ครืน!
ทันใดนั้นเทือกเขาที่อยู่ห่างออกไปก็สั่นสะเทือน โดยเฉพาะตรงต้นกำเนิดแรงสั่นสะเทือนโยกคลอนมากจนกระทั่งหินน้อยใหญ่ร่วงหล่นลงมา ทำให้เกิดหลุมบนพื้นดิน
เมื่อเหล่าผู้บัญชาการเห็นภาพนี้ใบหน้าก็ฉายไปด้วยความสุข นั่นเป็นเพราะเวลาเดียวกับเกิดการสั่นสะเทือน พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงกระเพื่อมไหวเกิดขึ้นฉับพลันในถ้ำ
มู่เฉินคือต้นกำเนิดของแรงสั่นสะเทือนนี้
หลังจากหนึ่งเดือนที่อยู่ในสมาธิ คลื่นหลิงของมู่เฉินก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพิจารณาจากความแข็งแกร่งของระลอกคลื่น ก็แรงกล้ายิ่งกว่าเมื่อเดือนที่แล้วเสียอีก
“ในที่สุดเขาก็ออกมาสักที” เลี่ยซันและคนอื่นๆ รู้สึกโล่งใจมาก ถ้ามู่เฉินยังไม่ออกมา พวกเขาคงต้องเข้าไปปลุกเขาแล้ว ไม่งั้นพวกเขาก็จะล่าช้าในสงครามล่า
ตึง!
ความถี่ของการสั่นสะเทือนเพิ่มขึ้น จนสุดท้ายรอยแตกก็กระจายออกมาครอบคลุมภูเขาทั้งลูกในเวลาไม่กี่สิบลมหายใจ
ในส่วนลึกถ้ำ การไหลเวียนของคลื่นหลิงทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อถึงขีดสุดก็เหมือนกับการปะทุของภูเขาไฟ
ปัง!
ยอดเขาระเบิด เสาแสงคลื่นหลิงหลายร้อยจั้งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าทะลุผ่านชั้นเมฆ เสาแสงนี้สามารถมองเห็นได้ไกลไปหลายร้อยลี้เลยทีเดียว
ขณะที่เสาแสงตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างสวรรค์และโลก ระลอกคลื่นหลิงก็กระจายออกไป ทำให้มิติถึงกับสั่นสะเทือนไปพร้อมกัน
จิ่วโยวและคนที่เหลือจ้องที่เสาแสงนิ่ง ทันใดนั้นพวกเขาก็ต้องหดดวงตา ก่อนที่จะเห็นร่างสูงโปร่งอยู่ภายในเสาแสง คลื่นหลิงน่าอัศจรรย์กำจายออกมาจากร่างเขา
“คลื่นหลิงนี่…”
สีหน้าเหล่าผู้บัญชาการอัดแน่นด้วยความตื่นตะลึง “ผู้บัญชาการมู่บรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าด้วยรึ?!”
แต่เดิมพวกเขาคิดว่ามู่เฉินเข้าสมาธิเพื่อบรรลุการเป็นจั้นเจิ้นซือเท่านั้น ใครจะไปคิดว่าอีกฝ่ายจะก้าวข้ามจากขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่เป็นขั้นห้าในเวลาเพียงเดือนเดียวด้วย!
แม้ว่าจะเป็นเพียงความแตกต่างของตัวเลขระหว่างขั้นสี่และห้า แต่ก็มีช่องว่างขนาดใหญ่ ยกตัวอย่างในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ใครก็ตามที่บรรลุไปถึงขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าก็จะมีคุณสมบัติได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการ ขณะที่ขั้นสี่ได้แค่ปกครองเมือง ซึ่งเป็นความแตกต่างระหว่างสวรรค์กับโลกเลยทีเดียว
จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้ามีคุณสมบัติที่จะเข้าชิงตำแหน่ง แม้ว่ามู่เฉินจะเคยพิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วยความพลังที่มีแล้วก็ตาม
ไม่ว่าขั้วอำนาจใดในภูมิภาคทางเหนือ จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าจะได้รับการปฏิบัติด้วยมารยาทสูง
“มิน่าล่ะเขาถึงเข้าสมาธินานขนาดนี้” หลิงเจี้ยนถอนหายใจ หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ไม่รู้สึกว่าหนึ่งเดือนยาวนานเลย นั่นเป็นเพราะตอนที่พวกเขาบรรลุระดับจื้อจุนขั้นห้าเวลาที่ใช้ไปไม่ใช่แค่ครึ่งเดือน
ภายใต้คำอุทาน เสาแสงคลื่นหลิงก็อ่อนจางลงแล้วสลายไป ร่างสูงโปร่งปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ผมสีดำของเขาปลิวไสว ทำให้เขาดูอิสระและหล่อเหลายิ่งขึ้นไปอีก
เวลาเดียวกันดวงตาที่ปิดสนิทของมู่เฉินก็เปิดออกมองภูเขาเขียวชอุ่มและพรรคพวกตรงหน้าซึ่งไม่ได้เจอกันมานาน ความรู้สึกผ่อนคลายเกิดขึ้นในใจ
แม้ว่าเป็นเดือนเดียว แต่เนื่องจากการฝึกคลื่นจิตได้ ทำให้เขารู้สึกราวกับว่าหลายปีผ่านไป
มู่เฉินระงับอารมณ์พลุ่งพล่านไว้ในใจ ก่อนจะทะยานไปบนยอดเขาที่พวกจิ่วโยวยืนอยู่ เขาประสานมือพูดด้วยน้ำเสียงลุแก่โทษ “ขอโทษที่ทำให้ทุกคนรอนาน”
ตอนแรกเขาคิดว่าตัวเองน่าจะใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนสำหรับการเข้าสมาธิครั้งนี้ แต่ใครจะไปรู้ได้ว่าหนึ่งเดือนผ่านไปในพริบตา ถ้าเป็นเวลาอื่นคงไม่เป็นไร แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ในสงครามล่าซึ่งอันตรายมาก อาจมีหลายสิ่งเกิดขึ้นในช่วงเดือนที่ผ่านมา
เมื่อได้ยินคำพูดมู่เฉิน เหล่าผู้บัญชาการก็ยิ้มพลางโบกมือ จากนั้นถามด้วยความระมัดระวัง “ผู้บัญชาการมู่บรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าแล้วใช่ไหม?”
แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกถึง แต่ก็ยังต้องการคำยืนยัน
มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
เมื่อทุกคนได้รับการยืนยัน พวกเขาก็ถอนใจอย่างไม่สามารถควบคุมได้อีกครั้ง เพราะตอนที่มู่เฉินเข้าร่วมอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เขาเพิ่งบรรลุระดับจื้อจุนเท่านั้น กระนั้นเขากลับบรรลุระดับจื้อจุนขั้นห้าในเวลาสองปี ช่างเป็นความเร็วในการฝึกฝนที่น่าตกใจ
ถ้าเป็นจอมยุทธ์คนอื่นคงยากที่จะไปถึงขั้นสองในเวลาแค่สองปีด้วยซ้ำ ทว่ามู่เฉินกลับราวกับขี่ม้าวิ่งไปไกลทิ้งเหล่าอัจฉริยะหลายคนไว้เบื้องหลัง
“แล้วตอนนี้เจ้านับเป็นจั้นเจิ้นซือแล้วหรือยัง?” จิ่วโยวกะพริบตาขณะยิ้มถามคำถามสำคัญมากกว่าคนอื่น แม้ว่าระดับจื้อจุนขั้นห้าจะทรงพลัง แต่ด้วยกลยุทธ์ต่างๆ ในแขนเสื้อของมู่เฉิน ก็ไม่ได้มีอะไรที่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าจะสามารถต่อกรกับเขาได้ มากกระทั่งมู่เฉินกล้าเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกด้วย
แต่เห็นได้ชัดว่าในสถานการณ์ปัจจุบันพลังของจั้นเจิ้นซือแข็งแกร่งกว่าขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าของมู่เฉินมาก ซึ่งสามารถเห็นได้จากการเคลื่อนไหวล่าสุดของจินไถหลิวหลี ยอดเขาหมื่นเทพก็เป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุด มีจอมยุทธ์ทรงพลังมากมาย แต่ในการเผชิญหน้ากับหมู่ตึกเทวะครั้งนี้ไม่เพียงแต่อัจฉริยะศาสตร์รัศมีจั้นยี่ของพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บหนัก กระทั่งเหล่านักรบยังได้รับบาดเจ็บจำนวนมากจนถึงจุดที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกจบชีวิตในการต่อสู้ด้วยซ้ำ
ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่จินไถหลิวหลีบรรลุการเป็นจั้นเจินซือแล้ว ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าจั้นเจินซือทรงพลังเพียงใดในสงครามล่า
เมื่อได้ยินคำถามของจิ่วโยว เหล่าผู้บัญชาการก็มองมู่เฉินด้วยดวงตาเป็นประกาย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาสงสัยมากเกี่ยวกับคำถามนี้เช่นกัน
แม้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าจะทรงพลัง แต่ในศึกใหญ่อย่างสงครามล่า ชัดเจนว่าไม่มีผลกระทบใดๆ มีเพียงจั้นเจิ้นซือเท่านั้นที่สามารถรวมหน่วยรบชั้นยอดของกองทัพสูงสุดเพื่อปลดปล่อยความสามารถในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งขึ้น
มู่เฉินมองดวงตาวิบวับเหล่านั้นด้วยรอยยิ้มบาง เขาไม่ได้พูด แต่กลับเบนสายตาไปที่หน่วยรบทั้งห้าในเทือกเขา
ตู้ม!
พวกจิ่วโยวจ้องไปที่ดวงตาของมู่เฉิน ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าดวงตาของอีกฝ่ายเปล่งประกายขึ้น พวกเขารู้สึกถึงพายุที่มองไม่เห็นระเบิดออกมาจากร่างมู่เฉินฉับพลัน
ครืน!
พายุไร้รูปร่างปะทุขึ้น ทำให้มิติกระเพื่อมเป็นลอน สีหน้าของเหล่าผู้บัญชาการเปลี่ยนแปลงรุนแรง นั่นเพราะพวกเขารู้สึกเจ็บที่หว่างคิ้วจากพลังที่มองไม่เห็น
พลังงานนี้ไม่มีรูปไม่มีร่างเป็นสิ่งที่ลึกลับมาก
“นี่เป็นพลังงานเอกลักษณ์ของจั้นเจิ้นซือเรอะ?” สายตาของพวกจิ่วโยววูบไหว พวกเขาเป็นนักรบที่มีประสบการณ์มากมาย ดังนั้นจึงเป็นปกติที่พอจะรู้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับจั้นเจิ้นซือ ว่ากันว่าจั้นเจิ้นซือสามารถพึ่งพาพลังเอกลักษณ์นี้เพื่อรวบรวมรัศมีจั้นยี่ของกองทัพได้
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มีความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับพลังนี้ แต่พวกเขาก็สัมผัสได้ว่าพลังตรงหน้านี้ของมู่เฉินแข็งแกร่งกว่าในอดีตหลายเท่า
พลังที่มองไม่เห็นก็คือพลังจิตของมู่เฉิน
มู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้า เอามือไพล่หลัง เรือนผมพลิ้วสยายในสายลม ขณะที่คลื่นจิตกวาดออกก็พุ่งเข้าไปในหน่วยรบทั้งห้า ในเวลาเดียวกันเหล่านักรบก็ได้ยินเสียงดังกึกก้องอยู่ในใจ
“เร้ารัศมีจั้นยี่ของพวกเจ้าออกมา”
น้ำเสียงสงบราบเรียบ แต่บรรจุไปด้วยเกียรติภูมิที่อธิบายไม่ได้ กระทั่งพวกเขายังลืมที่จะขอคำยืนยันจากผู้บัญชาการ ปลดปล่อยรัศมีจั้นยี่ออกมาโดยไม่รู้ตัว
ครืน!
รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพวยพุ่งขึ้นไปถึงท้องฟ้าจากบนเทือกเขา ลอยอยู่เหนือหน่วยรบทั้งห้า ดวงตาของมู่เฉินเปล่งประกายขณะที่จ้องมองรัศมีจั้นยี่ห้าสายที่พรั่งพรู จากนั้นเขาก็โบกแขนเบาๆ
ตู้ม! ตู้ม!
มหาสมุทรกว้างใหญ่ของรัศมีจั้นยี่ทั้งห้าส่งเสียงหวีดหวิวทำให้ท้องฟ้าสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น วิญญาณสงครามขนาดใหญ่ทั้งห้าก่อตัวขึ้นเหนือมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่นี้
โฮก!
วิญญาณสงครามทั้งห้ายืนอยู่บนท้องฟ้า เสียงคำรามถึงกับเขย่าชั้นฟ้าเลยทีเดียว ลวดลายจั้นเหวินเปล่งประกายบนร่างพวกมัน คลื่นความผันผวนที่ปล่อยออกมาทรงพลังกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่า
พวกจิ่วโยวตกตะลึงเมื่อเห็นฉากนี้ ในอดีตแม้ว่ามู่เฉินจะสามารถสร้างวิญญาณสงครามจากทั้งห้าหน่วยรบได้ แต่ก็ไม่มีทางทำให้เป็นไปตามธรรมชาติเหมือนในเวลานี้
เมื่อครู่เขาโบกมือวูบเดียวเพื่อก่อร่างวิญญาณสงครามเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้รู้เรื่องศาสตร์รัศมีจั้นยี่ แต่พวกเขาก็บอกได้ว่าวิญญาณสงครามทั้งห้าแข็งแกร่งกว่าในอดีตหลายขุม
มู่เฉินจ้องมองวิญญาณสงครามทั้งห้า จากนั้นมือทั้งสองก็สร้างตราประทับทันที
“รัศมีจั้นยี่รวมตัว!”
ตู้ม!
วิญญาณสงครามขนาดใหญ่ทั้งห้าลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าและปะทะกัน ช่วงจังหวะนั้นรัศมีจั้นยี่ที่ป่าเถื่อนก็กระจายออกในรูปแบบคลื่นกระแทกกวาดหายนะออกไป ทำให้เกิดรอยแตกขนาดใหญ่บนเทือกเขารอบข้างจากแรงสั่นสะเทือน
พวกจิ่วโยวได้แต่จ้องมองวงแสงระยิบระยับของรัศมีจั้นยี่ที่อัดแน่นด้วยรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกระเพื่อมอยู่ภายใน
มู่เฉินเคยใช้วิธีนี้ในอดีต แต่ตอนนั้นแทบกระอักกว่าจะสำเร็จ
ครืน!
วงแสงรัศมีจั้นยี่กระเพื่อมไหวก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนบนท้องฟ้า ภายใต้สายตาตกตะลึงของพวกจิ่วโยว มือขนาดใหญ่พันจั้งก็ก่อตัวขึ้นในวงแสงอย่างช้าๆ มือนั้นเต็มไปด้วยลวดลายจั้นเหวินหนาแน่น ความผันผวนน่าสะพรึงกลัวกระจายออกมา ความผันผวนของรัศมีจั้นยี่นี้ทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งอย่างเลี่ยซันยังมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงรุนแรง
ฮา
มู่เฉินมองมือขนาดใหญ่ในวงแสงก็พ่นอากาศออกมาเบาๆ ก่อนที่จะระงับความตื่นเต้นในหัวใจ
นั่นเป็นเพราะจำนวนลวดลายจั้นเหวินในมือใหญ่เกินหมื่นลายแล้ว!
ซึ่งหมายความว่าในที่สุดมู่เฉินก็บรรลุการสร้างลวดลายจั้นเหวินหนึ่งหมื่นลายอย่างเป็นทางการ เขาก้าวเข้าสู่การเป็นวั่นเหวินจั้นเจินซือเต็มตัวแล้ว