ทวีปกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ถูกทำลายจนแตกสลาย
บรรยากาศเต็มแน่นไปด้วยความหายนะ แม้ว่าที่นี่จะถูกทำลาย แต่ก็ยังคงปล่อยแรงกดดันอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งทำให้ทุกคนที่นี่รู้สึกเคารพในหัวใจตั้งแต่ก่อนกาล
ฟิ้ว!
บนเส้นขอบฟ้าอันไร้ขอบเขต มีลมกรูเข้ามา มองเห็นร่างแสงสี่ร่างเหาะเหินผ่านมาจากระยะไกลนำพาเสียงลมบาดแก้วหูตามมา พวกเขาพุ่งตัวไปไกลอย่างรวดเร็ว
ร่างสี่ร่างนี้ก็คือกลุ่มของมู่เฉินที่ตั้งเป้าหมายไปเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณหลังจากที่เข้ามาในดินแดนเสินโซ่
พวกเขาเดินทางมาเกือบครึ่งวัน ระหว่างทางก็พบกับเผ่าสัตว์อสูรอื่นๆ อยู่บ้าง ทว่าแต่ละกลุ่มต่างระมัดระวังและกลัวซึ่งกันและกัน จึงไม่ได้เกิดการปะทะอะไรกัน
เพราะก่อนที่จะได้เห็นสมบัติ ไม่มีใครต้องการหมดพลังงานไปกับเรื่องไร้สาระ ทุกคนที่เข้ามาถึงดินแดนเสินโซ่ไม่ธรรมดา ต่างมีความสามารถบางอย่าง ดังนั้นจึงไม่คิดไปยั่วยุผู้อื่นโดยไม่มีผลประโยชน์หรอก
เพราะเหตุนี้พวกมู่เฉินจึงรู้สึกปลอดโปร่งจากความยุ่งยากในการเดินทาง
“ตามทิศทางเราน่าจะอยู่ห่างจากเจดีย์ที่อยู่ใกล้ที่สุดอีกประมาณหนึ่งวัน” ขณะที่พวกเขาเหาะเหินไปนั้น จิ่วโยวก็ถือเข็มทิศที่ทำจากกระดูกสัตว์พร้อมกับมีริ้วแสงแวววาวบนนั้นก่อร่างเป็นแผนที่คลุมเครือ โดยที่กึ่งกลางของแผนที่เป็นสัญลักษณ์เจดีย์ ซึ่งก็คือเป้าหมายของพวกเขาสำหรับการเดินทางครั้งนี้
มู่เฉินพยักหน้าไม่ได้มีท่าทีร้อนใจอะไร กลับกันเขาปิดตาลงระหว่างการเดินทาง ขณะที่ความคิดหมุนเวียน เขาก็ดูดซับคลื่นหลิงจากฟ้าดินเข้ามาอย่างไม่สิ้นสุด
แต่ในขณะที่มู่เฉินดูดซับพลังงานได้อย่างรวดเร็ว เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังงานแปลกประหลาดที่กำลังปะปนอยู่ภายใน เมื่อมันถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายก็รู้สึกได้ถึงกระแสเลือดของเขาดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาเล็กน้อย
คลื่นหลิงในดินแดนเสินโซ่มีริ้วพลังงานที่สามารถปรับสภาพพลังกายได้ เมื่อตรวจสอบถึงต้นตอมู่เฉินก็พบว่าพลังนี้มาจากรัศมีรกร้างที่แผ่ไปทั่วฟ้าดิน
“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมดินแดนเสินโซ่จึงมีความสำคัญมากในโลกสัตว์อสูร การเพาะบ่มที่นี่มีประโยชน์อย่างมากต่อเผ่าสัตว์อสูรและเทพอสูร”
มู่เฉินชมเชยในใจ แม้หลังจากดูดซับคลื่นพลังมาได้ครึ่งวัน ความก้าวหน้าก็ยังไม่เทียบเท่ากับโคลนโลหิตชิ้นเดียว ทว่าคลื่นพลังนี้ไม่มีที่สิ้นสุด เขาไม่จำเป็นต้องค้นหาอย่างขมขื่นเหมือนกับที่ตามหาโคลนโลหิต ในระยะยาวการเพิ่มขึ้นนี้ก็ค่อนข้างน่าสะพรึงเลยทีเดียว
“ดูเหมือนว่าประสิทธิภาพการชำระในดินแดนเสินโซ่จะมีประโยชน์ต่อพลังกายมากจริงๆ…”
เมื่อสัมผัสถึงกระแสเลือดที่พลุ่งพล่านขึ้นในร่างกาย รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของมู่เฉิน เขายิ่งมีความคาดหวังต่อเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณมากขึ้น
ตราบใดที่เขาสามารถก้าวสู่ขั้นสองของวิชากายามังกรหงส์ เขาก็จะสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดได้ด้วยพลังกายเพียงอย่างเดียว!
เขาไม่เพียงแต่ต้องช่วยจิ่วโยวให้ได้รับเลือดศักดิ์สิทธิ์ของวิหคอมตะโบราณในการเดินทางมายังที่นี่ แต่เขายังต้องการที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งของตน เพื่อให้มีคุณสมบัติที่จะแข่งขันสำหรับวิวัฒนาการของร่างเทพสุริยะเมื่อวังสวรรค์บรรพกาลปรากฏ!
ในเวลาหนึ่งวันถัดมาทั้งสี่เดินทางโดยไม่หยุดพัก ภายใต้ความเร็วเต็มที่ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงพื้นที่แถบเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณ
ทั้งสี่คนปรากฏตัวขึ้นบนยอดเขาโดดเดี่ยว สายตามองไปในระยะไกลก็เห็นเมืองใหญ่กว้างหมื่นลี้ตั้งอยู่ในดงเขา
แม้ว่าเมืองนี้จะกลายเป็นซากปรักหักพังไปนานแล้ว แต่ก็สามารถบอกได้ว่าครั้งหนึ่งที่นี่เต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่ ในสมัยโบราณเมืองนี้จะต้องเป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ของดินแดนเสินโซ่แน่นอน
“นั่นคือเมืองต้าฮวางซึ่งเป็นขั้วอำนาจระดับต้นๆ ของดินแดนเสินโซ่สมัยโบราณ ในเมืองมีเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณที่หลงเหลืออยู่” จิ่วโยวชี้ไปที่เมืองโบราณและซากปรักหักพัง
มู่เฉินพยักหน้าก่อนจะหรี่ตากวาดมองรอบๆ “ดูเหมือนว่าแรงดึงดูดของเจดีย์นี้ค่อนข้างใหญ่โตเลยทีเดียว”
ประสาทสัมผัสของเขารับรู้ได้ถึงรัศมีทรงพลังที่พุ่งมาจากขอบฟ้าไกล เป้าหมายของคนเหล่านั้นก็คือเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณนี้เช่นกัน
นอกเหนือจากรัศมีของคนที่รีบเร่งมาแล้ว มู่เฉินก็ขมวดคิ้วขณะมองเมืองที่ถูกทำลาย ในนั้นมีคลื่นหลิงเบาบางกระเพื่อมไหวอยู่ไม่น้อย ชัดว่ามีบางคนมาถึงก่อนแล้ว
“หืม?”
ขณะที่มู่เฉินสัมผัสคลื่นหลิงผันผวนที่อยู่ในเมือง จู่ๆ ท่าทางก็เปลี่ยนไป ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางหนึ่ง มีแนวแสงยาวหลายเส้นพุ่งมาบนขอบฟ้า ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อแนวแสงเหล่านั้นเคลื่อนไหวเข้าใกล้ก็สัมผัสถึงพวกเขา ทันใดนั้นเสียงลมฉีกอากาศก็ดังก้องบนท้องฟ้าเหนือกลุ่มพวกเขา
“ฮ่าๆ ข้าก็สงสัยว่าใครกัน เป็นจิ่วโยวนี่เอง…ไม่มีข่าวเกี่ยวกับเจ้ามานานหลายปี ข้ายังคิดว่าเจ้าคว้าน้ำเหลวไปแล้ว…” ขณะที่ร่างเงาเหล่านั้นปรากฏ เสียงหัวเราะเอาแต่ใจของหญิงสาวคนหนึ่งก็ดังก้อง แม้ว่าน้ำเสียงของนางจะไพเราะ แต่คำพูดกลับประชดประชันน่าดู
เมื่อจิ่วโยวได้ยินคำพูดนั่น สีหน้าก็ดิ่งลงทันที นางเงยหน้าขึ้นคลี่รอยยิ้มเยาะออกมา “หลิ่วชิงดูเหมือนเจ้ายังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ที่ประลองกับข้านะ”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นก็เห็นร่างเงาสี่ร่างปรากฏบนท้องฟ้า ในบรรดาทั้งสี่มีหญิงสาวสวมชุดสีเขียว นางมีรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น คิ้วประณีตดูเย้ายวนน่าดึงดูด แต่ตอนนี้กลับมีประกายแสงเย็นวูบไหวในดวงตาจากการตอกกลับของจิ่วโยว
มู่เฉินขมวดคิ้วขณะเฝ้ามองคนกลุ่มนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้ที่มาของอีกฝ่าย แต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน จิ่วโยวดูเหมือนจะไม่กินเส้นกับผู้หญิงชุดสีเขียวที่ถูกเรียกว่าหลิ่วชิง
“พี่ใหญ่มู่เฉิน พวกเขามาจากเผ่ากระเรียนฟ้า ในอดีตเผ่ากระเรียนฟ้าเคยส่งจอมยุทธ์รุ่นใหม่ไปยังเผ่าวิหคโลกันตร์เพื่อประลองกัน หลิ่วชิงพ่ายแพ้ให้พี่ใหญ่จิ่วโยว แต่ไม่คิดว่านางจะเป็นคนใจแคบจดจำเรื่องนี้ฝังแน่นในกระดูก” ขณะที่มู่เฉินงงงวย มั่วหลิงก็กระซิบบอก น้ำเสียงของนางไม่ได้มีความพอใจอะไรเกี่ยวกับหลิ่วชิงมากนัก
“เผ่ากระเรียนฟ้า?”
มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะพยักหน้า นี่เป็นเผ่าสัตว์อสูรที่ไม่ได้ด้อยกว่าเผ่าวิหคโลกันตร์ มิหนำซ้ำยังมีประวัติศาสตร์บางอย่าง พวกเขาสืบเชื้อสายเทพอสูรกระเรียนปีกทองคำ เมื่อใดที่สายเลือดตื่นขึ้น พวกเขาก็จะมีศักยภาพที่ไร้ขอบเขต
“ไม่คิดว่าฝีปากของเจ้าจะน่ากลัวกว่าเดิมซะอีก”
ขณะที่มู่เฉินและมั่วหลิงกำลังคุยกัน หลิ่วชิงก็เผยยิ้มเย็นชา จากนั้นก็มองไปที่มู่เฉินแล้วยกคิ้วขึ้น “ก่อนหน้าข้าได้ยินข่าวว่าเจ้าสร้างพันธะโลหิตกับมนุษย์ ข้าว่าเขาคือชายคนนี้ใช่ไหม?”
นางพิจารณามู่เฉินด้วยความจองหองในแววตาแฝงริ้วคำดูถูกเหยียดหยาม
“ระดับจื้อจุนขั้นหก… เจ้ายังกล้าพาเขามาที่ดินแดนเสินโซ่ด้วย ดูเหมือนว่าเขาสำคัญกับเจ้ามากแต่เจ้าต้องระวังหน่อยนะ หากเขามาตายที่นี่ เจ้าอาจจะต้องลงไปนอนข้างเขาก็ได้นะจิ่วโยว”
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดของนาง คิ้วก็ขมวดเข้าพร้อมกับแสงเยือกเย็นวูบไหวในดวงตา ทว่าเขาก็เพียงมองหลิ่วชิงแบบไม่แยแส ไม่ได้หัวร้อนจากการถูกเยาะเย้ยถากถาง แต่ความรังเกียจเพิ่มขึ้นในใจสำหรับผู้หญิงคนนี้หากมีโอกาสเขาจะสอนบทเรียนให้นางแน่
หลิ่วชิงเห็นมู่เฉินมีสีหน้าเฉยเมย ริ้วประหลาดใจก็วาบผ่านดวงตาไป ความสงบนิ่งที่มู่เฉินแสดงออกมาไม่เหมือนคนในช่วงวัยเขา
“เจ้าไม่ต้องกังวลแทนข้าหรอก หากเจ้าคิดว่าบทเรียนก่อนหน้ายังไม่พอ ข้าเล่นเป็นเพื่อนเจ้าได้ตลอดเวลาเลยนะ” จิ่วโยวพูดเสียงเยือกเย็น
“จริงรึ?”
มุมปากหลิ่วชิงโค้งขึ้นขณะที่หันหน้ามองไปกลุ่มคนข้างๆ “พี่ใหญ่จงเถิงน่าจะมาถึงเจดีย์แล้วใช่ไหม?”
“ฮ่าๆ ด้วยความเร็วของพี่ใหญ่จงเถิงจะมีใครในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดเทียบได้” จอมยุทธ์เผ่ากระเรียนฟ้าคนหนึ่งยิ้ม ขณะที่มองกลุ่มมู่เฉินด้วยท่าทางจะยิ้มก็ไม่เชิง
“จงเถิง?”
เมื่อจิ่วโยวได้ยินชื่อดังกล่าวก็อดไม่ได้ที่จะหดดวงตา ร่องรอยความประหวั่นพรั่นพรึงปรากฏขึ้น
พอเห็นปฏิกิริยานาง มู่เฉินก็อดรู้สึกสงสัยไม่ได้ เขาส่งเสียงถามไปทางมั่วหลิง “จงเถิงคือใคร?”
มั่วหลิงขมวดคิ้ว สีหน้าไม่สู้ดี “จงเถิงเป็นจอมยุทธ์รุ่นใหม่ที่โดดเด่นที่สุดของเผ่ากระเรียนฟ้า ว่ากันว่าเขาได้ปลุกสายเลือดกระเรียนปีกทองคำแล้วทำให้ทรงพลังอย่างมาก ครั้งหนึ่งเขาเคยต่อสู้กับอัจฉริยะของเผ่าหงส์ฟ้า แต่ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย ตอนนี้ชื่อเสียงของเขาล่ำลือมากในหมู่คนรุ่นใหม่ของโลกสัตว์อสูร”
ครั้นมู่เฉินได้ยินคำพูดนี่ เขาก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น มิน่าล่ะหลิ่วชิงถึงแสดงท่าทางยโสเช่นนี้ ที่แท้นางมีคนคอยหนุนหลังอยู่นั่นเอง
เมื่อหลิ่วชิงเห็นจิ่วโยวเงียบลง นางก็ยิ้มด้วยความอิ่มเอมใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่หัวเราะเบาๆ “ดูเหมือนว่าเป้าหมายของพวกเจ้าก็คือเจดีย์ฝึกพลังกายเหมือนกัน ก็ดี…ข้าจะขอพี่ใหญ่จงเถิงดูแลพวกเจ้าเอง”
คำว่า ‘ดูแล’ ถูกเน้นย้ำ ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่เข้าใจถึงความหมายที่อยู่เบื้องหลัง
“พูดมากซะจริง”
มู่เฉินยกเปลือกตาขึ้นพูดออกมาอย่างไม่แยแส
หลิ่วชิงอึ้งไปก่อนที่ความโกรธจะตีขึ้นจากคำพูดของมู่เฉิน ตอนนี้ใบหน้าของนางเขียวคล้ำ จากนั้นนางก็กัดฟันเขม่นมองมู่เฉินพลางเค้นเสียงเย็น “หวังว่าเจ้าจะยังยิ้มได้เมื่อพบกับพี่ใหญ่จงเถิง!”
หลังจากที่พูดจบนางก็สะบัดหน้าไม่คิดอยู่ต่อ ร่างกลายเป็นลำแสงพุ่งข้ามขอบฟ้าเข้าไปในซากเมืองอย่างรวดเร็ว
เมื่อมองไปร่างที่ไกลออกไป มู่เฉินก็หรี่ตาลง
จงเถิง…หวังว่าคนผู้นั้นจะไม่ขัดขวางโอกาสในการเข้าเจดีย์ มิฉะนั้นเขาก็ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครมาจากไหน งานนี้เขาจัดเต็มแน่นอน!