เหนือจัตุรัสหินสีฟ้าอมเขียว
อุโมงค์มิติปรากฏขึ้นสะท้อนเสียงอ่อนเยาว์ดังก้อง ทุกสายตาที่นี่จ้องตรงไปที่ต้นเสียง จากนั้นสมาชิกเผ่าวิหคโลกันตร์ก็เห็นเงาร่างสองร่างเดินออกจากอุโมงค์มิติอย่างช้าๆ
ร่างเงาทั้งสอง คนหนึ่งสูงโปร่ง อีกคนหนึ่งบอบบางน่าถนอม ร่างบางเป็นเด็กสาวแต่งกายด้วยชุดสีดำ มีม่านตาสีทองคำเต็มไปด้วยความเฉยเมย แรงกดดันที่กำจายออกมาทำให้จอมยุทธ์หลายคนในเผ่าวิหคโลกันตร์หัวใจสั่นไหว เนื่องจากแรงกดดันนี้แข็งแกร่งกว่าผู้อาวุโสบางคนเสียอีก
ส่วนที่ยืนอยู่ด้านข้างเด็กสาวตัวเล็กเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง เขามีใบหน้าที่อ่อนเยาว์และหล่อเหลามาก ม่านตาสีดำราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว รอยยิ้มฉายบนใบหน้า แม้เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนของเผ่าวิหคโลกันตร์ เขาก็ยังไม่มีท่าทางหวาดกลัว
“เขาคือมู่เฉินเหรอ? มนุษย์ที่ก่อพันธะโลหิตกับองค์หญิงน้อยจิ่วโยว?”
“เจ้านั่นกล้ามาถึงเผ่าวิหคโลกันตร์ซะด้วย เขารนหาที่ตายชัดๆ อย่าบอกนะเขาคิดว่าด้วยคำสัญญาที่ผู้อาวุโสเทียนเช่อให้ไว้จะทำให้เขาได้ตำแหน่งไปและรอดชีวิตได้?”
“อยากหัวเราะให้ฟันร่วง มีเพียงเจียงย่ากับฉิงเฉวียนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติจะประลองกันเพื่อตำแหน่งนี้ มู่เฉินไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงที่คิดจะเอาตำแหน่งไปจากทั้งสอง”
“มนุษย์กล้าที่จะต่อสู้กับอัจฉริยะของเผ่าวิหคโลกันตร์ อหังการไปแล้ว”
“…”
ขณะที่ทุกคนพุ่งความสนใจไปที่มู่เฉิน ความปั่นป่วนก็กระจายไปทั่วบริเวณ กลุ่มคนส่วนใหญ่ในเผ่ามองมู่เฉินด้วยสายตาสืบเสาะและเยาะเย้ย ตลอดเวลาสองเดือนทุกคนได้รู้จักชื่อของมู่เฉินมาแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมู่เฉินไม่ได้แสดงตัว ทำให้พวกเขารู้สึกว่าชายหนุ่มเป็นคนขี้ขลาดและพยายามหลบหนีจากความรับผิดชอบ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกดูถูกตั้งแต่ยังไม่เคยเจอด้วยซ้ำ นอกจากนี้ยังเป็นเพราะมู่เฉินที่ทำให้สายเลือดวิหคอมตะของจิ่วโยวปนเปื้อน ซึ่งทำเอาคนในเผ่าไม่พอใจและเกิดความไม่เป็นมิตรกับเขา
ท่ามกลางความเยาะเย้ยที่กวนตัว ผู้อาวุโสบนแท่นหินก็มองมู่เฉินด้วยสายตาคมกริบ
“เจ้าคือมู่เฉินรึ?”
ผู้อาวุโสชุดสีฟ้าอมเขียวที่เคลือบแคลงใจกับคำพูดของเทียนเช่อก็ตรวจสอบมู่เฉินด้วยสายตาแหลมคมและพูดเสียงเย็นชาว่า “ไม่คิดว่าเจ้าจะกล้ามา แต่ก็ดีในเมื่อมาแล้ว ก็รอให้สลายพันธะโลหิตระหว่างเจ้ากับองค์หญิงน้อยก่อนค่อยไปซะ!”
ผู้อาวุโสคนอื่นก็มองมู่เฉินเพื่อตรวจสอบด้วย แม้ว่าในเผ่าจะถกเถียงเรื่องเกี่ยวกับมู่เฉินมานาน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นชายหนุ่มคนนี้ตัวเป็นๆ
ชายหนุ่มคนนี้เป็นผู้สร้างพันธะโลหิตกับจิ่วโยวที่มีสายเลือดวิหคอมตะที่บริสุทธิ์ที่สุดในช่วงหลายพันปีน่ะรึ? จากรูปลักษณ์แล้วดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีอะไรโดดเด่น คนที่ธรรมดาอย่างเขาไม่สามารถเปรียบเทียบกับอัจฉริยชนของเผ่าได้เลย
เทียนฮวงที่นั่งอยู่ในตำแหน่งประธานก็มองไปที่มู่เฉิน แต่สายตาลึกซึ้งกว่า ไม่มีอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า
จิ่วโยวเพิ่งฟื้นจากอาการตกใจที่เกิดจากการปรากฏตัวของมู่เฉิน จากนั้นนางก็ยิ้มอย่างขมขื่น ไม่รู้เพราะเหตุใด ไม่เพียงแต่การมาที่นี่ของมู่เฉินจะไม่ทำให้นางรู้สึกผิดหวัง นางยังรู้สึกซาบซึ้งใจด้วย
แม้ว่าเหตุผลย้ำกับนางว่ามู่เฉินจะปลอดภัยที่สุดเมื่ออยู่ให้ไกลจากเผ่าวิหคโลกันตร์ แต่นางก็ยังรู้สึกมีความสุขกับการปรากฏตัวของน้องชายคนนี้
จิ่วโยวแอบมองบิดา นางรู้ว่าการตัดสินใจเด็ดขาดในวันนี้จะขึ้นอยู่กับเขา ถ้าบิดาของนางไม่ชอบมู่เฉิน เขาจะไม่ยอมให้มนุษย์ธรรมดาสามัญทำลายสายเลือดสมบูรณ์แบบที่สุดของเผ่าวิหคโลกันตร์ได้
แต่เทียนฮวงมีประสบการณ์ไม่ธรรมดา ต่อให้ได้เจอมู่เฉินในตอนนี้ เขาก็ไม่มีอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า ซึ่งทำให้จิ่วโยวรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย เนื่องจากนางไม่รู้ความคิดเห็นที่บิดามีต่อมู่เฉิน
ขณะที่บทสนทนากระจายมาจากกลุ่มผู้คน แสงเย็นเยือกก็วาววับในดวงตาของมั่นถัวหลัวที่อยู่บนท้องฟ้า นางจ้องผู้อาวุโสชุดสีฟ้าอมเขียวพลางเยาะเย้ยเสียงเย็นชา “มู่เฉินเป็นสมาชิกของอาณาเขตกงเวทสววรค์ของข้า ในเมื่อข้าเป็นคนพาเขามา ข้าก็จะพาเขากลับไปด้วยเช่นกัน”
เมื่อผู้อาวุโสชุดสีฟ้าอมเขียวได้ยินคำพูดของนาง เขาตอกกลับ “วาจาใหญ่โตจริงนะ ที่นี่คือเผ่าวิหคโลกันตร์ไม่ใช่ที่ที่ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์อย่างเจ้าจะมาทำตามอำเภอใจได้ ตาแก่คนนี้ขอแนะนำเจ้าว่าอย่าเข้าไปมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ ไม่งั้นอาณาเขตกงเวทสวรรค์คงไม่สามารถทนรับความเกรี้ยวกราดของเผ่าวิหคโลกันตร์ได้แน่!”
ขณะที่ผู้อาวุโสชุดสีฟ้าอมเขียวพูดก็ผุดลุกขึ้นยืนไปด้วย การกดข่มของคลื่นหลิงอันน่าสะพรึงกลัวทำให้ท้องฟ้ามืดลง พายุกวาดออกส่งเสียงหวีดหวิวระหว่างฟ้าดิน
คลื่นหลิงเชี่ยวกรากก่อตัวเป็นวิหคเพลิงขนาดใหญ่เลือนรางที่ด้านหลังผู้อาวุโสชุดสีฟ้าอมเขียว มันแหงนหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้ากู่ร้องออกมาพร้อมปลดปล่อยพลังอันน่าอัศจรรย์
เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสคนนี้ตั้งใจจะใช้พลังปราบปรามนางให้อยู่หมัด ด้วยวิธีนี้หากมั่นถัวหลัวยอมอ่อนให้ ด้วยขุมพลังของมู่เฉินในตอนนี้ ก็ไม่มีใครมีสิทธ์ปฏิเสธการตัดสินใจทำโทษของเผ่าวิหคโลกันตร์
แรงกดดันน่าสะพรึงกลัวที่แผ่ขยายออกไป ทำให้สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารู้สึกเหมือนมีภูเขากำลังกดร่างกาย การไหลเวียนของคลื่นหลิงในร่างกายช้าลง
“หึ!”
แต่เมื่อความกดดันทวีความน่ากลัว ใบหน้าของมั่นถัวหลัวก็มืดครึ้ม นางเค้นเสียงเย็นย่างกรายไปข้างหน้า ทันทีที่ก้าวออกไปพื้นที่ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของนางก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับแก้วร้าว คลื่นกระแทกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าระเบิดออก ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจก็ห่อหุ้มวิหคเพลิงซึ่งสร้างจากคลื่นหลิงของผู้อาวุโสชุดสีฟ้าอมเขียว…
ปัง!
คลื่นกระแทกกวาดความพินาศ วิหคเพลิงก็เปล่งเสียงร้องโหยไห้ระเบิดตัวเองภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน ใบหน้าของผู้อาวุโสสวมชุดสีฟ้าอมเขียวเปลี่ยนไปรุนแรง ร่างกระตุกถอยกลับไปหนึ่งก้าว แท่นหินข้างใต้ก็เกิดรอยแตกออกในเวลาเดียวกัน
เมื่อเหล่าผู้อาวุโสเห็นภาพผู้อาวุโสชุดสีฟ้าอมเขียวเป็นแบบนี้ ใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปโดยไม่สามารถควบคุมได้พลางร้องอุทาน “จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย?!”
ในเวลาเดียวกันเทียนเช่อก็หดดวงตาลง เมื่อสองเดือนก่อนตอนที่เขาพบมั่นถัวหลัว แม้ว่านางเกือบจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่การไหลเวียนคลื่นพลังยังไม่เสถียร ใครจะคิดว่าเวลาเพียงสองเดือนนางก็บรรลุขั้นที่ว่าได้แท้จริง!
แม้แต่ในเผ่าวิหคโลกันตร์ พลังของนางก็เหนือกว่าผู้อาวุโสทุกคน ไปอยู่ในระดับเดียวกับท่านประมุขแล้ว!
ตำแหน่งที่นั่งประธาน ประกายแสงประหลาดวูบไหวในดวงตาของเทียนฮวง เขามองมั่นถัวหลัวอย่างลึกซึ้ง ก่อนที่จะพูดอย่างช้าๆ เสียงทุ่มต่ำหนาแน่นราวกับภูเขา “ไม่คิดว่าประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะมาถึงขั้นนี้แล้ว ด้วยพลังระดับนี้ ไม่เสียทีที่ไปอยู่ในภูมิภาคทางเหนือของทวีปเทียนหลัว”
เทียนฮวงพูดออกมาขณะคลื่นเสียงดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้า พร้อมกับเสียงสะท้อนออกมาก็ทำให้คลื่นกระแทกทำลายล้างที่แผ่ซ่านจากร่างมั่นถัวหลัวกระจายหายไปอย่างเงียบๆ
เมื่อมั่นถัวหลัวเห็นฉากนี้ ม่านตาสีทองคำก็หรี่ลง ริ้วความครั่นคร้ามวาบผ่านในดวงตา จากการเคลื่อนไหวของเทียนฮวง ชัดว่าอีกฝ่ายบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายมานานแล้ว
“ท่านเทียนฮวงยกย่องข้าเกินไปแล้ว”
มั่นถัวหลัวกล่าวเสียงเบาว่า “แต่วันนี้ที่ข้าพามู่เฉินมาที่นี่ก็เพื่อทำตามข้อตกลงที่เขาทำไว้กับผู้อาวุโสเทียนเช่อ ดังนั้นข้าหวังว่าเผ่าของท่านจะรักษาสัญญา ไม่อย่างนั้นถึงแม้ว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้าจะด้อยกว่าเผ่าวิหคโลกันตร์ แต่ข้าเชื่อว่าจะไม่ดีต่อทั้งสองฝ่ายถ้าเข้าสู่สงคราม”
เมื่อผู้อาวุโสชุดสีฟ้าอมเขียวได้ยินคำพูดนี่ ใบหน้าก็เขียวคล้ำ แต่เขาไม่สามารถเถียงคำพูดของนางได้ ด้วยพลังของมั่นถัวหลัว นางควรค่าที่จะถูกให้ความสำคัญจากเผ่าวิหคโลกันตร์
เทียนฮวงยังคงมีสีหน้าเฉยเมย สายตาเลื่อนจากมั่นถัวหลัวไปที่มู่เฉิน ก่อนที่จะพูดโดยไม่มีระลอกคลื่นในน้ำเสียง “เจ้าคือมู่เฉินเหรอ?”
มู่เฉินไม่รู้สึกกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสเผ่า แต่เมื่อเห็นเทียนฮวงไม่รู้ทำไมกลับรู้สึกถึงความชั่วดีตีกวน เพราะชายผู้นี้คือบิดาของจิ่วโยว
“ข้าน้อยมู่เฉินคารวะท่านประมุขเทียนฮวง” ระงับความผิดในใจไว้ มู่เฉินก็ประสานมือแสดงความเคารพทันที
เทียนฮวงพูดเสียงแผ่วเบาว่า “พันธะโลหิตระหว่างเจ้ากับจิ่วโยวสร้างขึ้นในสถานการณ์เป็นตาย ดังนั้นจะโทษเจ้าก็ไม่ได้ แต่สายเลือดของจิ่วโยวมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเผ่าวิหคโลกันตร์ ตอนนี้สายเลือดของนางถูกปนเปื้อน นี่อาจส่งผลกระทบต่อวิวัฒนาการในอนาคตของนาง”
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนี่ หัวใจของเขาก็จมลงเนื่องจากเขาไม่คิดว่าพันธะโลหิตจะนำมาซึ่งความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อจิ่วโยว
“แต่ถ้าจิ่วโยวได้รับเลือดศักดิ์สิทธิ์ของวิหคอมตะโบราณจากดินแดนเสินโซ่ละก็ ในเวลานั้นไม่เพียงแต่นางจะสามารถกำจัดสิ่งปนเปื้อนทั้งหมด มันยังช่วยเสริมสายเลือดของนางให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วย”
เทียนฮวงมองไปที่มู่เฉินนิ่ง “แต่การแข่งขันเพื่อโอกาสในดินแดนเสินโซ่รุนแรงมาก อัจฉริยะทุกเผ่าพันธุ์จะมารวมตัวกันที่นั่น แม้แต่เผ่าวิหคโลกันตร์ก็ไม่สามารถได้เปรียบใดๆ ในการแข่งขัน เจ้าจินตนาการภาพการแข่งขันแบบนั้นออกไหม?”
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ
เทียนฮวงโบกมือ “ตอนนี้เรื่องพันธะโลหิตเจ้ามีสองทางเลือก หนึ่งเป็นไปตามสิ่งที่เทียนเช่อบอก ถ้าเจ้าสามารถชิงตำแหน่งและช่วยจิ่วโยวทำให้สายเลือดของนางสมบูรณ์ เผ่าวิหคโลกันตร์จะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก นอกจากนี้เจ้าจะถือเป็นมิตรอันยิ่งใหญ่ของพวกเรา แน่นอนว่าเจ้าน่าจะรู้ถึงความยากลำบากของเรื่องนี้ดี”
“แต่ถ้าเจ้าไม่มั่นใจในตัวเอง เห็นแก่การช่วยชีวิตจิ่วโยวไว้ ข้าจะไม่ทำอันตรายใดๆ ต่อชีวิตของเจ้า ทว่าเจ้าจะต้องอยู่ภายใต้การถูกคุมขังของเผ่าวิหคโลกันตร์เป็นเวลาสิบปี!”
พูดถึงจุดนี้ ท่าทางไม่แยแสของเทียนฮวงก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปคมกริบ สายตาจับจ้องมาที่มู่เฉิน “ตอนนี้เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าเลือกอะไร?”
สมาชิกทั้งเผ่าเงยหน้าขึ้นมองร่างอ่อนเยาว์ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะเลือกอะไร
ในมุมมองของพวกเขา ท่านประมุขได้ยื่นเงื่อนไขยอดเยี่ยมให้กับมู่เฉินแล้ว ข้อสองเป็นการไว้ชีวิตเขาเลย แม้ว่าจะต้องถูกกักเป็นเวลาสิบปี แต่เขายังมีชีวิตอยู่ได้ ในเวลาเดียวกันพันธะโลหิตระหว่างเขากับองค์หญิงน้อยก็จะไม่ได้รับผลกระทบด้วย
จอมยุทธ์สองคนที่นั่งอยู่ในจัตุรัสด้วยความภาคภูมิใจแล่นพล่านในดวงตาก็เงยหน้าขึ้นด้วยความเฉยเมยขณะที่จ้องมองมู่เฉิน รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏในดวงตา
มนุษย์ขี้ขลาดเช่นนั้น คงเลือกทางที่สองเพราะสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้สินะ มิฉะนั้นเป็นเรื่องเพ้อฝันชัดๆ ที่คิดจะชิงตำแหน่งจากมือพวกเขา
ขณะที่สายตาทั้งหมดพุ่งมาหา มู่เฉินก็มองไปที่เทียนฮวง ก่อนที่จะคลี่รอยยิ้มสดใสให้จิ่วโยว อึดใจร่างของเขาก็ขยับไปปรากฏตัวบนลานประลองหันหน้าไปทางร่างจอมยุทธ์เย่อหยิ่งทั้งสอง จากก็กุมมือด้วยรอยยิ้ม
“ข้ามู่เฉินแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ขอคำชี้แนะในการชิงตำแหน่งจากทั้งสองด้วย”