หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 927 พ่ายแพ้ยับเยิน
รัศมีร้ายกาจรอบตัวอันแข็งแกร่งร่นกลับ
ในเวลาเดียวกันดวงตานั้นก็กระจ่างขึ้น ยังมองเห็นร่างมนุษย์และหัวของสัตว์อสูรเช่นเดิม ทว่าตอนนี้ไม่ใช่หัวของเจียวแต่เป็นมังกร
ว่ากันว่าตอนที่สัตว์อสูรตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่ก็มีขุมพลังเทียบเท่ากับระดับจื้อจุนขั้นเก้า แม้ว่าตอนนี้มันจะตายไปแล้ว แต่พลังที่สามารถรักษาไว้ได้ก็ยังแข็งแกร่งกว่าปีศาจเจียวกลืนฟ้าหลายส่วน
แค่ขนาดร่างของมันก็กำยำกว่าปีศาจเจียวกลืนฟ้า เพียงยืนอยู่บนเวทีเงียบๆ ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่แผ่ออกมา
บนลานประลองเลี่ยซันก็มีสีหน้าน่าเกลียดจากการปรากฏตัวของปีศาจมังกรโลหิต นั่นเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงอันตรายร้ายแรงที่มาจากคู่ต่อสู้ตรงหน้า
เขารู้ดีเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของตนเอง หากพบสัตว์อสูรที่อ่อนแอกว่านี้เขาอาจจะสู้ได้ แต่ใครจะคิดว่าสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดามารอสูรทั้งสิบ ปีศาจมังกรโลหิตจะถูกเรียกตัวออกมา…
แทบไม่ต้องสงสัยผลลัพธ์การต่อสู้ครั้งนี้เลย
เลี่ยซันรู้สึกได้ถึงความขมขื่นในใจ แต่เมื่อมาถึงจุดนี้ก็ไม่มีทางถอยแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องลุยสักตั้ง…
ฮา
พอคิดได้ดังนั้น เลี่ยซันก็สูดหายใจลึก ระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในหัวใจ แววตาฉายประกายเฉียบคม แม้จะรู้ว่าคู่ต่อสู้ของเขาแข็งแกร่ง แต่ตัวเขาก็เป็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ดังนั้นเขาต้องไม่สูญเสียกำลังใจง่ายๆ แบบนี้
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วจากร่างเลี่ยซัน พิจารณาจากคลื่นพลังบอกได้ว่าอีกก้าวเดียวเขาก็จะบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดแล้ว แต่ก้าวเดียวสั้นๆ นี้ก็ยังทำให้มีระยะค่อนข้างห่างไกลเมื่อเทียบกับซิวหลัว
ตึง!
เลี่ยซันกำหมัดแน่น ขวานสีแดงเข้มก็ปรากฏขึ้นในมือ ระลอกคลื่นหลิงแหลมคมกำจายออกมา เห็นได้ชัดว่านี่เป็นอาวุธพบสวรรค์ที่ไม่อ่อนแอเลย
เผชิญหน้ากับศัตรูที่ทรงพลังเช่นนี้ เลี่ยซันไม่กล้าปะทะหมัดต่อหมัดดุเดือดเหมือนกับซิวหลัว
วาบ!
ร่างเงาเลี่ยซันเปลี่ยนเป็นริ้วแสงพุ่งออกไป พริบตาก็ปรากฏที่เหนือร่างปีศาจมังกรโลหิต ความเย็นยะเยือกพุ่งพรวดออกมาจากดวงตาขณะที่เหวี่ยงขวานลงไป
“คัมภีร์เทพเสี่ยเทียน กระบวนท่าเฉือนสวรรค์!”
เสียงคำรามอัดแน่นไปด้วยไอสังหารเข้มข้น ขวานแสงขนาดใหญ่หลายร้อยจั้งส่งเสียงหวีดหวิวครอบงำขณะซัดลงมา มิติถึงกับแตกร้าวในเส้นทางที่แสงผ่าน
เลี่ยซันรู้ชัดว่าปีศาจมังกรทรงพลังเพียงใด ดังนั้นเขาจึงไม่มีความคิดหยั่งเชิง เขาเลือกใช้วิชาที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาตั้งแต่เริ่ม
ครืน!
ขวานแสงซัดออกไปอย่างรวดเร็ว พริบตาก็ครอบร่างปีศาจมังกรเลือดหนาแน่น กระบวนท่าดูราวกับว่าสามารถแยกฟ้าดินออกจากกัน
ยามนี้ดวงตาทุกคู่หรี่ลง
เมื่อฝุ่นที่ฟุ้งกระจายสงบลง ทุกคนก็จับจ้องไปยังจุดที่ปีศาจมังกรยืนอยู่ ทว่าดวงตาทุกคู่กลับเกร็งแน่น ส่วนเลี่ยซันก็มีใบหน้ามืดครึ้มลงหลายส่วน
นั่นเพราะเบื้องหน้าปีศาจมังกรยังคงยืนนิ่งสองมือไขว้กันปกป้องส่วนหัวเอาไว้ เห็นได้ชัดว่ามันใช้ท่อนแขนต้านทานการโจมตีที่ดุร้ายจากเลี่ยซันเอาไว้ได้
แต่แม้จะรับการโจมตีที่รุนแรงเช่นนี้ ก็มีเพียงบาดแผลลึกที่ท่อนแขนของปีศาจมังกรเท่านั้น นอกจากนี้บาดแผลยังมีแสงเลือดไหลเวียนและฟื้นตัวด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง
ความสามารถในการฟื้นฟูของปีศาจมังกรน่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง
นอกลานประลองเหล่าผู้บัญชาการยิ้มขมขื่นขณะส่ายหัว ปีศาจมังกรโลหิตแข็งแกร่งเกินไปสำหรับคู่ต่อสู้ ถ้าตอนนี้เป็นซิวหลัวก็คงพอฟัดพอเหวี่ยง แต่สำหรับเลี่ยซันยังขาดพลังไปอีกส่วนหนึ่ง
“ไอ้เวรเอ้ย!”
เลี่ยซันมีสีหน้ามืดครึ้มขณะสบถพลางขบฟันแน่น ประกายแสงเหี้ยมเกรียมพวยพุ่งในดวงตา มือยกขวานขึ้นคลื่นหลิงในร่างกายพลุ่งพล่านรุนแรง
วันนี้เขาจะดูว่าสัตว์อสูรตัวนี้ทรงพลังเพียงใด!
“เลี่ยซันกลับมาเถอะ รอบนี้เราขอยอมแพ้” ทว่าขณะที่เลี่ยซันตั้งใจจะสู้ตาย เสียงของมั่นถัวหลัวก็ดังก้องอยู่ที่ด้านนอกลานประลอง
เมื่อได้ยินเสียงของมั่นถัวหลัว เลี่ยซันก็อึ้งไปพลางขบฟันอย่างไม่เต็มใจ เขาคลายมือที่จับด้ามขวานไว้แน่น แต่สุดท้ายก็ลดอารมณ์ลงหันหลังทะยานออกมาจากลานประลองด้วยใบหน้ามืดครึ้ม
เขารู้ว่าถึงจะทุ่มสุดพลัง โอกาสที่จะชนะปีศาจมังกรก็ไม่สูงนัก มากจนถ้าทุ่มเกินตัวอาจทำให้ได้รับบาดเจ็บหนักได้
พร้อมกับที่เลี่ยซันทะยานกลับมา ร่างปีศาจมังกรโลหิตก็เปล่งแสงก่อนที่จะลอยขึ้นไปบนท้องฟ้ากลับไปที่เสาเปลี่ยนเป็นรูปปั้นอีกครั้ง
เลี่ยซันมีความรู้สึกผิดเขียนบนใบหน้าขณะมองไปที่มั่นถัวหลัว “ข้าคนนี้ไร้ความสามารถ…”
มั่นถัวหลัวโบกมือ ห้ามปรามไม่ให้อีกฝ่ายพูดตำหนิตัวเอง “เรื่องนี้โทษเจ้าไม่ได้ หากขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนผ่านไปได้โดยง่าย ก็ดูถูกจอมพลสี่เกินไปแล้ว”
“เอาน่า เราเพิ่งแพ้แค่รอบเดียวเท่านั้นเองนะ” เทียนจิ้วยิ้ม “ตราบใดที่สามารถคว้าชัยชนะได้อีกสามรอบ ท่านประมุขก็สามารถทำลายค่ายกลได้แล้ว”
“แม้จะแพ้รอบนี้ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องเลวร้าย อย่างน้อยปีศาจมังกรโลหิตก็จะไม่ออกมาอีกแล้ว” มั่นถัวหลัวพยักหน้า
จากกฎที่นี่ไม่ว่าจะเป็นผู้ท้าชิงหรือผู้ถูกท้าทายก็มีสิทธิ์ขึ้นประลองได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น โดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ที่ได้ ดังนั้นปีศาจมังกรโลหิตจะไม่ปรากฏตัวอีกต่อไป
เมื่อเหล่าผู้บัญชาการได้ยินคำเหล่านั้น ก็รู้สึกโล่งใจไปบ้าง เพราะเมื่อซิวหลัวไม่สามารถขึ้นไปได้ ก็ไม่มีใครในหมู่พวกเขาที่สามารถเผชิญหน้ากับปีศาจมังกรโลหิตได้
มู่เฉินถอนหายใจในใจเช่นกัน ถ้าเขาได้รับแรงเสริมจากกองทัพก็อาจจะสามารถใช้รัศมีจั้นยี่เพื่อเผชิญหน้ากับปีศาจมังกรโลหิต แต่น่าเสียดายในสถานที่นี้เขาต้องพึ่งพาพลังของตนเองเท่านั้น
“เหลืออีกแปดรอบ…ใครจะขึ้นเป็นคนต่อไป?” มั่นถัวหลัวมองผู้บัญชาการที่เหลือขณะที่พูดช้าๆ
ผู้บัญชาการที่เหลือแลกเปลี่ยนสายตากัน สักพักเสี่ยยิงก็ย่างเท้าออกมา พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ข้าขอท้ารอบที่สามนี้เองขอรับ”
แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าการประลองทั้งแปดรอบไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ในฐานะจอมยุทธ์ชั้นสูงของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ พวกเขาก็ถอยกลับไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ต้องเดินหน้าสู้ตาย
ไม่งั้นหากพวกเขาไม่สามารถเข้าไปในส่วนลึกของขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนเพื่อรับเอาของเหลวหลิงเสินจากจอมพลสี่และปล่อยให้กองทัพอื่นยึดไป นี่จะเป็นหายนะล้างบางอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของพวกเขาอย่างแท้จริง
ฟิ้ว!
เสี่ยยิงกระทืบเท้าส่งแรงพุ่งขึ้นไปบนลานประลองภายใต้สายตาของทุกคน
ครืน!
พร้อมกับเสี่ยยิงลงประลอง ตำหนักก็สั่นสะเทือนขณะที่รูปปั้นรูปหนึ่งมีชีวิตขึ้นมา ร่างนั่นร่อนลงบนลานประลองด้วยรัศมีน่าสะพรึงกลัว
“หนึ่งในสิบมารอสูร…หมีมังกรฟ้าที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหก พลังมากจนสามารถถอนภูเขา…” มั่นถัวหลัวมองร่างตรงหน้าเสี่ยยิงก่อนที่จะพูดเบาๆ
“ไม่รู้ว่าเสี่ยยิงมีโอกาสชนะเท่าไร…” เทียนจิ้วกล่าวพลางขมวดคิ้ว
มั่นถัวหลัวหลุบตาลงขณะถอนหายใจในใจ แม้ว่าพลังของหมีมังกรฟ้าจะอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหก แต่เสี่ยยิงก็เพิ่งจะอยู่ในระยะเริ่มต้นของขั้นหกเท่านั้น ดังนั้นนางไม่คิดมองโลกในแง่ดีเกินไปเกี่ยวกับการต่อสู้รอบนี้
แล้วก็เป็นตามที่มั่นถัวหลัวคาด การต่อสู้บนลานประลองรุนแรงตั้งแต่เริ่มต้น ทั้งสองทั้งรุกทั้งรับ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเสี่ยยิ่งก็เริ่มเผยจุดอ่อน
ดังนั้นเมื่อเสี่ยยิงเผยช่องโหว่ ในการแลกเปลี่ยนกระบวนท่าครั้งสุดท้ายเขาก็กระเด็นออกนอกลานประลองโดยฝีมือของหมีมังกรฟ้า
รอบสามเสี่ยยิงแพ้ไป!
หลังจากความพ่ายแพ้ของเสี่ยยิง หัวใจของเหล่าผู้บัญชาการก็เริ่มเดือดดาลขึ้น ความพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่องกระตุ้นความภาคภูมิใจในหัวใจของพวกเขา
แต่ถึงจะโกรธพวกเขาก็ต้องยอมรับว่าความแข็งแกร่งของมารอสูรทั้งสิบแห่งวังสวรรค์บรรพกาลอยู่ในระดับที่สูงกว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์
ซึ่งจุดนี้สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนในรอบถัดๆ มา
รอบสี่
หลิงเจี้ยนปะทะกับอสรพิษสามหัว พ่ายแพ้ไป!
รอบห้า
ปิงเหอปะทะกับสิงคาลวิญญาณก็พ่ายแพ้ไปอีก!
การประลองสี่รอบนี้แพ้เรียบ
นอกจากรอบแรกของซิวหลัวที่จบลงด้วยชัยชนะ ที่เหลือเรียกว่ายับเยิน!
ผู้บัญชาการแต่ละคนล้วนมีท่าทางไม่น่าดู การพ่ายแพ้ติดต่อกันสี่รอบ ทำเอาใบหน้าเห่อแดงไปหมด
มั่นถัวหลัวถอนหายใจแผ่วกับภาพนี้ แต่นางไม่ได้ตำหนิอะไร “ไม่จำเป็นต้องกังวลเกินไป ถ้าสุดท้ายเราแพ้ทั้งหมด ข้าก็จะพยายามทำลายค่ายกล…”
เมื่อได้ยินว่ามั่นถัวหลัวสามารถทำลายค่ายกลเอง เหล่าผู้บัญชาการกลับไม่ได้มีความยินดีใดๆ บนใบหน้าเลย เนื่องจากพวกเขารู้ว่านี่จะสร้างความเหนื่อยล้าใหญ่หลวงให้กับมั่นถัวหลัวในการทำลายค่ายกล หากพวกเขาต้องปะทะกับขั้วอำนาจสูงสุดอื่นในเวลานั้นละก็ พวกเขาไม่สามารถรับประกันได้ว่าศัตรูจะไม่ใช้โอกาสนี้ตลบหลัง ในเวลานั้นก็เทียบเท่ากับพวกเขาถูกล้างบางอย่างสมบูรณ์
ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ พวกเขาต้องช่วยมั่นถัวหลัวในการรักษาสภาพพร้อมรบไว้ ก่อนที่จะพบของเหลวหลิงเสิน
มู่เฉินจ้องมองรูปปั้นทองคำฟ้าอมเขียวบนเสาหินขนาดใหญ่พร้อมกับกำหมัดเบาๆ แต่ขณะที่เขาตั้งใจจะก้าวออกไป จิ่วโยวที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับย่างเท้าออกไปก่อน
“ท่านประมุขข้าจะลงประลองรอบที่หกเอง” จิ่วโยวมองไปที่มั่นถัวหลัวพลางเอ่ยขึ้น
มั่นถัวหลัวมองไปที่จิ่วโยวก็ครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนที่จะพยักหน้าเบา “หากเจ้าไม่ไหวก็ถอยกลับมา ข้าจะลงมือทำลายค่ายกลเอง”
จิ่วโยวพยักหน้าแล้วแลกเปลี่ยนสายตากับมู่เฉิน ทว่าก่อนที่เขาจะทันเปิดปากพูด ร่างนางก็กลายเป็นลำแสงพลิ้วตัวบนลานประลองแล้ว!
รอบหก จิ่วโยวขึ้นปะทะ!