“มู่เฉินบอกมาว่าต้องการอะไรถึงจะยอมปล่อยกองทัพของเรา!”
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดของจินไถหลิวหลีก็อดยิ้มไม่ได้ เขาสังเกตเห็นสีหน้าจากหญิงสาวและก็ไม่ได้รังเกียจอะไรกับการที่นางใช้การเจรจาต่อรองนี้เพื่อทำให้พวกหมู่ตึกเทวะรู้สึกขอบคุณ ในทางตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกชื่นชมนาง การมองเห็นและเข้าใจสถานการณ์เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การชมเชย
เป็นการดีที่สุดที่สามารถหลีกเลี่ยงคนอย่างนางในฐานะศัตรูได้
แม้ว่ามู่เฉินจะรู้สึกชื่นชมจินไถหลิวหลีในใจ แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยความรู้สึกใดบนใบหน้า ไม่อย่างนั้นพวกหมู่ตึกเทวะจะระแวงในตัวจินไถหลิวหลีแน่
“อยากไถ่กองทัพพวกนี้คืนก็ไม่ยากอะไร แค่ขึ้นอยู่กับความจริงใจของหมู่ตึกเทวะ” มู่เฉินหรี่ตายิ้ม ท่าทางเหมือนเจรจาต่อรองง่าย
เมื่อเหล่าผู้บัญชาการหลุดจากสมรภูมิก็ทะยานเข้าไปหามู่เฉิน พวกเขามองกองทัพทั้งหลายที่ถูกมู่เฉินกักตัวไว้ ใบหน้าก็พิลึกไป แม้แต่พวกเขาเองก็แทบไม่เคยเห็นการนำกองทัพเป็นตัวประกัน
“เจ้าหมายความยังไง?” จินไถหลิวหลีขมวดคิ้วขณะที่พูดเสียงเย็นชา
“ยาหยุ่นลั้วห้าหมื่นเม็ดสำหรับหนึ่งกองทัพ ตอนนี้มีสามกองทัพอยู่ในมือ ดังนั้นแค่พวกเจ้าจ่ายยาหยุ่นลั้วทั้งหมดหนึ่งแสนห้าหมื่นเม็ด ข้าก็จะปล่อยตัวพวกเขา” มู่เฉินยิ้ม
เมื่อคำพูดของมู่เฉินดังออกมาก็ทำเอาฝูงชนต้องตะลึงไป จอมยุทธ์หมู่ตึกเทวะขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาโกรธมากกับประโยคดังกล่าว
จากที่ไกลเมื่อหลิ่วเหยียนและสมาชิกตำหนักสุดนภาเห็นมู่เฉิดกำลังรีดไถหมู่ตึกเทวะ พวกเขาก็รู้สึกสะใจขึ้นมา เมื่อคนโชคร้ายพบกับคนโชคร้ายกว่า ความรู้สึกของคนคนนั้นก็คงเป็นแบบนี้
“มู่เฉิน แกฝันไปแล้ว ยาหยุ่นลั้วแสนห้าหมื่นเม็ด แกไม่กลัวสำลักตายรึไง?!” ในที่สุดฟังยี่ก็ไม่สามารถยับยั้งอารมณ์จนต้องตะโกนออกมา
สีหน้าเหล่าเจ้าภูเขาหมู่ตึกเทวะก็มืดมน ขณะที่จ้องมองมู่เฉินด้วยสายตาโหดเหี้ยม
“ถ้าเป็นแบบนี้ ก็แปลว่าการเจรจาของเราจบลงสินะ?”
สายตาของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นเย็นเยือก จากนั้นเขาก็กำมือแน่น ปราการแสงที่ห่อหุ้มกองทัพทั้งสามของหมู่ตึกเทวะก็บีบอัดลงมากะทันหันราวกับภูเขาถล่ม กดอัดกองทัพทั้งสามลงไป
เผชิญหน้ากับการปราบปรามของมู่เฉิน แม้กองทัพทั้งสามจะพยายามต่อต้าน แต่ก็ไม่มีใครสามารถสั่งการรัศมีจั้นยี่ได้อย่างแท้จริง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถแสดงพลังยิ่งใหญ่ได้ พวกเขาได้เพียงแต่เฝ้ามองปราการแสงกดลงมาทีละน้อย…ละน้อย ความกดดันยิ่งใหญ่ทำให้ใบหน้าของเหล่านักรบซีดลง
ใบหน้าเจ้าภูเขาหมู่ตึกเทวะก็เปลี่ยนไปรุนแรง เสียงกรอดดังจากการกัดฟันแน่นด กองทัพทั้งสามได้รับการบำรุงด้วยทรัพยากรนับไม่ถ้วน หากถูกทำลาย พวกเขาจะต้องสูญเสียพลังมหาศาลอย่างแท้จริง
“หยุดก่อน!”
จินไถหลิวหลีตะเบ็งเสียงเย็นชาเพื่อหยุดการกระทำของมู่เฉิน จากนั้นก็หันไปมองเหล่าเจ้าภูเขาหมู่ตึกเทวะ “ทั้งสามต่อไปจะทำยังไงพวกเจ้าต้องตัดสินใจเองแล้ว หากจะออกไปประจันหน้า ข้าสามารถช่วยสนับสนุนได้”
สีหน้าของเจ้าภูเขาทั้งสามบิดเบี้ยว ตอนนี้กองทัพอยู่ในมือของมู่เฉิน เพียงแค่ความคิดแวบเดียว มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ก็จะพังทลายลง ยามนั้นกองทัพของพวกเขาอาจได้รับบาดเจ็บสาหัส คงจะสายเกินไปสำหรับพวกเขาที่จะช่วยเหลือพรรคพวกได้
“เราใช้ยาหยุ่นลั้วไถ่กองทัพกลับมาก่อนไหม? เรายังสามารถค้นหาเม็ดยาเหล่านี้ใหม่ได้ แต่หากเราสูญเสียกองทัพไป ความพยายามทั้งหมดของเราในหลายปีที่ผ่านมาก็แทบจะกลายเป็นอากาศธาตุแล้ว” เหยียนหลังกัดฟันพูด
สูป้าและเทียนสงก็กำหมัดจนเกิดเสียงลั่นเปรียะ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ได้แต่ถอนหายใจ แม้แต่คนที่โหดเหี้ยมและดุร้ายอย่างพวกเขา ก็ไม่เต็มใจที่จะฝังกองทัพชั้นยอดไปต่อหน้าต่อตา เพราะกองทัพของพวกเขาใช้ทรัพยากรและพลังงานมหาศาลในการเลี้ยงดูเหลือเกิน
“ไม่ได้!” ฟังยี่คำราม “แม้ว่าเราจะรวมเม็ดยาทั้งหมดที่มี ก็มีเพียงเจ็ดหมื่นเม็ดเท่านั้น หากเราให้พวกมันทั้งหมด ไม่เท่ากับว่าเราทำงานเปล่าประโยชน์เหรอ? เราจะอธิบายเรื่องนี้ต่อท่านประมุขได้ยังไง?!”
“ถ้าไม่ใช่การกระทำงี่เง่าของเจ้า กองทัพของเราจะอยู่ภายใต้การควบคุมของมู่เฉินเรอะ? ถ้าต้องการคำอธิบายเจ้าก็หาทางเอง ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของพวกเรา!” สูป้ากล่าวอย่างมืดมน
เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ใบหน้าของฟังยี่ก็น่าเกลียดลง
จินไถหลิวหลีเหลือบมองพวกเขา ก่อนจะมองมู่เฉินพูดเสียงขรึมว่า “มู่เฉิน พวกข้าไม่ได้มียาหยุ่นลั้วถึงแสนห้าหมื่นเม็ด หนึ่งกองทัพต่อสองหมื่นเม็ด รวมทั้งหมดหกหมื่นเม็ด ถ้าคิดว่ารับได้ก็ปล่อยกองทัพมา ไม่งั้นพวกข้าขอสู้ตาย มาดูสิว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะจัดการกับพวกข้ายังไง!”
“เม็ดยาหยุ่นลั้วหกหมื่นเม็ดเหรอ?”
มู่เฉินยิ้มบางจากนั้นก็พยักหน้า “แม่นางจินไถรู้สถานการณ์ดี เม็ดยาหกหมื่นเม็ดก็ได้ ถือว่าเจ้าเป็นสหายของข้าละกัน”
เขารู้ว่าการเรียกร้องก่อนหน้าน่าขนลุกขนาดไหน ดังนั้นเขาไม่หวังให้หมู่ตึกเทวะยอมคั้นเม็ดยาจำนวนนั้นออกมาจริงๆ การได้รับเม็ดยาหยุ่นลั้วถึงหกหมื่นเม็ด เขาก็ค่อนข้างพอใจแล้ว ราคาที่เสนอโดยจินไถหลิวหลีอยู่ในช่วงการยอมรับของเขาได้ นอกจากนี้ยังให้จินไถหลิวหลีติดหนี้บุญคุณเขา ในการออกหน้าเพื่อคนเหล่านั้นจะได้รู้สึกขอบคุณนางมากขึ้น
จินไถหลิวหลีเฉลียวฉลาด จึงเข้าใจความคิดของมู่เฉินได้ ดังนั้นนางจึงขยิบตาให้มู่เฉิน ก่อนที่จะเค้นเสียงเยือกเย็น “ข้าไม่คู่ควรกับการเป็นสหายกับคนโลภมากหรอก”
น้ำเสียงของจินไถหลิวหลีเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและการเย้ยหยัน ทักษะการแสดงของนาง ทำให้มู่เฉินพูดไม่ออกเลยทีเดียว
จินไถหลิวหลีหันไปมองเจ้าภูเขาทั้งสาม ฝ่ายหลังฉายสีหน้าเจ็บปวด ทว่าพวกเขาก็ได้แต่กัดฟันสะบัดแขนเสื้อ ขวดหยกสามใบบินออกไป
ในนั้นคือเม็ดยาหลุ่นยั้วทั้งหมดที่พวกเขาเก็บเกี่ยวได้
จินไถหลิวหลีคว้าขวดเอาไว้แล้วโยนไปให้มู่เฉิน เขากำมือขวดหยกก็ไปปรากฏในมือ
เขาโยนเล่นเบาๆ ก่อนจะส่งไปให้จิ่วโยวตรวจสอบความถูกต้อง หลังจากได้รับการยืนยัน เขาก็ประสานพร้อมกับยิ้ม “ขอบคุณสำหรับของขวัญจากพวกเจ้า”
จินไถหลิวหลีสวมสีหน้าเย็นชา ขณะที่คนอื่นมีสีหน้าดุร้าย สายตาพวกเขาราวกับต้องการฉีกเนื้อมู่เฉินออกเป็นชิ้นๆ
“จะปล่อยพวกเขาได้หรือยัง?” น้ำเสียงของจินไถหลิวหลีเย็นเยือก
มู่เฉินพยักหน้ายิ้มตาหยี จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ ปราการครอบกองทัพทั้งสามของหมู่ตึกเทวะไว้แยกออกจากกัน เมื่อปราศจากสิ่งกีดขวางเหล่านักรบก็พุ่งหนีกันจ้าละหวั่น ไม่สามารถรักษากระบวนทัพได้อีกต่อไป พวกเขาราวกับผู้ลี้ภัย น่าสมเพชอย่างยิ่ง
แม้ว่ากองทัพทั้งสามจะเป็นสมบัติล้ำค่าในสายตาของเจ้าภูเขา ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้เป็นภัยคุกคามในสายตามู่เฉินมากนัก เพราะตราบใดที่กองทัพเหล่านั้นไม่ได้ถูกควบคุมโดยอัจฉริยะศาสตร์รัศมีจั้นยี่อย่างจินไถหลิวหลี เขาก็ไม่รู้สึกกลัวอะไรเกี่ยวกับพวกเขา
ยิ่งตอนนี้เขาจับมือเป็นพันธมิตรลับกับจินไถหลิวหลี เขาจึงไม่ต้องกังวลว่ากองทัพเหล่านั้นจะเป็นอันตรายต่อเขา
ทั้งสามทัพหนีกลับไปหาพรรคพวกอย่างน่าสมเพช พวกเขาประสบกับความอกสั่นขวัญแขวนมากจากเหตุการณ์นี้ รัศมีจั้นยี่ที่พลุ่งพล่านก็จางลง ทำให้เปลือกตาของเหล่าเจ้าภูเขาถึงกับกระตุก
เมื่อมู่เฉินปล่อยกองทัพทั้งสามออกไป เขาก็เหลือบมองไปที่พวกหลิ่วเหยียนที่อยู่ไกล เมื่อเห็นสายตานั่น ใบหน้าของหลิ่วเหยียนก็เปลี่ยนเป็นน่าเกลียด หลังจากได้เห็นว่าหมู่ตึกเทวะตกอยู่ในสภาพน่าสังเวชเพียงใด เขาก็กังวลว่ามู่เฉินจะใช้กลยุทธ์แบบเดียวกันมาจัดการ เพราะไม่เพียงแต่เป็นกองทัพชั้นยอดของตำหนักสุดนภาจะตกอยู่ในมือมู่เฉิน กระทั่งอัจฉริยะศาสตร์รัศมีจั้นยี่ก็ด้วยเช่นกัน
“ประมุขน้อยหลิ่ว คนของพวกเจ้า ข้าค่อยคืนให้หลังจากที่ออกจากซากอารยธรรมความตายนะ?” มู่เฉินยิ้มอบอุ่น
เมื่อหลิ่วเหยียนได้ยินว่ามู่เฉินไม่คิดจะรีดไถ เขาก็ตกใจไปชั่วครู่ก่อนที่จะรู้สึกโล่งใจ เขาไตร่ตรองคำถามนั้นสั้นๆ ก่อนจะพยักหน้า
หลังจากเห็นสถานการณ์น่าสังเวชของหมู่ตึกเทวะ หลิ่วเหยียนก็รู้สึกว่ามู่เฉินใจอ่อนกับพวกเขามากนัก…
ที่จริงแล้ว ไม่ใช่เพราะมู่เฉินใจอ่อนกับตำหนักสุดนภา เขาแค่ไม่ต้องการบังคับหลิ่วเหยียนมากนัก เพราะสุดท้ายกระทั่งกระต่ายยังพุ่งเข้ากัดเมื่อถูกต้อนจนมุม หากเป็นเช่นนั้นบางทีหลิ่วเหยียนอาจยินดีที่จะเสียสละเซียวเทียนและหน่วยรบสุดนภาเพื่อรวมพลังกับหมู่ตึกเทวะ ในเวลานั้นถึงเป็นพวกเขาก็ต้องจ่ายราคาหนักหนาเลยทีเดียว
ดังนั้นมู่เฉินจึงนำความเหี้ยมโหดซัดลงไปที่หมู่ตึกเทวะโดยตั้งใจ แต่กลับไม่เร่งรัดกับตำหนักสุดนภา ด้วยวิธีนี้หลิ่วเหยียนจะไม่คิดที่จะเสี่ยงทุกอย่าง ในเวลาเดียวกันเมื่อหมู่ตึกเทวะเห็นว่าตำหนักสุดนภาไม่สูญเสีย พวกเขาก็จะรู้สึกไม่สบายใจในใจ ดังนั้นความคิดที่จะให้ความร่วมมือกันก็ลดลง ด้วยวิธีนี้มู่เฉินสามารถป้องกันไม่ให้ทั้งสองกลุ่มร่วมมือกันได้มากที่สุด
เมื่อเหล่าผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์เห็นมู่เฉินแยกหมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภาออกจากกันได้อย่างง่ายดาย พวกเขาก็แลกเปลี่ยนสายตากัน แต่ละคนมองเห็นแววตกใจและชื่นชมในสายตาของกันและกัน
กลยุทธ์ของมู่เฉินสุดยอดนัก
“ฮ่าๆ ในเมื่อเป็นแบบนี้ อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ขอตัวไปก่อน” มู่เฉินหัวเราะร่าขณะที่โบกมือไปทางพรรคพวก จากนั้นก็ทะยานออกไปจากซากอารยธรรม
หมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภาก็ตามออกไปอย่างรวดเร็ว
บทสรุป ณ ดินแดนแห่งนี้เป็นที่ประจักษ์สายตากับกองทัพอื่นๆ พวกเขาส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ใครจะคิดว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ซึ่งอยู่ในสถานการณ์อันตรายในตอนแรก กลับพลิกสถานการณ์ได้จากการปรากฏตัวของมู่เฉิน…
หลายคนถึงกับทอดถอนหายใจ พวกเขามีลางสังหรณ์บางทีในสงครามล่า ชายหนุ่มที่ไม่มีอะไรโดดเด่นเมื่อเริ่มจะกลายเป็นม้ามืดที่น่าตื่นตะลึง…