แสงศักดิ์สิทธิ์สีม่วงเข้มพุ่งออกมาจากเกสรดอก
เมื่อแสงสีม่วงยิงออกไป ท้องฟ้าที่สว่างไสวในตอนแรกก็มืดลงฉับพลัน ฉากนี้ราวกับว่าความสว่างในทั้งหมดถูกกลืนกินด้วยแสงสีม่วง
ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ จอมยุทธ์หลายคนอดไม่ได้ที่จะหน้าถอดสีกับภาพนี้ เนื่องจากพวกเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นความตายรุนแรงที่มาจากแสงสีม่วงเข้ม
พวกเขาไม่สงสัยเลยว่าหากเป้าหมายของแสงสีม่วงคือตัวพวกเขา พวกเขาคงไม่สามารถหลบมันได้แน่นอน มีเพียงความตายรออยู่ที่เบื้องหน้าเท่านั้น!
“นี่ต้องเป็นวิทยายุทธระดับเสินซู่ขั้นเต็มแน่!” จอมยุทธ์บางคนตัวสั่นเทาด้วยความเคารพและอิจฉาบนใบหน้า มู่เฉินสมกับเป็นเจ้าทำเนียบในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือ เขาสามารถครอบครองกระทั่งวิทยายุทธสมบูรณ์แบบเช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงไม่กลัว ต่อให้เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งกว่า
ทุกคนบอกได้เลยว่าการโจมตีของมู่เฉินเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกยังไม่กล้าที่จะรับโดยตรง!
เบื้องหน้าตำหนักรับรอง เมื่อเทียนเช่อเห็นท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำ ริ้วคมชัดก็วูบไหวในดวงตา เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินมาเกินความคาดหมายของเขาที่สามารถแสดงศักยภาพในการต่อสู้ได้ในระดับนี้
กระบวนท่าเสินซู่น่าเกรงขามอย่างแท้จริง แต่ความยากลำบากในการฝึกฝนก็สูงมากเช่นกัน แม้ว่าจอมยุทธ์สามัญจะโชคดีมีวิทยายุทธระดับนี้ครอบครอง พวกเขาก็ไม่อาจฝึกฝนสำเร็จได้
ทว่ามู่เฉินไม่เพียงแต่โชคดีได้รับคัมภีร์เทพมา ที่สำคัญเขายังฝึกฝนได้สำเร็จอีกด้วย ดังนั้นพิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ธรรมดาจริงๆ
เมื่อเทียนเช่อเห็นภาพนี้ เขาก็ยกสถานะของมู่เฉินในหัวใจขึ้นมาอีกขีดหนึ่ง ความเหยียดหยามซึ่งเคยมีมาลดลง อย่างน้อยมู่เฉินก็ค่อนข้างมีความสามารถในมุมมองของเขา ไม่ใช่คนที่ต้องให้จิ่วโยวค่อยปกป้องเสมอ
“ถึงวิชานี้จะทรงพลัง แต่ก็อย่าประมาทอัจฉริยะของเผ่าวิหคโลกันตร์นะ…”
แม้เขาจะรู้ว่าคัมภีร์เทพของมู่เฉินน่าเกรงขาม แต่เทียนเช่อก็ไม่กังวล เพราะในแง่ของรากฐานเผ่าวิหคโลกันตร์ไปไกลเกินกว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ดังนั้นพวกเขาก็มีวิทยายุทธระดับเสินซู่ขั้นเต็มเก็บสะสมเอาไว้เช่นกัน มิหนำซ้ำหลิ่วชิงก็ได้รับวิทยายุทธระดับเสินซู่ขั้นเต็มมาหนึ่งวิชาเนื่องจากเคยสร้างผลงานโดดเด่นให้กับเผ่า นอกจากนี้ยังประสบความสำเร็จในการฝึกฝนด้วย
ขณะที่ความคิดไหลเวียนอยู่ในใจเทียนเช่อ หลิ่วชิงก็มองแสงสีม่วงเข้มพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียด หลังจากนั้นเขาก็หายใจเข้าลึกๆ ความไม่แยแสในดวงตาหายไปจนหมด
เขาไม่คิดเลยว่าการตีโต้ของมู่เฉินจะทรงพลังปานนี้!
อีกฝ่ายเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าเท่านั้น แต่กระบวนท่าโจมตีที่ปล่อยออกมา กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกแบบเขายังรู้สึกว่าหัวใจเย็นยะเยือก มนุษย์ที่จิ่วโยวสร้างพันธะโลหิตด้วยไม่ธรรมดาจริงๆ
ทว่าถึงเจ้าบ้าคนนี้จะไม่ธรรมดา แต่ถ้าคิดว่าคนอย่างหลิ่วชิงรับมือได้ง่ายดาย มู่เฉินก็ไร้เดียงสาไปแล้ว เจ้ามีวิทยายุทธระดับเสินซู่ขั้นเต็ม ข้าก็มี!
ดวงตาของหลิ่วชิงวูบไหว ทันใดนั้นแววตาก็กลายเป็นเคร่งขรึมขณะที่มือประสานเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว ภาพซ้อนเลื่อนไหล ก่อนร่างเป็นตราประทับโบราณ
พร้อมกับกระบวนท่าเปลี่ยนแปลง แสงหลิงเจิดจ้าก็ระเบิดดังสนั่นออกมาโดยรอบ ขณะที่เปลวไฟสีแดงลุกโชนบนร่างวิหคเพลิงกัลป์ที่อยู่ใต้ร่างเขา ในเวลาไม่กี่อึดใจเปลวไฟก็กลายเป็นวงเพลิงที่มีขนาดหลายพันจั้ง เมื่อมองจากที่ไกลก็ราวกับดวงอาทิตย์เปล่งประกาย
ร่างของหลิ่วชิงยืนตระหง่านตรงกลางดวงอาทิตย์นั้น
แสงสีม่วงลึกซึ้งและลึกลับยิงทะลุมิติเข้ามาใกล้ แต่จังหวะนั้นเองดวงอาทิตย์ขนาดยักษ์ที่ห่อหุ้มร่างหลิ่วชิงก็ย่อขนาดลงด้วยความเร็วที่น่าอัศจรรย์
ในช่วงเวลาสั้นๆ ดวงอาทิตย์ที่มีขนาดหลายพันจั้งก็หดตัวลงจนมีขนาดเท่ากับศีรษะมนุษย์ ลอยคว้างอยู่เหนือฝ่ามือของหลิ่วชิง
ภาพนี้ทำเอาคิ้วของจอมยุทธ์อาณาเขตกงเวทสวรรค์นับไม่ถ้วนกระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เพราะพวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังทำลายล้างที่น่ากลัวที่อยู่ในลูกเพลิงสีแดง
หลิ่วชิงมองไปที่ลูกเพลิงในฝ่ามือ นี่เป็นรูปทรงกลมที่มีสีแดงเข้ม พื้นผิวปกคลุมด้วยลวดลายโบราณ ลูกเพลิงนี้ควบแน่นจนกลายเป็นลูกผลึกเพลิงสีแดงที่บรรจุด้วยพลังทำลายล้างสูง
“คัมภีร์เทพเทียนเหยียน ลูกเพลิงศักดิ์สิทธิ์!” ดวงตาของหลิ่วชิงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคมกล้า จากนั้นก็ยกมือขึ้นช้าๆ น้ำเสียงเย็นเยือกเปล่งออกมาจากปาก
“ไป!”
ฮึ่ม!
ลูกเพลิงสั่นไหว อึดใจต่อมาก็กลายเป็นแสงสีแดงสดระเบิดออก แสงสีแดงพุ่งตรงทะลุผ่านมิติ เปลวไฟพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นภายใต้สายตาประหลาดใจนับไม่ถ้วนก็ปะทะกับแสงสีม่วงเข้มที่พุ่งเข้ามา
ครืน!
เมื่อพลังงานทั้งสองสายปะทะกัน เสียงแผ่นดินพิโรธก็ดังก้อง หลังจากนั้นคลื่นกระแทกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็กวาดหายนะออกมาอย่างรวดเร็ว ขณะที่กระจายออกไป ทำให้แม้แต่ท้องฟ้ายังยุบตัวลง
สิ่งก่อสร้างด้านล่างถล่มลงกลายเป็นฝุ่นควันภายใต้คลื่นกระแทก แต่มั่นถัวหลัวก็เตรียมพร้อมรีบป้องกันทันที นางสะบัดนิ้วชั้นแสงหลิงก็ตรงเข้าห่อหุ้มสิ่งก่อสร้างทั้งหมดเอาไว้ แสงดูอ่อนแอ แต่การโจมตีเต็มที่จากมู่เฉินและหลิ่วชิงกลับไม่สามารถสั่นคลอนมันได้…
มู่เฉินและหลิ่วชิงก็ถูกกระทบโดยแรงของคลื่นกระแทกอันน่าสะพรึงกลัว มู่เฉินเคลื่อนไหว ร่างที่ยืนอยู่บนหัวของร่างเทพสุริยะก็จมลงไป
ส่วนหลิ่วชิงกระทืบเท้า ปีกขนาดใหญ่ของวิหคเพลิงกัลป์โอบมาปกป้องด้านหน้า ราวกับโล่ขนาดใหญ่ที่มีเปลวไฟลุกโชน
ปัง!
คลื่นกระแทกที่น่าสะพรึงกลัวโจมตีร่างยักษ์ทั้งสอง ความแวววาวของร่างเทพสุริยะมืดมนลงทันที ขณะที่ร่างขนาดใหญ่ถอยออกไปอย่างรุนแรง ทุกก้าวจะทิ้งร่องรอยขนาดใหญ่ไว้บนมิติเบื้องล่าง พื้นดินยุบตัวลงเป็นหลุมใหญ่
กีดดดด!
ส่วนขนเพลิงของวิหคเพลิงกัลป์ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ เสียงร้องดังกึกก้องไม่สิ้นสุด ร่างใหญ่ของมันสลายผลกระทบใหญ่หลวงด้วยวิธีเคลื่อนตัวถอยหลังไป
คลื่นกระแทกกินเวลาหลายสิบลมหายใจก่อนที่จะหายไป ท้องฟ้ากลับคืนสู่ความสว่าง ส่วนร่างเทพสุริยะและร่างวิหคเพลิงกัลป์ก็ดูน่าอนาถนัก
ตู้ม!
เมื่อคลื่นกระแทกสลายลง ใบหน้าของหลิ่วชิงบนร่างวิหคเพลิงกัลป์ก็ซีดเผือด ทว่ากลับมีประกายไฟกะพริบในดวงตา ทันใดนั้นร่างวิหคเพลิงกัลป์ก็ทะยานออกไปพร้อมกับเกลียวเพลิงเชี่ยวกรากพุ่งเข้าหาร่างเทพสุริยะ
ทว่าเผชิญหน้ากับหลิ่วชิงแบบนี้ มู่เฉินก็ไม่คิดจะถอย เพียงแค่คิดร่างเทพสุริยะก็ก้าวออกไป ฝ่ามือที่ราวกับสร้างมาจากสีทองซัดเข้าใส่วิหคเพลิงกัลป์ที่พุ่งประสานงา
วิหคเพลิงกัลป์เข้าปะทะด้วยปีกทั้งสอง ท้องฟ้ายังสั่นสะเทือนจากการปะทะนี้
ร่างยักษ์ทั้งสองชนกันเปรี้ยงปร้างบนท้องฟ้า ทุกครั้งที่ปล่อยกระบวนท่า ทำให้เกิดเสียงโลหะดังก้อง หูอื้อไปเลยทีเดียว
ตึง!
เมื่อปะทะกันอีกครั้ง หลิ่วชิงก็จ้องมองมู่เฉินที่เผยตัวอยู่บนหัวของร่างเทพสุริยะ ขณะนี้ใบหน้าอีกฝ่ายก็ซีดเซียวลง การปะทะกันกระบวนท่าก่อนหน้าทำให้เขาอ่อนล้าลงเช่นกัน
“จัดการยากเย็นจริงๆ!”
ไฟแห่งการต่อสู้เพิ่มขึ้นในดวงตาของหลิ่วชิง ยามนี้เขาปฏิบัติต่อมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ระดับเดียวกันแล้ว การดูถูกทั้งหมดหายไปอย่างสมบูรณ์ ถูกแทนที่ด้วยความชื่นชม เพราะมู่เฉินสามารถต่อสู้กับเขาจนถึงระดับนี้ได้ด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า แม้แต่เขาก็ไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้
แต่ยิ่งเพราะอย่างนี้ เขาถึงได้โจมตีรุนแรงมากขึ้น
ดังนั้นการปลดปล่อยกระบวนท่าครั้งนี้ หลิ่วชิงก็ส่งแรงไปที่ฝ่าเท้าพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ปีกลุกโชนกางออกที่ด้านหลัง ยามนี้คลื่นหลิงในร่างกายเพิ่มพูนขึ้นอย่างเต็มประสิทธิภาพ
ปีกกระพือวูบไหว ร่างดูลวงตาขึ้น ก่อนที่จะทะยานไปหามู่เฉินด้วยรัศมีที่น่าตกใจ เขาบอกได้ว่าร่างเทพสุริยะของมู่เฉินทรงพลังเพียงใด หากการต่อสู้นี้ดำเนินต่อไป ไม่รู้ว่าจะลากยาวแค่ไหน ดังนั้นเขาจึงเรียกร่างดั้งเดิมออกมาเพื่อจะยุติการดวลครั้งนี้ให้เร็วที่สุด
“ในเมื่อเจ้าอยากจบการต่อสู้ให้เร็ว ข้าก็ให้ตามขอ!”
ขณะนี้ความเร็วของหลิ่วชิงจัดว่าเร็วมาก ทำให้สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไป อึดใจดวงตาก็กะพริบวูบไหว รู้ความตั้งใจจบการประลองของหลิ่วชิงทันที เขาหรี่ตาลงพลางกระทืบฝ่าเท้า แยกตัวออกจากร่างเทพสุริยะ
“ฮ่าๆ เจ้าแน่ใช้ได้ แต่ความเร็วยังด้อยกว่าข้า!”
เมื่อหลิ่วชิงเห็นมู่เฉินเคลื่อนไหว เขาก็ยิ้มก่อนที่จะกระตุกปีกความเร็วเพิ่มขึ้นไปอีก เพื่อที่จะออกกระบวนท่าก่อน
“จริงเหรอ?!”
มุมปากยกขึ้นบนใบหน้าของมู่เฉิน จากนั้นตราประทับก็เปลี่ยนวูบไหว แสงสีทองคลี่กระจายจากแผ่นหลัง เสียงหงส์ฟ้าไพเราะดังก้องระหว่างฟ้าดิน
ปีกหงส์ฟ้าสีม่วงทองคู่หนึ่งกางออกด้านหลังมู่เฉิน ขณะเดียวกันแรงกดดันที่แปลกประหลาดก็กระจายออกไปจากปีกคู่นี้
นี่เป็นแรงกดดันของหงส์ฟ้าแท้จริง
เมื่อแรงกดดันปรากฏขึ้น ใบหน้าของหลิ่วชิงก็เปลี่ยนไปรุนแรง ความไม่อยากจะเชื่อวาบขึ้นในดวงตาเป็นครั้งแรก แรงกดดันที่ซัดสาดเข้ามา ทำให้สายเลือดของเขาสั่นไหว
ในแง่ของสายเลือดเผ่าวิหคโลกันตร์มีสายเลือดของหงส์ฟ้า นั่นเป็นเพราะวิหคอมตะเป็นสายพันธุ์ที่ทรงพลังของเผ่าหงส์ฟ้า
ในบรรดาสัตว์อสูรและเทพอสูร สายเลือดสูงส่งมีแรงกดดันพิเศษที่สามารถยับยั้งสัตว์อสูรสามัญหรือเทพอสูรธรรมดาได้
สายเลือดของหลิ่วชิงคือวิหคเพลิงกัลป์ถือได้ว่าเป็นเทพอสูร แต่ในขณะนี้เมื่อเผชิญกับแรงกดดันที่มาจากหงส์ฟ้าแท้จริง แม้ว่าแรงกดดันจะจางมาก ก็ยังทำให้เขาอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างอึดอัดโดยไม่ทันตั้งตัว
เมื่อมู่เฉินเห็นหลิ่วชิงเสียสมาธิ สายตาก็วูบไหว ปีกนกหงส์ฟ้าที่อยู่ด้านหลังกระพือ ร่างของเขาก็พุ่งออกมาราวกับลำแสง ทว่าทันทีที่เขาพุ่งออกไป ดวงตาก็ต้องหดเกร็ง
นั่นเป็นเพราะร่างเงาสูงวัยปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาอย่างลึกลับ นี่ก็คือผู้อาวุโสเทียนเช่อ
มู่เฉินขมวดคิ้วพูดว่า “ผู้อาวุโสเทียนเช่อ? ท่าน…”
เขาหยุดคำพูดก่อนพูดจบ เพราะเขาเห็นดวงตาของเทียนเช่อมีประกายแสงแล่นแปลบขณะที่จ้องเขม็งเขา หลังจากนั้นครู่หนึ่งเทียนเช่อก็พูดขึ้นทีละคำ “แรงกดดัน-หงส์ฟ้า-แท้จริง?”