ห้าวันผันผ่านในพริบตา
เมื่อถึงวันที่ห้ามาถึงคนจากเผ่าวิหคโลกันตร์ก็มาตามสัญญา ปรากฏตัวขึ้นที่เขตต้าหลัวเทียน
เขตต้าหลัวเทียน ตำหนักรับรอง
เผ่าวิหคโลกันตร์มีประวัติศาสตร์ยาวนานในหมู่สัตว์อสูรของมหาพันภพ ดังนั้นเมื่อพวกเขามาที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ แม้แต่มั่นถัวหลัวก็ต้องออกมารับหน้า นางออกจากสมาธิเพื่อต้อนรับพวกเขาด้วยตนเอง
ที่ด้านหน้าตำหนัก มั่นถัวหลัวยืนมือไพล่หลัง พร้อมด้วยจอมพลทั้งสาม มู่เฉินและจิ่วโยว ทว่าตอนนี้จิ่วโยวมีท่าทีเหม่อลอยมาก มู่เฉินที่อยู่ด้านข้างรู้ว่านางยังคงกังวลอยู่ในใจ แต่ตอนนี้พูดอะไรไปก็ไม่มีความหมาย รอให้สมาชิกเผ่าวิหคโลกันตร์มาถึงก่อน ค่อยดูทัศนคติของอีกฝ่ายต่อเรื่องนี้เถอะ
“วางใจเถอะ ถึงแม้เผ่าวิหคโลกันตร์จะทรงพลัง แต่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน พวกเขาอย่าคิดทำอำเภอใจภายใต้การเฝ้าดูของข้า” มั่นถัวหลัวเหลือบมองไปที่มู่เฉินและจิ่วโยวก่อนจะพูด
ด้วยสายตาเฉียบคม นางรู้ว่าจิ่วโยวเป็นกังวลเรื่องอะไร จิ่วโยวกับมู่เฉินมีพันธะโลหิตเชื่อมโยงกัน ซึ่งเป็นสัญญาที่ผูกมัดชีวิตของพวกเขาไว้ด้วยกัน หากฝ่ายหนึ่งตายอีกฝ่ายก็จะสิ้นใจตามไปด้วย
พูดทั่วไปแล้วพันธะโลหิตไม่ใช่เรื่องหายากในหมู่สัตว์อสูร เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่จะเป็นการสร้างพันธะกับสัตว์อสูรที่ทรงพลังและเท่าเทียมกัน ด้วยวิธีนี้ทั้งคู่จะได้รับประโยชน์ซึ่งกันและกัน แต่ชัดว่ามู่เฉินไม่ใช่สัตว์อสูรที่มีสายเลือดทรงพลัง
นอกจากนี้สำหรับสัตว์อสูรที่มีสายเลือดพิเศษพวกเขาจะดูถูกมนุษย์ นั่นเป็นเพราะภายใต้สถานการณ์ทั่วไปสัตว์อสูรในระดับเดียวกับมนุษย์จะแข็งแกร่งกว่า เนื่องจากพวกเขามีพรสวรรค์และพลังกายที่มีมาแต่กำเนิดซึ่งแข็งแรงกว่ามนุษย์
ในมุมมองของพวกเขามนุษย์ส่วนใหญ่ปวกเปียก ซ้ำยังตายง่ายก่อนที่จะกลายเป็นยอดยุทธ์อย่างแท้จริง ดังนั้นพวกเขาจึงปฏิเสธที่จะสร้างพันธะโลหิตกับมนุษย์ เพราะพวกเขามองว่านอกจากเป็นการปนเปื้อนความบริสุทธิ์ของสายเลือดแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ดังนั้นในหมู่สัตว์อสูรหัวอนุรักษ์นิยม หากมีใครก่อพันธะโลหิตกับมนุษย์ จะถูกมองว่าเป็นกบฏและทำโทษโดยดึงสายเลือดออกจนตาย
ด้วยเหตุนี้จิ่วโยวจึงกังวลใจตลอด นางไม่กังวลว่าเผ่าวิหคโลกันตร์จะทำอะไรกับตัวนาง เนื่องจากบิดาของนางเป็นประมุขคนปัจจุบัน บวกกับพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมของนาง สถานะที่มีก็ได้รับการเคารพนับถือมาก ไม่มีใครในเผ่ากล้าทำอะไรนาง แต่นางกังวลว่าหลังจากเผ่ารู้เรื่องนี้แล้ว พวกเขาจะทำบางสิ่งกับมู่เฉินต่างหาก…
แต่เมื่อได้ยินคำรับประกันของมั่นถัวหลัว นางก็รู้สึกโล่งใจลงบ้าง ก่อนจะพยักหน้าให้อีกฝ่ายด้วยความรู้สึกขอบคุณ ทว่าขณะที่กำลังจะพูดบางอย่าง ดวงตาก็ต้องหดเกร็ง นางเงยหน้าขึ้นก็เห็นสายฟ้าพาดผ่านจากขอบฟ้าอันไกลโพ้น ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจก็เห็นสายฟ้ามาถึงตัวแล้ว มองเห็นนกที่ห่อหุ้มด้วยสายฟ้าสีม่วงพุ่งผ่านอากาศเข้ามา
นกสีม่วงตัวนั้นบินวนอยู่เหนือตำหนัก จากนั้นร่างแสงจำนวนหนึ่งก็ร่อนลงมาเบื้องหน้ากลุ่มมั่นถัวหลัว
“ฮ่าๆ ตาเฒ่าคนนี้ชื่อเทียนเช่อเป็นผู้อาวุโสจากเผ่าวิหคโลกันตร์ ขออภัยที่มารบกวนในวันนี้ท่านประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์” เมื่อร่างแสงหลายร่างปรากฏขึ้น เสียงหัวเราะมากวัยก็ดังขึ้น แรงกดดันอันน่าประหลาดใจของคลื่นหลิงแผ่ขยายออกไป ทำให้พื้นที่ทั้งหมดบีบเอาไว้
เมื่อแสงจางลงก็เห็นร่างหลายร่างปรากฏตัวเบื้องหน้าตำหนักรับรองส่วนหน้า มีผู้อาวุโสสวมเสื้อคลุมสีฟ้าอมเขียวเป็นผู้นำกลุ่ม บนเสื้อคลุมปักลายนกชนิดหนึ่งปล่อยแรงกดดันทรงพลังออกมา
แรงกดดันคลื่นหลิงที่น่าตกใจปล่อยมาจากร่างเขา
ยืนอยู่ด้านหลังเป็นคนอีกหลายคน ที่ดึงดูดความสนใจมากที่สุดก็คือร่างอ่อนเยาว์เพรียวบางที่สวมชุดสีเหมือนกัน เขามีใบหน้าหล่อเหลา คิ้วคม ริมฝีปากบางและฉายแสงคมชัดจากดวงตาที่น่าดึงดูดใจ
เมื่อจอมพลทั้งสามที่ยืนอยู่ด้านหลังมั่นถัวหลัวรู้สึกถึงแรงกดดันก็ขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าคนกลุ่มนี้ค่อนข้างทรงพลัง นี่คือจะทดสอบความสามารถของอาณาเขตกงเวทสวรรค์เรอะ? ท่าทางอาจจะต้องออกเหงื่อกันก่อนจะกระชับมิตรได้ซะล่ะมั้ง… วันนี้ท่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว
“ท่านผู้อาวุโสเทียนเช่อเผ่าวิหคโลกันตร์นี่เอง อุตส่าห์ให้เกียรติมาเป็นแขกของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ข้าในฐานะประมุขก็จะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อต้อนรับทุกคน”
ขณะที่จอมพลทั้งสามยืนหน้านิ่วขมวดคิ้ว มั่นถัวหลัวก็คลี่ยิ้มน้อยๆ แม้ว่านางจะไม่ได้เปลี่ยนอากัปกิริยาแต่เสียงที่ดังขึ้นกลับมีคลื่นผันผวนที่สงบเงียบแพร่กระจายออกไปทำให้ผู้คนสงบลงได้ มากจนกระทั่งพื้นที่ที่ถูกครอบงำไว้คืนสู่ความสงบอีกครั้ง
การกระทำของนางทำให้ดวงตาของเทียนเช่อหดลง เขาเพ่งความสนใจไปที่มั่นถัวหลัวก่อนที่สายตาจะเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “ไม่คิดว่าประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะสัมผัสขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายแล้ว คงอีกไม่ไกลเจ้าก็จะบรรลุขั้นนี้ได้อย่างสมบูรณ์ เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองอย่างแท้จริง”
พลังของเทียนเช่ออยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น ซึ่งมีสถานะสูงส่งมากในเผ่าวิหคโลกันตร์ ตามการคาดเดาในตอนแรก ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์น่าจะอยู่ในระดับเดียวกัน ดังนั้นหากต้องต่อสู้หลังจากพูดคุยกันไม่รู้เรื่อง เขาก็น่าจะได้เปรียบมากกว่าด้วยสถานะของเทพอสูร แต่สถานการณ์ตอนนี้พลังของมั่นถัวหลัวกลับเกินความคาดหมายของเขาไปไกล
ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายยิ่งใหญ่มากแม้แต่ในเผ่าวิหคโลกันตร์ ไม่คิดว่าจะได้พบกับจอมยุทธ์ทรงพลังเช่นนี้ในขั้วอำนาจระดับภูมิภาค
รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของมั่นถัวหลัวขณะที่ตอบว่า “ขอบคุณสำหรับคำชมผู้อาวุโสเทียนเช่อ”
นางรู้ดีว่าความภูมิใจในฐานะเผ่าเทพอสูรเป็นอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นจากท่าทีเมื่อครู่ก็ชัดเจนว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาอย่างเป็นมิตร หากนางไม่ได้มีพัฒนาการจากสงครามล่าละก็ เทียนเช่อคงไม่มีท่าทางสุภาพขึ้นในเวลานี้แน่
เทียนเช่อยิ้มบาง ก่อนที่จะมองร่างเพรียวบางด้วยตายิ้มหยี “จิ่วโยวน้อย ตาแก่คนนี้เดินทางมาไกลเพื่อพาเจ้ากลับบ้าน เจ้ายังจะซ่อนตัวอีกรึ?”
เมื่อจิ่วโยวเห็นเทียนเช่อจ้องมองมา นางก็ย่างเท้าก้าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้
เทียนเช่อที่เห็นจิ่วโยวก้าวออกมา ดวงตาไร้ริ้วคลื่นก็กะพริบด้วยแสงแวววาวขณะที่สำรวจทั่วร่างของอีกฝ่าย ก่อนที่จะเผยรอยยิ้มปีติบนใบหน้าในทันที “วิหคอนธโลกันตร์จริงด้วย สาวน้อย เจ้าปลุกสายเลือดนี้ได้จริงๆ… สมกับเป็นสายเลือดล้ำค่าที่สุดในเผ่าของเราในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา”
พอมู่เฉินเห็นภาพนี้ เขาก็อดถามเทียนจิ้วอย่างงุนงงไม่ได้ว่า “ยากมากสำหรับเผ่าวิหคโลกันตร์ที่จะปลุกสายเลือดวิหคอนธโลกันตร์เหรอ?”
จากคำพูดของเทียนเช่อ คนในเผ่าวิหคโลกันตร์ที่สามารถปลุกสายเลือดขึ้นมาได้ก็ไม่น่ามีน้อยนะ
“ฮ่าๆ วิหคโลกันตร์เป็นสัตว์อสูรเริ่มต้น แต่พวกเขาสามารถมีวิวัฒนาการแตกสายไปได้อีกมากมาย เช่น วิหคเพลิงกัลป์ วิหคน้ำแข็งอเวจี เป็นต้น… แต่สายของวิหคอนธโลกันตร์หายากมากเพราะคนที่สามารถพัฒนาให้กลายเป็นอนธโลกันตร์ได้ก็หมายความว่าพวกเขามีสายเลือดของวิหคอมตะอยู่ หากมีโอกาสมากพอพวกเขาอาจจะสามารถพัฒนาเป็นวิหคอมตะซึ่งก็คือเทพอสูรที่แท้จริง มิหนำซ้ำยังอยู่ในชั้นสูงสุดของทำเนียบเทพอสูรอีกด้วย” เทียนจิ้วหัวเราะเบาๆ
“จากที่ข้ารู้จิ่วโยวเป็นเพียงหนึ่งเดียวในช่วงหลายพันปีที่สามารถพัฒนาเป็นวิหคอนธโลกันตร์ได้”
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนี้ก็อดเดาะลิ้นไม่ได้ ในอดีตเขารู้แค่ว่าจิ่วโยวมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา แต่ไม่คิดเลยว่านางจะเป็นสัตว์อสูรที่หายากมากแม้แต่ในเผ่าวิหคโลกันตร์
ขณะที่มู่เฉินคุยกับเทียนจิ้วด้วยเสียงโทนต่ำ จิ่วโยวที่อยู่ข้างหน้าก็ฝืนยิ้มให้เทียนเช่อก่อนจะพูดต่อว่า “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่มารับข้า แต่ในเมื่อมาถึงแล้ว พวกเราก็เตรียมตัวกลับเลยดีกว่า”
เมื่อพูดจบ ชายหน้าตาหล่อเหล่าที่ยืนอยู่ด้านหลังเทียนเช่อก็ยิ้มบาง “องค์หญิงน้อยจิ่วโยว ยังไม่ต้องรีบกลับ ครั้งนี้ที่มาพวกเรายังมีเรื่องอื่นที่จะต้องจัดการ”
“เจ้าเป็นใคร?” จิ่วโยวพูดน้ำเสียงเย็นชา
“ข้าชื่อหลิ่วชิงเป็นผู้คุมกฎของเผ่าของเรา” อีกฝ่ายยิ้มตอบ
“หลิ่วชิง?” ดวงตาของจิ่วโยวเกร็งขึ้นเนื่องจากชื่อนี้ฟังค่อนข้างคุ้นเคย ตอนที่นางออกจากเผ่า เขาคนนี้ก็เป็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงในหมู่คนรุ่นใหม่แล้ว ไม่คิดว่าตอนนี้จะดำรงตำแหน่งผู้คุมกฎ การก้าวขึ้นมาในจุดดังกล่าวถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว
“ฮ่าๆ จิ่วโยวน้อย อย่าทำสร้างเรื่องลำบากใจให้หลิ่วชิงเลย…” เทียนเช่อยิ้ม จากนั้นดวงตาที่ขุ่นมัวก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วขณะที่พูดต่อ “เจ้ามีสายเลือดโดดเด่นที่สุดในช่วงหลายพันปี ป้ายชีวาก็ประทับอยู่ในศาลาบรรพบุรุษ เพียงแต่ช่วงก่อนนี้ พวกเราตระหนักได้ว่าป้ายชีวาของเจ้าปะปนด้วยสิ่งปนเปื้อนเล็กน้อยที่มาจากสายเลือด ดังนั้นตาแก่คนนี้จึงมาที่นี่เพื่อตรวจสอบเรื่องนี้”
ใบหน้าของจิ่วโยวซีดเซียวลงตอบว่า “ก่อนหน้าข้าได้รับบาดเจ็บหนัก ทำให้มีรอยถูกทิ้งไว้ ในอนาคตก็จะหายไปเอง”
เทียนเช่อส่ายหัวพูดอย่างไม่แยแสว่า “ตั้งแต่ข้าเห็นเจ้าเมื่อครู่ก็รู้ว่าเจ้าได้ทำพันธะโลหิตกับใครบางคน… ดังนั้นเจ้าไม่ต้องซ่อนมันจากข้า แต่วางใจเถอะ ถ้ามีใครในโลกกล้าบังคับให้เจ้าทำพันธะโลหิต เผ่าของเราจะต่อสู้ยิบตาอย่างแน่นอน!
“ดังนั้นเจ้าแค่บอกข้าว่าใครเป็นคนที่เจ้าสร้างพันธะโลหิตด้วยก็พอ!”
เมื่อพูดจนจบ น้ำเสียงก็อัดแน่นไปด้วยเจตนาฆ่า
จิ่วโยวกัดฟันกำมือแน่น แต่ไม่พูดอะไรสักคำ
เทียนเช่อมองไปที่นางก่อนจะขมวดคิ้ว “ต่อให้เจ้าไม่พูด ตาแก่คนนี้ก็รู้สึกได้ ณ ที่นี่คนที่มีกลิ่นสายเลือดของเผ่าวิหคโลกันตร์มีไม่เยอะหรอกนะ!”
พูดถึงตอนท้าย เสียงก็ดังก้องราวกับฟ้าร้องสะท้อนไปทั่วขอบฟ้า ก่อนที่สายตาแหลมคมที่สามารถฉีกท้องฟ้าออกได้จะจ้องเขม็งไปที่มู่เฉิน
“ไอ้หนุ่ม ตาแก่คนนี้พูดถูกไหม?!”