว่าจักรพรรดิเทียนเจิ้นคงทนได้อีกไม่นานแล้ว
“ข้าคงทนต่อไม่ไหวแล้ว ก่อนจะลาจาก ข้าขอมอบของขวัญอีกชิ้นให้เจ้าทั้งสองคน” จักรพรรดิเทียนเจิ้นฝืนยิ้มให้ทั้งสองคน จากนั้นก็โบกมือทำให้กองทหารหินเบื้องล่างสั่นสะเทือน ร่างเงาจำนวนมากทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ากลายเป็นลำแสงสีเทาพลิ้วลงในมือของจักรพรรดิเทียนเจิ้น
กระดานหมากสองกระดานวางอยู่ในมือเขา มีกองทหารหินสร้างเป็นตัวเบี้ยงดงามบนกระดาน ซึ่งดูราวกับหมากรุก
“กระดานเทพปฏิยุทธ์อันตรายจริงๆ ด้วยกองทหารหินกว่าหมื่นคน ข้าสามารถก่อตั้งกองทัพได้เพียงสองพันคนเท่านั้น”
จักรพรรดิเทียนเจิ้นมองรูปปั้นหินบนกระดานทั้งสอง เขาถอนหายใจเสียงเบาก่อนที่จะสะบัดกระดานมาส่งให้มู่เฉินและจินไถหลิวหลี “กระดานเทพปฏิยุทธ์แต่ละกระดานมีกองทหารหินหนึ่งพันคน เมื่อตกอยู่ในอันตรายก็สามารถเปิดใช้งานได้ รัศมีจั้นยี่ของพวกเขาจะช่วยให้เจ้าฝ่าวิกฤต แต่จำไว้ว่าใช้ได้เพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นมันก็จะสลายเป็นเถ้าถ่าน”
ใบหน้าของมู่เฉินและจินไถหลิวหลีเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ขณะที่รับกระดานหมากโบราณมาอย่างระมัดระวัง ก่อนที่จะคำนับจักรพรรดิเทียนเจิ้นด้วยมารยาทสูงสุด
ขณะที่พวกเขาโค้งคำนับ จักรพรรดิเทียนเจิ้นก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เอนตัวพิงพนักบัลลังก์หินอย่างช้าๆ ประกายแสงในดวงตาเริ่มหม่นลงก่อนที่จะหายไปอย่างสมบูรณ์
เมื่อแสงในดวงตาหายไป ร่างกายของจักรพรรดิเทียนเจิ้นก็เริ่มแข็งตัวเป็นหิน ก่อนที่จะกลายเป็นรูปปั้นหินนั่งเงียบๆ บนบัลลังก์หิน
เมื่อมู่เฉินและจินไถหลิวหลีเงยหน้าขึ้น พวกเขาก็เห็นจักรพรรดิเทียนเจิ้นกลายเป็นรูปปั้นหินไปแล้ว ทั้งสองได้แต่ถอนหายใจเบาๆ เนื่องจากพวกเขารู้ว่าผู้อาวุโสที่ถ่ายทอดศาสตร์แห่งจั้นเจิ้นซือให้ได้หายไปจากโลกนี้ตลอดกาลแล้ว