บนลานประลองมหึมา
ซิวหลัวยืดตัวตรง ร่างแข็งแกร่งราวกับภูเขาพร้อมกับคลื่นหลิงหนาแน่นและน่าเกรงขามกำจายรอบตัวเขา แม้แต่พวกมู่เฉินที่อยู่ด้านล่างลานประลองก็รู้สึกได้อย่างชัดเจน
ที่เบื้องหน้าซิวหลัวเป็นร่างเงาราวกับหอคอย ร่างกายส่วนบนของมันเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นที่ดูดุร้าย ทำให้มันดูเป็นโหดร้ายมากยิ่งขึ้น
แม้ว่าร่างนี้จะมีร่างกายคล้ายกับมนุษย์ แต่กลับมีหัวเป็นมังกร ฟันแหลมคมกะพริบแสงเย็นเยือก แสดงให้เห็นว่าพวกมันคมปานใด
ตอนนี้ดวงตาสีแดงเข้มฉายแววป่าเถื่อนจ้องมองไปที่ซิวหลัว ขณะที่รัศมีน่าเกรงขามเชี่ยวกรากกวาดไปทั่ว ทำให้ผู้คนสั่นสะท้านไปทั้งใจ
ทั้งสองมีรัศมีที่โดดเด่น การเผชิญหน้าเช่นนี้เป็นที่ดึงดูดสายตายิ่งนัก
“นั่นคือหนึ่งในสิบมารอสูรของวังสวรรค์บรรพกาล—ปีศาจเจียวกลืนฟ้ารึ?” มู่เฉินและคนอื่นๆ ฉายสีหน้าเคร่งเครียดลงหลายส่วน รัศมีร้ายกาจที่กำจายออกมาจากสิ่งมีชีวิตนั้น ทำให้พวกเขารู้สึกกดดัน ดูเหมือนแม้ว่ามารอสูรทั้งสิบจะตายไปนานแล้ว แต่ด้วยวิธีพิเศษจึงทำให้พวกมันสามารถรักษาพลังส่วนใหญ่เอาไว้ได้
“พลังของปีศาจเจียวนี้มีความโดดเด่นกระทั่งในบรรดามารอสูรทั้งสิบของวังสวรรค์บรรพกาล ว่ากันว่าการเพาะพลังของมันเทียบเคียงกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดเมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้เพราะตายแล้วทำให้พลังของมันอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุด แต่ความจริงจากการใช้ประโยชน์ร่างสัตว์อสูรก็สามารถเผชิญหน้าแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดได้” มั่นถัวหลัวมองทั้งสองที่ประจันหน้ากันบนลานประลองขณะพูดช้าๆ
เมื่อมู่เฉินและคนอื่นๆ ได้ยินก็อึ้งงันไป ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมวังสวรรค์บรรพกาลจึงเป็นเจ้าเหนือหัวแห่งทวีปเทียนหลัว แค่ผู้ใต้บังคับบัญชาของจอมพลสี่ก็ยังเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญ เมื่อเปรียบเทียบกับผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์ สัตว์อสูรทั้งสิบก็อยู่ในระดับที่สูงกว่า ซึ่งเปรียบได้กับจอมยุทธ์อย่างจอมพลเทียนจิ้วเลยทีเดียว
“ตู้ม!”
ขณะที่ทุกคนกำลังรู้สึกประหลาดใจกับความแข็งแกร่งของวังสวรรค์บรรพกาล ประกายแสงก็ปะทุออกมาจากดวงตาของซิวหลัวที่อยู่บนลานประลอง คลื่นหลิงทรงพลังพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า อึดใจต่อมาเขาก็ย่างก้าวออกไป แผ่นหินเบื้องล่างถึงกับแตกเป็นเสี่ยงๆ ฉับพลันร่างเขาก็กลายเป็นสายฟ้าพุ่งเข้าหาปีศาจเจียวกลืนฟ้า ตามด้วยกระบวนท่าที่ดุดัน
ด้วยฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ชัดว่าเขาไม่กลัวปีศาจเจียวตัวนี้
โฮก!
เมื่อปีศาจเจียวเห็นซิวหลัวพุ่งเข้าใส่อย่างจัง มันก็แผดเสียงคำรามดุร้าย ลำแสงบ้าคลั่งพลุ่งพล่านในดวงตา มือที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดบีบแน่นเข้าหากัน ก่อนจะเหวี่ยงหมัดที่กำจายไปด้วยคลื่นหลิงสีแดงเข้มออกไป
ภายใต้หมัดคลื่นหลิงสีแดงเข้มก็ราวกับมังกรร้าย ขณะที่ฉีกกัดก็ทำให้มิติถึงกับบิดเบือน
ตึง!
ทั้งสองโรมรันพันตูขณะหมัดแลกหมัด ทันใดนั้นคลื่นกระแทกที่น่าสยดสยองก็กวาดหายนะไปทั่ว รอยแตกแพร่กระจายอย่างรวดเร็วจากพื้นใต้ฝ่าเท้า ร่างทั้งคู่ถลากลับไปเบื้องหลัง
ทันทีที่ทั้งสองทรงตัวได้มั่นคง พวกเขาก็กระโจนออกไปอีกครั้ง คลื่นหลิงรุนแรงสองสายปะทะกันเปรี้ยงปร้างบนลานประลอง
ตู้ม! ตู้มมม!
ทั้งสองใช้กระบวนท่าดุเดือดที่สุดขณะที่หมัดต่อหมัดซัดกันไม่ยั้ง ในเวลาสิบกว่าลมหายใจก็แลกกระบวนท่ามากกว่าร้อยกระบวนท่าแล้ว การปะทะกันของหมัดทุกครั้ง ทำให้มิติแปรปรวนไปเลยทีเดียว
นอกลานประลอง ทุกคนเฝ้ามองการประจัญบานของทั้งสองด้วยสายตาเคร่งเครียด เวลานี้ชัดว่าซิวหลัวเร้าคลื่นหลิงไปถึงขีดสุดเท่าที่จะทำได้ แรงกดของคลื่นหลิงที่กำจายออกมาจากการเคลื่อนไหวของเขาสามารถทำให้ภูเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อประสานกับการโจมตีกระบวนท่าดุร้ายก็เหมือนสัตว์อสูรยุคดึกดำบรรพ์ยิ่งกว่าปีศาจเจียวกลืนฟ้าเสียอีก
ทว่าเผชิญหน้ากับซิวหลัวที่ดุดัน ปีศาจเจียวก็ไม่ได้หลบหลีก แม้ว่าจะเสียเปรียบในการปะทะส่วนใหญ่ แต่รัศมีทรงพลังที่มีก็เพียงพอที่จะข่มขู่คู่ต่อสู้ที่มีจิตใจไม่มั่นคงได้
การประลองรุนแรงตั้งแต่เริ่มต้นเลยทีเดียว
มั่นถัวหลัวและจอมพลทั้งสามสงบนิ่งขณะเฝ้าดูการต่อสู้ สายตาของพวกเขาเหนือชั้นกว่าเหล่าผู้บัญชาการ ดังนั้นพวกเขาสามารถบอกได้ว่าซิวหลัวกำลังได้เปรียบในการต่อสู้นี้
หากศึกนี้ดำเนินต่อไป ไม่ยากที่ผู้บัญชาการซิวหลัวจะได้รับชัยชนะ
ตึง!
ราวกับว่าเห็นด้วยกับความคิดของมั่นถัวหลัวและสามจอมพล ร่างทั้งสองบนลานประลองก็ปะทะกันราวกับสัตว์อสูรร้ายกาจอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มือของซิวหลัวกลับเปลี่ยนเป็นสีแดง จิตสังหารเข้มข้นแผ่ขยายออกไป จากนั้นก็เหวี่ยงฝ่ามือออกมาเจาะทะลุผ่านมิติโดยตรง ทุบลงบนหน้าอกของปีศาจเจียวราวกับสายฟ้าฟาด
“ฝ่ามือโลหิตอสุรา!”
ปัง!
แสงสีแดงเข้มระเบิดบนหน้าอกของปีศาจเจียว ส่งร่างใหญ่โตบินถลาออกไปทันที เกราะบนหน้าอกแตกเป็นเสี่ยง กระทั่งหน้าอกก็ยุบตัวลง มันส่งเสียงโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
ร่างปีศาจเจียวถลาบนลานประลองไปร้อยเมตรก่อนที่มันจะซัดมือลงบนพื้นแล้วทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมด้วยความป่าเถื่อนอัดแน่นในดวงตา
มันไม่ได้สนใจหน้าอกที่ยุบลง พุ่งตัวออกไปราวกับกระทิงเปลี่ยว แสงสีแดงเข้มห่อหุ้มบนร่างกาย คลื่นหลิงหอนลั่น ก่อร่างเป็นมังกรสีแดงเข้มเคลือบบนพื้นผิว
ตึง! ตึง!
ทั้งบริเวณสนั่นหวั่นไหวภายใต้ผลกระทบของปีศาจเจียว
ต่อให้มีภูเขามาขวางกั้น ปีศาจเจียวก็จะพุ่งชนจนแตกสลายกลายเป็นฝุ่น
ซิวหลัวมองปีศาจเจียวที่พุ่งเข้ามาด้วยพลังน่าสะพรึงกลัว สายตาก็หดลงก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก มือประสานกัน
ฮึ่ม!
คลื่นหลิงทรงพลังกวาดออกจากร่างราวกับพายุ อึดใจต่อมาลำแสงขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นรอบตัวซิวหลัว
สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่มีหัวกระทิง รัศมีสังหารไหลบ่าออกมา ราวกับเทพอสุรามหึมาเลยทีเดียว
“นั่นคือร่างเทพอสุราสวรรค์!”
มู่เฉินหดดวงตาจ้องไปเบื้องหน้า นี่คือร่างเทห์สวรรค์ที่ซิวหลัวฝึกฝน ซึ่งอยู่ในลำดับที่หกสิบเก้าของทำเนียบร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง
ฮู่!
เทพอสุรากู่ร้องไปทั่วชั้นฟ้า ก่อนที่จะเหวี่ยงกำปั้นออกไป แสงสีแดงเข้มพวยพุ่ง มิติถูกทำลาย ก่อนที่จะปะทะกับร่างปีศาจเจียวที่พุ่งเข้ามา
ฮึ่ม!
คลื่นกระแทกที่มองเห็นด้วยตาเปล่ากระจายออก ชนกับกำแพงแสงโดยรอบ ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนรุนแรง
ฟิ้ว!
ที่จุดปะทะร่างซิวหลัวถอยกลับมา ฝ่าเท้าทิ้งทางยาวไว้บนพื้น ตรงกันข้ามปีศาจเจียวบินถลาไปชนเข้ากับกำแพงกีดขวางทำเอาร่างสั่นสะเทือน ก่อนที่ร่างปีศาจเจียวจะแตกสลายเหลือเพียงริ้วแสง
ปีศาจเจียวกลืนฟ้าแพ้แล้ว!
เหล่าผู้บัญชาการที่ยืนอยู่นอกลานประลองเมื่อเห็นซิวหลัวได้รับชัยชนะก็รู้สึกโล่งใจมาก
คลื่นหลิงที่กระเพื่อมไหวอยู่รอบตัวซิวหลัวก็กลับเข้าไปในร่างก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้น จากนั้นเขาเห็นริ้วแสงของปีศาจเจียวรวมตัวกันแล้วพุ่งเข้าใส่ร่างเขา
สถานการณ์เปลี่ยนแปลงกะทันหันทำให้ซิวหลัวอึ้งไปขณะที่กำลังจะต่อต้าน เสียงของมั่นถัวหลัวก็ดังก้อง “นั่นเป็นแก่นคลื่นหลิงของปีศาจเจียว เป็นยาบำรุงชั้นดีสำหรับเจ้าถ้าดูดซับเอาไว้”
เมื่อได้ยินเสียงคำพูดของมั่นถัวหลัว ซิวหลัวก็ฉายความยินดีบนใบหน้าก่อนที่จะเร้าเคล็ดวิชาการเพาะบ่มพลังดูดซับแก่นคลื่นหลิงเข้าสู่ร่างกาย
ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงก่อนที่ซิวหลัวจะลืมตาขึ้นช้าๆ ทันใดนั้นประกายแสงก็พวยพุ่งในดวงตา คลื่นหลิงรอบตัวแข็งแกร่งขึ้นอีกหลายส่วน เห็นได้ชัดว่าซิวหลัวมีพัฒนาการอย่างมากหลังจากที่ได้ดูดซับแก่นคลื่นหลิงที่ถูกทิ้งไว้โดยปีศาจเจียว
เมื่อคนอื่นได้เห็นประโยชน์ที่ซิวหลัวได้รับ ดวงตาก็ขึ้นริ้วแดงก่ำ เพราะเมื่อถึงขุมพลังอย่างซิวหลัวต้องใช้เวลาในการฝึกฝนยาวนานและขมขื่นหากต้องการพัฒนาขึ้นไปอีก แต่แก่นคลื่นพลังของปีศาจเจียวสามารถช่วยเขาได้ประหยัดเวลาไปมาก
หลังจากที่ดูดซับแก่นคลื่นหลิงไว้แล้ว ก่อนที่ซิวหลัวจะทันได้อ้าปาก แรงต้านก็ปรากฏขึ้นผลักเขากระเด็นออกจากลานประลองทันที
ในเวลาเดียวกันก็มีเสียงดังมาจากประตูทองคำเขียว เมื่อทุกคนเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นใบหน้าสัตว์อสูรหนึ่งในสิบกำลังละลาย
นั่นคือใบหน้าของปีศาจเจียวกลืนฟ้าที่พ่ายแพ้ซิวหลัวเมื่อครู่
“ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่เอาชนะมารอสูรได้ตัวหนึ่งจะทำให้ผนึกหายไปนะ” เทียนจิ้วกล่าวขณะที่มองภาพนี้
“แต่ถ้าพวกมารอสูรทั้งหมดมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับปีศาจเจียว… ข้ากลัวว่าโอกาสที่พวกเราจะชนะไม่สูงนัก” หลิงถงเอ่ยขึ้น
ในบรรดาผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์มีเพียงซิวหลัวเท่านั้นที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ส่วนคนอื่นๆ ยังไม่ถึงระดับนี้ ดังนั้นโอกาสชนะมีไม่สูงหากต้องต่อสู้
“ปีศาจเจียวมีความโดดเด่นแม้จะอยู่ในหมู่มารอสูรทั้งสิบด้วยกัน ความสามารถในการต่อสู้ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ดังนั้นเราไม่ต้องกังวลว่าทุกตัวจะทรงพลังเหมือนมัน” มั่นถัวหลัวส่ายหัวเบาๆ ขณะที่พูดต่อ “นอกจากนี้เราไม่ได้ต้องการชัยชนะสมบูรณ์แบบ เราต้องการให้สี่ผนึกละลายจากนั้นข้าก็จะสามารถทำลายได้แล้ว”
นางมองไปยังเหล่าผู้บัญชาการที่เหลือพูดต่อว่า “ดังนั้นเราต้องชนะการประลองสี่รอบ ถึงจะสามารถทำลายประตูทองคำเขียวได้”
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจ ชนะสี่รอบจากสิบ พวกเขามีโอกาสพอสมควร
“รอบที่สอง ใครไป?”
เมื่อได้ยินพวกเขาก็แลกเปลี่ยนสายตากัน ก่อนที่เลี่ยซันจะเดินออกมาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “รอบที่สองข้าเอง!”
ถึงแม้ว่าเลี่ยซันจะด้อยกว่าซิวหลัวไปบ้าง แต่ก็มีขุมพลังอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุดแล้ว ดังนั้นเขาจึงมีคุณสมบัติออกไปประลอง
เมื่อไม่มีคำคัดค้าน เลี่ยซันก็เคลื่อนไหวว่องไวกระโจนขึ้นไปบนลานประลอง
ครืน!
พร้อมกับการเข้าไปของเลี่ยซัน ทุกคนก็เห็นรูปปั้นทองคำฟ้าอมเขียวตัวหนึ่งบนเสาสั่นไหว รัศมีร้ายกาจกระจายออกมา ร่างขนาดใหญ่ร่อนลงบนลานประลองทำเอาพื้นดินโยกคลอนเลยทีเดียว รัศมีโหดร้ายพวยพุ่งขึ้นเมื่อกระจายออกไป คลื่นเสียงมังกรก็ดังสะท้อนพร้อมกับพลังอำนาจมังกรแผ่ออกมา
เมื่อคนอื่นๆ เห็นภาพสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ดังกล่าว ใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป นั่นเป็นเพราะพวกเขาสัมผัสได้ว่าสิ่งนี้แข็งแกร่งกว่าปีศาจเจียวกลืนฟ้าเสียอีก!
“ปีศาจมังกรโลหิต หัวหน้าสิบมารอสูร…” มั่นถัวหลัวขมวดคิ้วขณะที่พูดช้าๆ
พอมู่เฉินและคนอื่นๆ ได้ยินคำพูดนั่น หัวใจก็ดิ่งลง ไม่มีใครคิดว่าเลี่ยซันจะดวงจู๋ต้องปะทะกับสัตว์อสูรที่ทรงพลังที่สุด…