คลื่นซัดกระหน่ำในมหาสมุทรกว้างใหญ่
ทว่ากลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากมหาสมุทรเลย มีเพียงคลื่นที่ก่อตัวทำให้เกิดการบิดเบี้ยวในมิติ
มั่นถัวหลัวยืนอยู่ด้านหน้า ม่านตาสีทองคำมองไปยังมหาสมุทรไม่มีที่สิ้นสุด จากนั้นนางก็โบกมือพร้อมกับร่างพุ่งออกไป
“ไป ข้ารู้สึกได้ว่าเราอยู่ไม่ไกลจากเป้าหมายสุดท้ายแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดของมั่นถัวหลัว ดวงตาพวกมู่เฉินก็หดลง ก่อนที่จะรีบติดตามไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่กล้าที่จะชักช้า
ทั้งกลุ่มบินข้ามมหาสมุทรอย่างเร็วรี่ แต่ยิ่งเข้าใกล้ส่วนลึก พวกมู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่กระจายระหว่างฟ้าดินทวีความรุนแรงขึ้น
สุดท้ายนอกเหนือจากมั่นถัวหลัวแล้ว แม้แต่เหล่าจอมพลก็เริ่มเคร่งเครียดขณะชะลอความเร็วลง
พอมั่นถัวหลัวรู้สึกว่าทุกคนชะลอความเร็วลง นางก็สะบัดนิ้ว คลื่นหลิงไม่มีที่สิ้นสุดพุ่งออกมาก่อร่างเป็นเรือ ปรากฏอยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขา
เรือลำนี้สร้างจากคลื่นหลิง แต่กลับเปล่งประกายอัญมณีระยิบระยับ เมื่อพวกมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็อดเดาะลิ้นไม่ได้ การสร้างผลึกคลื่นหลิงอย่างง่ายดายเป็นเครื่องหมายของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนอย่างแท้จริง
แม้เรือลำเล็กจะดูไม่มีอะไรพิเศษ แต่ความทนทานไม่ด้อยไปกว่าอาวุธพบสวรรค์ขั้นกลางเลย มิหนำซ้ำสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเรือลำนี้ได้ปิดกั้นแรงกดดันของมิติเอาไว้ด้วย
ถึงสถานแห่งนี้จะถูกสร้างขึ้นโดยจุดจื้อจุนไห่ของจอมพลสี่ แต่มั่นถัวหลัวก็เป็นจอมยุทธ์ในระดับนี้เหมือนกัน ถึงแม้ว่านางจะด้อยไปกว่าจอมพลสี่อยู่บ้าง แต่แค่การปิดกั้นแรงกดดัน ชัดว่าไม่ยากสำหรับนาง
ด้วยความช่วยเหลือของมั่นถัวหลัวความเร็วในการเดินทางก็เพิ่มขึ้น เรือบินอยู่เกือบหนึ่งชั่วโมง ก่อนที่มั่นถัวหลัวจะเริ่มชะลอตัวลงด้วยสีหน้าเคร่งเครียดลงหลายส่วน
คนอื่นๆ ก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองเข้าไปในระยะไกล มีวัตถุขนาดใหญ่ปรากฏเหนือมหาสมุทรนี้
มันเหมือนเป็นเกาะหินที่ลอยอยู่เหนือมหาสมุทรกำจายรัศมีโดดเดี่ยวออกมา เบื้องล่างเกาะมีเสาน้ำขนาดหมื่นจั้งตกลงสู่มหาสมุทรอย่างไม่มีสิ้นสุด
ฉากยิ่งใหญ่นี้ดูราวกับว่ามหาสมุทรก่อตัวขึ้นโดยมวลน้ำของเกาะหินโบราณลึกลับที่ไหลลงมา
เกาะหินลอยอยู่กลางอากาศขณะปลดปล่อยรัศมีที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้คลุมเครือออกมา ทำให้มู่เฉินและคนอื่นๆ รู้สึกว่าแม้ฟ้าดินจะถล่มทลาย แต่เกาะหินก็ยังลอยอยู่นิ่งได้
“เกาะหินแห่งนี้น่าจะเกิดจากจอมพลสี่ที่ล่วงลับ” ม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวเปล่งประกาย ในที่สุดสิ่งที่นางตามหามาตลอดสงครามล่าในครั้งนี้ก็อยู่ตรงหน้านางแล้ว
ของเหลวหลิงเสินของจอมพลสี่จะต้องอยู่บนเกาะหินแห่งนี้แน่!
เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินคำพูดของนาง หัวใจของพวกเขาก็โลดขึ้น พวกเขาเดินทัพทั่วสงครามล่า ในที่สุดก็พบเป้าหมายแล้วรึ?
“ท่านประมุข จะลงมือเลยไหม?” ดวงตาของหลิงถงวูบไหว ยามนี้แม้แต่คนที่สงบนิ่งเป็นนิจอย่างเขาก็อดพูดอย่างตื่นเต้นไม่ได้
เมื่อได้ยินคำพูดนั่นมั่นถัวหลัวก็ยิ้มก่อนที่จะม่านตาสีทองคำจะเลื่อนขึ้น นางมองไปที่ทิศทางอื่นของมหาสมุทรนี้ “สถานที่ที่ถูกทิ้งไว้โดยจอมพลสี่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแตะต้อง นอกจากนี้…ทำตัวเด่นที่นี่ก็ไม่ดีซะเท่าไร”
พอได้ยินประโยคดังกล่าว หัวใจของมู่เฉินก็สั่นไหว เขามองไปทิศทางอื่น กองทัพสูงสุดอื่นๆ มาถึงแล้วรึ?
“ฮ่าๆ ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์น่าเกรงขามอย่างแท้จริง มาถึงที่นี่ก่อนพวกเราซะอีก นับถือๆ”
ขณะที่ความคิดแล่นผ่านในหัวใจของมู่เฉิน เสียงหัวเราะดังกระหึ่มก็ส่งผ่านไปทั่วมิติ สั่นคลอนราวกับฟ้าคำรน กระทั่งมหาสมุทรด้านล่างยังเกิดลูกคลื่นจากเสียงหัวเราะนี้
มั่นถัวหลัวมองไปก็เห็นการกระเพื่อมของมิติก่อนจะเกิดการฉีกขาด คนจำนวนมากกรูกันออกมา
เมื่อคนเหล่านี้ปรากฏตัว คลื่นหลิงในมิติก็เริ่มพลุ่งพล่านขึ้นมา
“พวกหมู่ตึกเทวะ!”
ครั้นเห็นเงาของฟังยี่ จินไถหลิวหลีและคนอื่นๆ ก็ชัดเจนว่ากองทัพที่เพิ่งมาถึงคือหมู่ตึกเทวะ
มู่เฉินกวาดมองไปที่เหล่าจอมยุทธ์ของหมู่ตึกเทวะ ก็อดไม่ได้ที่จะเลื่อนสายตาไปยังร่างที่ยืนอยู่เบื้องหน้าสุด เขาเป็นชาย สวมเสื้อคลุมสีขาวยืนสองมือไพล่หลัง หน้าตาธรรมดา มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่เป็นสีแดงราวกับไฟกำลังลุกไหม้ ไม่มีคลื่นหลิงทรงพลังกระเพื่อมรอบตัว ช่างดูธรรมดามากเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ
ทว่าความธรรมดาดังกล่าวกลับทำให้หัวใจของมู่เฉินสั่นสะเทือนรุนแรง กระทั่งมั่นถัวหลัวที่ยืนเบื้องหน้ายังต้องหรี่ม่านตาสีทองคำลง
นี่เป็นครั้งแรกที่มู่เฉินได้เห็นท่าทางจริงจังขนาดนี้ของนางหลังจากที่เข้าสู่สมรภูมิหยุ่นลั้ว
เพราะชายชุดขาวคนนี้ก็คือประมุขแห่งหมู่ตึกเทวะ!
เขาเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นจอมยุทธ์ที่มีโอกาสบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายมากที่สุด!
ในบรรดาประมุขขั้วอำนาจสูงสุดในภูมิภาคทางเหนือ ชื่อเสียงประมุขคนนี้โด่งดังยิ่งกว่ามั่นถัวหลัวเสียอีก! แม้แต่นางก็ไม่กล้าที่จะดูถูกคนแบบนี้
เบื้องหลังประมุขหมู่ตึกเทวะ ยังมีร่างที่กำจายคลื่นหลิงทรงพลังอีกสี่ร่าง คลื่นหลิงผันผวนที่กำจายอยู่รอบตัวแต่ละคนไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเทียนจิ้วเลย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคือหัตถ์ทั้งสี่แห่งหมู่ตึกเทวะ ซึ่งเทียบได้กับจอมพลทั้งสามของอาณาเขตกงเวทสวรรค์
ด้านหลังหัตถ์ทั้งสี่ ก็เป็นเหล่าเจ้าภูเขา ฟังยี่และคนอื่นๆ ซึ่งเป็นกระบวนทัพที่หรูหรามากเลยทีเดียว
ทว่าในหมู่พวกเขา บางคนมีสีหน้าซีดขาว ระลอกคลื่นหลิงวุ่นวาย เห็นได้ชัดว่าถูกขัดขวางระหว่างทางมาที่นี่และจ่ายราคาบางส่วนไป
ไม่ใช่พวกมู่เฉินเท่านั้นที่พบกับอุปสรรคระหว่างทางมาที่นี่
“ดูเหมือนว่าหมู่ตึกเทวะก็พบกับปัญหาใหญ่เลยทีเดียว” ขณะที่มู่เฉินสังเกตเห็นคลื่นหลิงวุ่นวายรอบตัวคนเหล่านั้น มั่นถัวหลัวก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้มบาง
“ฮ่าๆ พวกเขาอ่อนปวกเปียกไปหน่อยจนมีปัญหาในการจัดการเรื่องเล็กเรื่องน้อย” ประมุขหมู่ตึกเทวะยิ้มสบายๆ ก่อนที่จะเลื่อนสายตาไปยังเกาะหินโบราณ “แต่ตราบใดที่ข้าสามารถได้รับของเหลวหลิงเสินที่ถูกทิ้งไว้โดยจอมพลสี่ การสูญเสียทั้งหมดก็คุ้มค่า”
ขณะที่พูดเขาก็มองไปที่มั่นถัวหลัว น้ำเสียงจริงใจเปล่งออกมาว่า “ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เจ้ากับข้ารู้จักกันมาหลายปี หากเจ้าช่วยให้ข้าได้รับของเหลวหลิงเสิน ภูมิภาคทางเหนือจะเป็นสวรรค์ของเราสองคนตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”
เมื่อมั่นถัวหลัวได้ยินคำพูดนั่นก็หัวเราะเสียงพลิ้วก่อนที่จะปรายตามอง “ขอบคุณที่คิดถึงข้า แต่ข้าว่าเราต่างใช้ความสามารถในการคว้าของเหลวหลิงเสินเถอะ”
“งั้นก็น่าเสียดายเหลือเกิน” ประมุขหมู่ตึกเทวะถอนหายใจขณะพูดต่อ “ดูท่าจะมีขั้วอำนาจสูงสุดถูกลบออกจากภูมิภาคทางเหนือหลังจากสงครามล่าครั้งนี้สิ้นสุดลงเสียแล้ว”
เมื่อพูดจบ สีหน้าพวกมู่เฉินก็เปลี่ยนไป แสงเย็นเยียบวาบผ่านม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัว “อย่าพึ่งดีใจเร็วเกินไป ไม่งั้นเจ้าจะกลายเป็นตัวตลกเมื่อล้มเหลว”
ประมุขหมู่ตึกเทวะยิ้มและเงียบลง ท่าทางของเขาทำให้จิตใจของพวกมู่เฉินจมดิ่ง เวลานี้พวกเขาถึงได้ตระหนักถึงความสำคัญอย่างยิ่งของของเหลวหลิงเสิน
หากประมุขหมู่ตึกเทวะได้รับไป เขาก็จะทำการบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย เมื่อเวลานั้นจะไม่มีใครในภูมิภาคทางเหนือต่อกรกับเขาได้
ในเวลานั้นแม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ก็ต้องเลือกระหว่างยอมก้มหัวให้หรือไม่ก็พินาศไป
ในสายตาของจอมยุทธ์เหล่านี้ ขั้วอำนาจสูงสุดสามารถทำลายได้อย่างง่ายดายด้วยการพลิกมือ
พร้อมกับบทสนทนาที่แตกสลายของมั่นถัวหลัวและประมุขหมู่ตึกเทวะ กองทัพทั้งสองที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก มีเพียงการสาดสายตาเย็นชาเข้าใส่กันไม่ยั้งเป็นระยะ
รัศมีตึงเครียดกระจายไปทั่วชั้นบรรยากาศ ทำให้ผู้คนรู้สึกหายใจไม่ออก…
ทว่าการเผชิญหน้าครั้งนี้ใช้เวลาไม่นาน เนื่องจากมีเสียงลมกรูเข้ามาจากระยะไกล ยามนี้มีร่างแสงมากมายทะยานเข้ามาเช่นกัน
ไม่กี่อึดใจร่างแสงหลายร่างก็ปรากฏตัวขึ้นรอบเกาะหินโบราณ
“ไม่คิดว่าต่อให้เร่งสุดกำลังแล้วจวนยมโลกก็ยังอยู่หลังพวกเจ้า” เสียงหัวเราะระเบิดขึ้นพร้อมกับไอเย็นเยือกไม่มีที่สิ้นสุดดังก้อง เมื่อเสียงกระจายออกไปทำให้กระทั่งอุณหภูมิทั่วบริเวณก็ลดฮวบลง
หัวใจของมู่เฉินกระตุก ก่อนที่จะมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ กลุ่มเงาดำขนาดใหญ่ส่งเสียงหวีดหวิวคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าเป็นชายวัยกลางคนสวมชุดดำ หมอกสีดำพวยพุ่งอยู่ในดวงตาทั้งสอง ที่กลางหว่างคิ้วมีเส้นสีดำราวกับมีดวงตาอีกดวงซ่อนอยู่ ทำให้เขาดูชั่วร้ายมาก
“ประมุขจวนยมโลก…”
มู่เฉินรู้ทันทีว่าชายคนนั้นก็คือประมุขจวนยมโลก—โยวมิ่ง มิหนำซ้ำเขายังเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนอีกด้วย
“อย่าลืมตำหนักสุดนภาของข้าในการล่าสมบัติครั้งนี้สิ”
อีกเสียงหนึ่งดังกึกก้อง ชายอาวุโสปรากฏตัวพร้อมกับสายตาลึกซึ้ง เขาคือหลิ่วเทียนเต้าประมุขตำหนักสุดนภา
ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นการรวมตัวของจอมยุทธ์ยอดเขาหมื่นเทพ มองเห็นผู้อาวุโสสวมชุดสีขาวปักลายดวงดาวห้อยหยกสีขาวเอาไว้ เขาก็คือประมุขของยอดเขาหมื่นเทพ—วั้นเซิ่ง
ทางทิศตะวันออก หมอกสีดำกระจายไปทั่ว ขณะที่ร่างแข็งแกร่งยืนอยู่พร้อมกับรัศมีน่ากลัวกระเพื่อมไหวรอบตัว เขาสวมชุดเกราะสีดำ ดวงตาสีม่วง เพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ทำให้แม้แต่ท้องฟ้าก็ดูมืดมนลง
เขาก็คือเยาตี้ประมุขแดนปีศาจ!
ทางใต้เสียงอสรพิษขู่ฟ่อดังสะท้อนไปทุกทิศทาง ชายสูงวัยสวมชุดสีเขียวพร้อมกับไม้เท้างูยืนอยู่บนอสรพิษใหญ่ตัวเขื่องขนาดหนึ่งพันจั้ง ขณะที่อสรพิษแลบลิ้นขู่เสียงดัง รัศมีพิษก็ราวกับก่อตัวเป็นเมฆพิษ
เขาคือวั้นตู๋เสอประมุขตำหนักเจ้าอสรพิษ
ร่างเหล่านี้ก็คือยอดยุทธ์แห่งภูมิภาคทางเหนือ โดยปกติไม่ได้เจอกันได้ง่ายๆ แต่เวลานี้ทั้งเจ็ดคนมารวมตัวกันที่นี่!
การรวมตัวนี้ ทำให้มู่เฉินและคนอื่นๆ รู้สึกว่าหนังหัวชาวาบ
ณ แห่งนี้น่าจะรวมยอดยุทธ์ทั้งหมดของภูมิภาคทางเหนือมาแล้ว
ต่อจากนี้ศึกชิงของเหลวหลิงเสินไม่มีใครรู้ว่าจะน่ากลัวเพียงไร…