หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 985 เผ่ากระเรียนฟ้า

ทวีปกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ถูกทำลายจนแตกสลาย

บรรยากาศเต็มแน่นไปด้วยความหายนะ แม้ว่าที่นี่จะถูกทำลาย แต่ก็ยังคงปล่อยแรงกดดันอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งทำให้ทุกคนที่นี่รู้สึกเคารพในหัวใจตั้งแต่ก่อนกาล

ฟิ้ว!

บนเส้นขอบฟ้าอันไร้ขอบเขต มีลมกรูเข้ามา มองเห็นร่างแสงสี่ร่างเหาะเหินผ่านมาจากระยะไกลนำพาเสียงลมบาดแก้วหูตามมา พวกเขาพุ่งตัวไปไกลอย่างรวดเร็ว

ร่างสี่ร่างนี้ก็คือกลุ่มของมู่เฉินที่ตั้งเป้าหมายไปเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณหลังจากที่เข้ามาในดินแดนเสินโซ่

พวกเขาเดินทางมาเกือบครึ่งวัน ระหว่างทางก็พบกับเผ่าสัตว์อสูรอื่นๆ อยู่บ้าง ทว่าแต่ละกลุ่มต่างระมัดระวังและกลัวซึ่งกันและกัน จึงไม่ได้เกิดการปะทะอะไรกัน

เพราะก่อนที่จะได้เห็นสมบัติ ไม่มีใครต้องการหมดพลังงานไปกับเรื่องไร้สาระ ทุกคนที่เข้ามาถึงดินแดนเสินโซ่ไม่ธรรมดา ต่างมีความสามารถบางอย่าง ดังนั้นจึงไม่คิดไปยั่วยุผู้อื่นโดยไม่มีผลประโยชน์หรอก

เพราะเหตุนี้พวกมู่เฉินจึงรู้สึกปลอดโปร่งจากความยุ่งยากในการเดินทาง

“ตามทิศทางเราน่าจะอยู่ห่างจากเจดีย์ที่อยู่ใกล้ที่สุดอีกประมาณหนึ่งวัน” ขณะที่พวกเขาเหาะเหินไปนั้น จิ่วโยวก็ถือเข็มทิศที่ทำจากกระดูกสัตว์พร้อมกับมีริ้วแสงแวววาวบนนั้นก่อร่างเป็นแผนที่คลุมเครือ โดยที่กึ่งกลางของแผนที่เป็นสัญลักษณ์เจดีย์ ซึ่งก็คือเป้าหมายของพวกเขาสำหรับการเดินทางครั้งนี้

มู่เฉินพยักหน้าไม่ได้มีท่าทีร้อนใจอะไร กลับกันเขาปิดตาลงระหว่างการเดินทาง ขณะที่ความคิดหมุนเวียน เขาก็ดูดซับคลื่นหลิงจากฟ้าดินเข้ามาอย่างไม่สิ้นสุด

แต่ในขณะที่มู่เฉินดูดซับพลังงานได้อย่างรวดเร็ว เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังงานแปลกประหลาดที่กำลังปะปนอยู่ภายใน เมื่อมันถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายก็รู้สึกได้ถึงกระแสเลือดของเขาดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาเล็กน้อย

คลื่นหลิงในดินแดนเสินโซ่มีริ้วพลังงานที่สามารถปรับสภาพพลังกายได้ เมื่อตรวจสอบถึงต้นตอมู่เฉินก็พบว่าพลังนี้มาจากรัศมีรกร้างที่แผ่ไปทั่วฟ้าดิน

“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมดินแดนเสินโซ่จึงมีความสำคัญมากในโลกสัตว์อสูร การเพาะบ่มที่นี่มีประโยชน์อย่างมากต่อเผ่าสัตว์อสูรและเทพอสูร”

มู่เฉินชมเชยในใจ แม้หลังจากดูดซับคลื่นพลังมาได้ครึ่งวัน ความก้าวหน้าก็ยังไม่เทียบเท่ากับโคลนโลหิตชิ้นเดียว ทว่าคลื่นพลังนี้ไม่มีที่สิ้นสุด เขาไม่จำเป็นต้องค้นหาอย่างขมขื่นเหมือนกับที่ตามหาโคลนโลหิต ในระยะยาวการเพิ่มขึ้นนี้ก็ค่อนข้างน่าสะพรึงเลยทีเดียว

“ดูเหมือนว่าประสิทธิภาพการชำระในดินแดนเสินโซ่จะมีประโยชน์ต่อพลังกายมากจริงๆ…”

เมื่อสัมผัสถึงกระแสเลือดที่พลุ่งพล่านขึ้นในร่างกาย รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของมู่เฉิน เขายิ่งมีความคาดหวังต่อเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณมากขึ้น

ตราบใดที่เขาสามารถก้าวสู่ขั้นสองของวิชากายามังกรหงส์ เขาก็จะสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดได้ด้วยพลังกายเพียงอย่างเดียว!

เขาไม่เพียงแต่ต้องช่วยจิ่วโยวให้ได้รับเลือดศักดิ์สิทธิ์ของวิหคอมตะโบราณในการเดินทางมายังที่นี่ แต่เขายังต้องการที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งของตน เพื่อให้มีคุณสมบัติที่จะแข่งขันสำหรับวิวัฒนาการของร่างเทพสุริยะเมื่อวังสวรรค์บรรพกาลปรากฏ!

ในเวลาหนึ่งวันถัดมาทั้งสี่เดินทางโดยไม่หยุดพัก ภายใต้ความเร็วเต็มที่ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงพื้นที่แถบเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณ

ทั้งสี่คนปรากฏตัวขึ้นบนยอดเขาโดดเดี่ยว สายตามองไปในระยะไกลก็เห็นเมืองใหญ่กว้างหมื่นลี้ตั้งอยู่ในดงเขา

แม้ว่าเมืองนี้จะกลายเป็นซากปรักหักพังไปนานแล้ว แต่ก็สามารถบอกได้ว่าครั้งหนึ่งที่นี่เต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่ ในสมัยโบราณเมืองนี้จะต้องเป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ของดินแดนเสินโซ่แน่นอน

“นั่นคือเมืองต้าฮวางซึ่งเป็นขั้วอำนาจระดับต้นๆ ของดินแดนเสินโซ่สมัยโบราณ ในเมืองมีเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณที่หลงเหลืออยู่” จิ่วโยวชี้ไปที่เมืองโบราณและซากปรักหักพัง

มู่เฉินพยักหน้าก่อนจะหรี่ตากวาดมองรอบๆ “ดูเหมือนว่าแรงดึงดูดของเจดีย์นี้ค่อนข้างใหญ่โตเลยทีเดียว”

ประสาทสัมผัสของเขารับรู้ได้ถึงรัศมีทรงพลังที่พุ่งมาจากขอบฟ้าไกล เป้าหมายของคนเหล่านั้นก็คือเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณนี้เช่นกัน

นอกเหนือจากรัศมีของคนที่รีบเร่งมาแล้ว มู่เฉินก็ขมวดคิ้วขณะมองเมืองที่ถูกทำลาย ในนั้นมีคลื่นหลิงเบาบางกระเพื่อมไหวอยู่ไม่น้อย ชัดว่ามีบางคนมาถึงก่อนแล้ว

“หืม?”

ขณะที่มู่เฉินสัมผัสคลื่นหลิงผันผวนที่อยู่ในเมือง จู่ๆ ท่าทางก็เปลี่ยนไป ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางหนึ่ง มีแนวแสงยาวหลายเส้นพุ่งมาบนขอบฟ้า ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อแนวแสงเหล่านั้นเคลื่อนไหวเข้าใกล้ก็สัมผัสถึงพวกเขา ทันใดนั้นเสียงลมฉีกอากาศก็ดังก้องบนท้องฟ้าเหนือกลุ่มพวกเขา

“ฮ่าๆ ข้าก็สงสัยว่าใครกัน เป็นจิ่วโยวนี่เอง…ไม่มีข่าวเกี่ยวกับเจ้ามานานหลายปี ข้ายังคิดว่าเจ้าคว้าน้ำเหลวไปแล้ว…” ขณะที่ร่างเงาเหล่านั้นปรากฏ เสียงหัวเราะเอาแต่ใจของหญิงสาวคนหนึ่งก็ดังก้อง แม้ว่าน้ำเสียงของนางจะไพเราะ แต่คำพูดกลับประชดประชันน่าดู

เมื่อจิ่วโยวได้ยินคำพูดนั่น สีหน้าก็ดิ่งลงทันที นางเงยหน้าขึ้นคลี่รอยยิ้มเยาะออกมา “หลิ่วชิงดูเหมือนเจ้ายังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ที่ประลองกับข้านะ”

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นก็เห็นร่างเงาสี่ร่างปรากฏบนท้องฟ้า ในบรรดาทั้งสี่มีหญิงสาวสวมชุดสีเขียว นางมีรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น คิ้วประณีตดูเย้ายวนน่าดึงดูด แต่ตอนนี้กลับมีประกายแสงเย็นวูบไหวในดวงตาจากการตอกกลับของจิ่วโยว

มู่เฉินขมวดคิ้วขณะเฝ้ามองคนกลุ่มนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้ที่มาของอีกฝ่าย แต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน จิ่วโยวดูเหมือนจะไม่กินเส้นกับผู้หญิงชุดสีเขียวที่ถูกเรียกว่าหลิ่วชิง

“พี่ใหญ่มู่เฉิน พวกเขามาจากเผ่ากระเรียนฟ้า ในอดีตเผ่ากระเรียนฟ้าเคยส่งจอมยุทธ์รุ่นใหม่ไปยังเผ่าวิหคโลกันตร์เพื่อประลองกัน หลิ่วชิงพ่ายแพ้ให้พี่ใหญ่จิ่วโยว แต่ไม่คิดว่านางจะเป็นคนใจแคบจดจำเรื่องนี้ฝังแน่นในกระดูก” ขณะที่มู่เฉินงงงวย มั่วหลิงก็กระซิบบอก น้ำเสียงของนางไม่ได้มีความพอใจอะไรเกี่ยวกับหลิ่วชิงมากนัก

“เผ่ากระเรียนฟ้า?”

มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะพยักหน้า นี่เป็นเผ่าสัตว์อสูรที่ไม่ได้ด้อยกว่าเผ่าวิหคโลกันตร์ มิหนำซ้ำยังมีประวัติศาสตร์บางอย่าง พวกเขาสืบเชื้อสายเทพอสูรกระเรียนปีกทองคำ เมื่อใดที่สายเลือดตื่นขึ้น พวกเขาก็จะมีศักยภาพที่ไร้ขอบเขต

“ไม่คิดว่าฝีปากของเจ้าจะน่ากลัวกว่าเดิมซะอีก”

ขณะที่มู่เฉินและมั่วหลิงกำลังคุยกัน หลิ่วชิงก็เผยยิ้มเย็นชา จากนั้นก็มองไปที่มู่เฉินแล้วยกคิ้วขึ้น “ก่อนหน้าข้าได้ยินข่าวว่าเจ้าสร้างพันธะโลหิตกับมนุษย์ ข้าว่าเขาคือชายคนนี้ใช่ไหม?”

นางพิจารณามู่เฉินด้วยความจองหองในแววตาแฝงริ้วคำดูถูกเหยียดหยาม

“ระดับจื้อจุนขั้นหก… เจ้ายังกล้าพาเขามาที่ดินแดนเสินโซ่ด้วย ดูเหมือนว่าเขาสำคัญกับเจ้ามากแต่เจ้าต้องระวังหน่อยนะ หากเขามาตายที่นี่ เจ้าอาจจะต้องลงไปนอนข้างเขาก็ได้นะจิ่วโยว”

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดของนาง คิ้วก็ขมวดเข้าพร้อมกับแสงเยือกเย็นวูบไหวในดวงตา ทว่าเขาก็เพียงมองหลิ่วชิงแบบไม่แยแส ไม่ได้หัวร้อนจากการถูกเยาะเย้ยถากถาง แต่ความรังเกียจเพิ่มขึ้นในใจสำหรับผู้หญิงคนนี้หากมีโอกาสเขาจะสอนบทเรียนให้นางแน่

หลิ่วชิงเห็นมู่เฉินมีสีหน้าเฉยเมย ริ้วประหลาดใจก็วาบผ่านดวงตาไป ความสงบนิ่งที่มู่เฉินแสดงออกมาไม่เหมือนคนในช่วงวัยเขา

“เจ้าไม่ต้องกังวลแทนข้าหรอก หากเจ้าคิดว่าบทเรียนก่อนหน้ายังไม่พอ ข้าเล่นเป็นเพื่อนเจ้าได้ตลอดเวลาเลยนะ” จิ่วโยวพูดเสียงเยือกเย็น

“จริงรึ?”

มุมปากหลิ่วชิงโค้งขึ้นขณะที่หันหน้ามองไปกลุ่มคนข้างๆ “พี่ใหญ่จงเถิงน่าจะมาถึงเจดีย์แล้วใช่ไหม?”

“ฮ่าๆ ด้วยความเร็วของพี่ใหญ่จงเถิงจะมีใครในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดเทียบได้” จอมยุทธ์เผ่ากระเรียนฟ้าคนหนึ่งยิ้ม ขณะที่มองกลุ่มมู่เฉินด้วยท่าทางจะยิ้มก็ไม่เชิง

“จงเถิง?”

เมื่อจิ่วโยวได้ยินชื่อดังกล่าวก็อดไม่ได้ที่จะหดดวงตา ร่องรอยความประหวั่นพรั่นพรึงปรากฏขึ้น

พอเห็นปฏิกิริยานาง มู่เฉินก็อดรู้สึกสงสัยไม่ได้ เขาส่งเสียงถามไปทางมั่วหลิง “จงเถิงคือใคร?”

มั่วหลิงขมวดคิ้ว สีหน้าไม่สู้ดี “จงเถิงเป็นจอมยุทธ์รุ่นใหม่ที่โดดเด่นที่สุดของเผ่ากระเรียนฟ้า ว่ากันว่าเขาได้ปลุกสายเลือดกระเรียนปีกทองคำแล้วทำให้ทรงพลังอย่างมาก ครั้งหนึ่งเขาเคยต่อสู้กับอัจฉริยะของเผ่าหงส์ฟ้า แต่ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย ตอนนี้ชื่อเสียงของเขาล่ำลือมากในหมู่คนรุ่นใหม่ของโลกสัตว์อสูร”

ครั้นมู่เฉินได้ยินคำพูดนี่ เขาก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น มิน่าล่ะหลิ่วชิงถึงแสดงท่าทางยโสเช่นนี้ ที่แท้นางมีคนคอยหนุนหลังอยู่นั่นเอง

เมื่อหลิ่วชิงเห็นจิ่วโยวเงียบลง นางก็ยิ้มด้วยความอิ่มเอมใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่หัวเราะเบาๆ “ดูเหมือนว่าเป้าหมายของพวกเจ้าก็คือเจดีย์ฝึกพลังกายเหมือนกัน ก็ดี…ข้าจะขอพี่ใหญ่จงเถิงดูแลพวกเจ้าเอง”

คำว่า ‘ดูแล’ ถูกเน้นย้ำ ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่เข้าใจถึงความหมายที่อยู่เบื้องหลัง

“พูดมากซะจริง”

มู่เฉินยกเปลือกตาขึ้นพูดออกมาอย่างไม่แยแส

หลิ่วชิงอึ้งไปก่อนที่ความโกรธจะตีขึ้นจากคำพูดของมู่เฉิน ตอนนี้ใบหน้าของนางเขียวคล้ำ จากนั้นนางก็กัดฟันเขม่นมองมู่เฉินพลางเค้นเสียงเย็น “หวังว่าเจ้าจะยังยิ้มได้เมื่อพบกับพี่ใหญ่จงเถิง!”

หลังจากที่พูดจบนางก็สะบัดหน้าไม่คิดอยู่ต่อ ร่างกลายเป็นลำแสงพุ่งข้ามขอบฟ้าเข้าไปในซากเมืองอย่างรวดเร็ว

เมื่อมองไปร่างที่ไกลออกไป มู่เฉินก็หรี่ตาลง

จงเถิง…หวังว่าคนผู้นั้นจะไม่ขัดขวางโอกาสในการเข้าเจดีย์ มิฉะนั้นเขาก็ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครมาจากไหน งานนี้เขาจัดเต็มแน่นอน!

The Great Ruler | หนึ่งในใต้หล้า

The Great Ruler | หนึ่งในใต้หล้า

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป ‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้ แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์ แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง? ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน… The Great Thousand World. It is a place where numerous planes intersect, a place where many clans live and a place where a group of lords assemble. The Heavenly Sovereigns appear one by one from the Lower Planes and they will all display a legend that others would desire as they pursue the road of being a ruler in this boundless world. In the Endless Fire Territory that the Flame Emperor controls, thousands of fire blazes through the heavens. Inside the Martial Realm, the power of the Martial Ancestor frightens the heaven and the earth. At the West Heaven Temple, the might of the Emperor of a Hundred Battles is absolute. In the Northern Desolate Hill, a place filled with thousands of graves, the Immortal Owner rules the world. A boy from the Northern Spiritual Realm comes out, riding on a Nine Netherworld Bird, as he charges into the brilliant and diverse world. Just who can rule over their destiny of their path on becoming a Great Ruler? In the Great Thousand World, many strive to become a Great Ruler.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset