หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 986 ชุมนุม

เมื่อพวกหลิ่วชิงพุ่งนำหน้าเข้าไปในซากเมืองโบราณ

ทั้งสี่คนก็ไม่รอช้าต่างพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ร่างกลายเป็นลำแสงสี่สายทะยานตามไปเช่นกัน

เมื่อพวกเขาทั้งสี่เข้ามาถึงในซากเมือง ความรู้สึกไม่มีที่สิ้นสุดก็กวาดผ่านเข้ามา ภาพภูมิทัศน์ทำเอาดวงตาพร่ามัว เมืองโบราณขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าครรลองสายตาของพวกเขา

สิ่งปลูกสร้างในเมืองสูงตระหง่านเสียดเมฆเต็มไปด้วยความป่าเถื่อน เงานับไม่ถ้วนพาดผ่านขอบฟ้า ขณะที่สวรรค์และโลกมีแต่เสียงคำรามของสัตว์อสูร

เมื่อเสียงคำรามดังก้องในหู ดวงตาของกลุ่มมู่เฉินก็เป็นประกายวูบไหว ภาพไร้ขอบเขตเบื้องหน้าหายวับไปกับตา เมืองกลับมาเป็นซากปรักหักพังเหมือนเดิม

มู่เฉินและจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขารู้ว่าภาพก่อนหน้าเป็นภาพที่หลงเหลืออยู่ซึ่งไม่สามารถคงสภาพอยู่ได้นาน ส่งผลให้คนอื่นๆ รับรู้เล็กน้อยเท่านั้น

“น่าเสียดายสำหรับเมืองที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้” มู่เฉินถอนหายใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเมืองสง่างามนี้ เมื่อเทียบกันเมืองที่อยู่ภายใต้อาณาเขตกงเวทสวรรค์ของพวกเขาก็ไม่มีนัยสำคัญอะไรเลย

“ยังไงสถานที่แห่งนี้ก็เคยเป็นสถานที่ที่รุ่งเรืองที่สุดในดินแดนเสินโซ่” จิ่วโยวพยักหน้าเห็นด้วย บางทีในแง่ของความแข็งแกร่งแม้แต่เผ่าวิหคโลกันตร์ก็ยังสู้เมืองต้าฮวางในอดีตไม่ได้ ดังนั้นจึงสามารถบอกถึงพลังน่ากลัวที่เมืองนี้ครอบครอง

“ทว่าแม้พวกเขาจะทรงพลัง แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงชะตากรรมแห่งการทำลายล้างได้…” มู่เฉินถอนหายใจแผ่วเบา สำหรับมหาพันภพ จักรวรรดิปีศาจต่างมิติเป็นหายนะแท้จริง

ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน พวกเขาก็ไม่หยุดเคลื่อนไหว ร่างแสงบินข้ามขอบฟ้าตรงไปยังใจกลางเมือง

พวกเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนรกร้างมาจากทิศทางนั้น เห็นได้ชัดว่ามีเพียงเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณที่ยังหลงเหลือเท่านั้น ที่สามารถเปล่งพลังเช่นนี้ได้

“ไป!”

กลุ่มมู่เฉินดวงตาเปล่งประกาย ความเร็วระเบิดออกก่อนที่จะพุ่งผ่านมิติ เกือบหนึ่งชั่วโมงต่อมาพวกเขาถึงได้ค่อยๆ ลดความเร็วลง

วาบ!

ทั้งสี่มาปรากฏตัวบนหลังคาอาคารหินที่พังยับ สายตาแต่ละคู่จับจ้องไปที่พื้นเรียบเบื้องหน้า พื้นดินตรงบริเวณนั้นไม่ได้รับความเสียหายเหมือนในสถานที่อื่นๆ ของเมือง กลับได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ทั้งหมดนี้เห็นได้ชัดเพราะเจดีย์โบราณกะดำกะด่างที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลาง

เจดีย์นี้มีสีเทาดำสลักลวดลายโบราณบนพื้นผิว ราวกับถูกสร้างขึ้นมาตามธรรมชาติ การตั้งอยู่ในบริเวณนี้แม้ว่าจะไม่ได้น่าเกรงขาม แต่เมื่อสายตามองไป การหายใจของผู้คนก็ต้องชะงักลง ความกดดันที่น่ากลัวส่งผลให้พวกเขารู้สึกเจ็บปวดในร่างกายเหมือนกำลังจะถูกทำลาย

“นี่คือเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณรึ?”

มู่เฉินมองไปที่เจดีย์ก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่พวยพุ่ง สายตาค่อยๆ ร้อนระอุ แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้เข้าไป แต่เพียงเข้าใกล้ก็ทำให้เขารู้สึกถึงเลือดเนื้อกำลังเดือดพล่าน ความรู้สึกนี้เกือบจะทำให้เขาสูญเสียการควบคุมตัวเองและพุ่งเข้าใส่

ทว่าเขาก็ยังข่มใจตัวเองได้อย่างหนักแน่น แม้ว่าเจดีย์กะดำกะด่างที่เบื้องหน้าจะดูเหมือนผ่านกาลเวลาเกินจะนับได้และให้ความรู้สึกแตกสลาย แต่มู่เฉินก็ยังสามารถสัมผัสได้ว่าเจดีย์นี้น่ากลัวเพียงใด ถ้าเขาพุ่งเข้าไปข้างในโดยไม่ยั้งคิด คงจะถูกทำให้กลายเป็นเถ้าถ่านในทันที

“ไม่ต้องพูดถึงเจ้า แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นก็ไม่กล้าที่จะพุ่งเข้าไปในเจดีย์นี้แบบไม่ยั้งคิด” จิ่วโยวดูเหมือนจะมองเห็นความคิดในใจของมู่เฉินได้จึงเอ่ยเตือน

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนั่นหัวใจก็สั่นเทิ้ม แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าเจดีย์นี้น่ากลัวเพียงใด แต่เขาก็ไม่คิดว่าแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ไม่กล้าที่จะทะเล่อทะล่าเข้าไป ดูเหมือนว่าเขาประเมินสิ่งก่อสร้างโบราณนี้ต่ำเกินไป

แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่คิดไว้เช่นกัน เนื่องจากเจดีย์นี้สร้างขึ้นจากทรัพยากรมหาศาลของขั้วอำนาจชั้นยอด ดังนั้นจะไม่น่าสะพรึงกลัวได้อย่างไร? มิฉะนั้นเจดีย์คงจะไม่อยู่ยงมาจนถึงทุกวันนี้ขณะที่ดินแดนเสินโซ่แทบไม่เหลือสภาพ

“ดูเหมือนว่าเจดีย์นี้จะดึงดูดผู้คนมามากเลยทีเดียว” สายตาของมั่วเฟิงละจากเจดีย์ ก่อนจะหรี่ตามองไปรอบๆ

ขณะที่มั่วเฟิงกวาดสายตาไปรอบๆ มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงสายตาเฉียบคมกราดเข้ามาห่อหุ้มร่างพวกเขาเอาไว้

มู่เฉินเลิกคิ้วก่อนที่จะมองไปยังทิศทางนั่น มองเห็นคนสี่คนยืนอยู่บนยอดเขาเหี้ยนเตียน

ทั้งสี่คนมีร่างกายกำยำราวกับหอคอยเหล็ก พวกเขาสวมชุดเกราะสีดำ รัศมีร้ายกาจหนาแน่นแผ่ออกมา ม่านตามีริ้วสีแดงเข้มผสมอยู่ มีเขาแรดโค้งอยู่ที่หน้าผาก ราวกับว่าสามารถแทงทะลุอวกาศได้

“นั่นเผ่าแรดอสูร… ไม่คิดว่าพวกเขาจะมาที่นี่ด้วย คนพวกนี้ฝึกฝนด้านพลังกายและมีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ เมื่อพวกเขาต่อสู้กับคนอื่นก็ราวกับปีศาจร้ายบ้าคลั่ง ยากมากที่จะจัดการ” จิ่วโยวมองไปพลางพูด

มู่เฉินพยักหน้า แม้ว่าจะมีระยะห่างระหว่างพวกเขา แต่ก็ยังสามารถรู้สึกถึงร่างทรงพลังทั้งสี่ที่อาจทำให้ภูเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้ด้วยการออกกระบวนท่า

ในบรรดาสี่คน คนที่เป็นผู้นำน่ากลัวที่สุด

“ผู้นำกลุ่มเป็นจอมยุทธ์อัจฉริยะรุ่นใหม่ของเผ่าแรดอสูรชื่อว่าหานซัน…” จิ่วโยวกวาดตามองไปที่ร่างหุ้มเกราะสีดำที่อยู่หน้าสุดก็กระซิบบอก “ได้ข่าวว่าเขาก้าวเข้าระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดแล้วบวกกับร่างกายที่ทรงประสิทธิภาพ พลังในการต่อสู้ถือว่ายอดเยี่ยมมาก”

ขณะที่พูดใบหน้าของจิ่วโยวก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดเล็กน้อย เนื่องจากนางรู้ว่ากระทั่งพละกำลังทั้งหมดของตัวนางก็สามารถต่อสู้เสมอตัวกับหานซันได้เท่านั้น

มู่เฉินหดดวงตาลง หานซันเป็นจอมยุทธ์ที่น่ากลัวอย่างแท้จริง

“ส่วนทางทิศตะวันตกเป็นเผ่ากระเรียนไฟ… ฝั่งนู้นยังมีเผ่ามังกรวานร… เผ่ากระเรียนกลืนกิน…ทีนี่น่าตื่นเต้นซะแล้ว” มั่วเฟิงกวาดมอง สายตาก็เคร่งเครียดลง

เมื่อมู่เฉินได้ยินชื่อของเผ่าเหล่านั้น คิ้วก็กระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ที่พูดมาล้วนเป็นเผ่าสัตว์อสูรที่มีชื่อเสียงในมหาพันภพ ไม่คิดว่าทั้งหมดจะมารวมตัวกันที่นี่

ดูเหมือนว่าจะเกิดการต่อสู้ดุเดือดเพื่อแข่งขันเข้าสู่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณแน่แล้ว

ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจ แววตาก็เปลี่ยนไปเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาครอบงำพุ่งเข้ามาโอบล้อมพวกเขา

มู่เฉิน จิ่วโยว มั่วเฟิงและมั่วหลิงรู้สึกถึงสิ่งนี้เช่นกัน จึงปรายตามองไปในทิศนั้น บนซากปรักหักพังมีคนห้าคนยืนอยู่ นั่นคือหลิ่วชิงและพวกอีกสามคนที่ฟาดสงครามน้ำลายใส่กันเมื่อครู่

เห็นได้ชัดว่าทั้งห้ามาจากเผ่ากระเรียนฟ้า

หากเป็นเช่นนั้นผู้นำของพวกเขาก็คือจอมยุทธ์อัจฉริยะรุ่นใหม่ของเผ่ากระเรียนฟ้าที่หลิ่วชิงพูดถึง…จงเถิงสินะ

เมื่อคิดถึงตรงนี้มู่เฉินก็หันไปมอง คนที่ยืนเบื้องหน้าหลิ่วชิงสวมเสื้อผ้าสีดำเอามือไพล่หลัง เขาไม่ได้มีรูปร่างกำยำตรงกันข้ามกลับดูค่อนข้างบอบบาง แต่ภายใต้การแสดงออกที่ไม่แยแส มีความครอบงำหลั่งไหลท่วมท้นจนปิดไม่มิด ซึ่งทำให้จอมยุทธ์หลายคนที่นี่มองเขาด้วยความกลัวในสายตาไม่มากก็น้อย

มู่เฉินจ้องมองจงเถิงม่านตาก็หดลง จากอีกฝ่ายเขารู้สึกได้ถึงรัศมีอันตราย ชายคนนี้เห็นได้ชัดว่าไม่อ่อนแอกว่าหานซันเผ่าแรดอสูรเลย

จงเถิงจ้องมองมา น้ำเสียงแผ่วเบาสะท้อนก้อง “หลายปีก่อนตอนที่เผ่ากระเรียนฟ้าและเผ่าวิหคโลกันตร์ประลองกัน ข้ากำลังเข้าสมาธิฝึกฝน ทำให้เผ่าเจ้าแย่งชัยชนะไปได้ แต่ไม่เป็นไรครั้งนี้ถ้ามีโอกาสข้าจะขอลองเป็นการส่วนตัว มาดูสิว่ากลุ่มวิหคโลกันตร์จะมีความสามารถอย่างแท้จริงหรือไม่”

เมื่อจิ่วโยวได้ยินคำพูดของเขา แววตาก็เปลี่ยนเป็นเย็นเยือกพูดอย่างเย็นชาว่า “ข้ารับคำท้าตลอด”

จงเถิงเค้นเสียงเย็นขึ้นจมูกไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไป เขาหลับตาลง สายตาจับจ้องที่จิ่วโยวและมั่วเฟิง ส่วนมู่เฉินและมั่วหลิงเป็นม้านอกสายตาอีกครั้งแล้ว

ที่ด้านหลังจงเถิง หลิ่วชิงมองดูกลุ่มมู่เฉินด้วยท่าทางจองหอง นางคงคิดว่าเผ่าวิหคโลกันตร์ถึงวาระต้องลากลับแล้ว

“ท่าทางจะเกิดศึกดุเดือดที่เจดีย์นี้แน่” จิ่วโยวละสายตา ก่อนที่จะมองไปรอบๆ และพูดช้าๆ

ไม่ต้องพูดถึงจงเถิงแม้แต่อัจฉริยะของกลุ่มสัตว์อสูรอื่นๆ ก็เป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งมาก

มู่เฉินพยักหน้า แม้ว่าจอมยุทธ์จะรวมตัวกันที่นี่ราวกับหมู่เมฆแต่เขาก็ไม่กลัว ถึงเขาจะมีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น แต่ราคาสำหรับการประเมินเขาต่ำเกินไปก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถทนได้

อัจฉริยะแล้วไง คนอย่างเขาไม่เคยกลัว

มู่เฉินถอนสายตาออก เขารู้ว่าแม้เหล่าจอมยุทธ์จะมารวมตัวกันในสถานที่แห่งนี้ แต่ทุกคนก็ยังสนใจในเรื่องของตนเองเท่านั้น แต่เมื่อไรที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณเปิดออก ทุกคนที่นี่ก็จะเปิดเผยเขี้ยวเล็บออกมา…

ในเวลานั้นจะต้องเกิดพายุโลหิตแน่นอน

มู่เฉินหลับตาพัก ขณะรออย่างเงียบๆ

เวลาค่อยๆ ผ่านไปภายใต้การรอคอย พริบตาครึ่งวันก็ผ่านไป กลุ่มสัตว์อสูรที่มาถึงก็มากขึ้นจนเต็มพื้นที่ แต่แม้จำนวนผู้คนจะเพิ่มมากขึ้น สถานที่แห่งนี้ก็ยังคงเงียบสงบ เพียงแต่ว่าทุกคนรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือดที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น

เวลาไหลผ่านจนกระทั่งแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาจากขอบฟ้า แสงนี้ราวกับเพลิงพลุ่งพล่านออกมาแล้วตกลงบนยอดเจดีย์

จังหวะเดียวกันคลื่นหลิงรอบตัวของเหล่าจอมยุทธ์เผ่าต่างๆ ก็ระเบิดออกพลางทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

ดวงตาที่ปิดสนิทของมู่เฉินก็เปิดฉับ ความคมชัดวาบผ่านในม่านตาสีดำ

ในที่สุดเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณก็เปิดแล้ว!

The Great Ruler | หนึ่งในใต้หล้า

The Great Ruler | หนึ่งในใต้หล้า

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป ‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้ แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์ แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง? ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน… The Great Thousand World. It is a place where numerous planes intersect, a place where many clans live and a place where a group of lords assemble. The Heavenly Sovereigns appear one by one from the Lower Planes and they will all display a legend that others would desire as they pursue the road of being a ruler in this boundless world. In the Endless Fire Territory that the Flame Emperor controls, thousands of fire blazes through the heavens. Inside the Martial Realm, the power of the Martial Ancestor frightens the heaven and the earth. At the West Heaven Temple, the might of the Emperor of a Hundred Battles is absolute. In the Northern Desolate Hill, a place filled with thousands of graves, the Immortal Owner rules the world. A boy from the Northern Spiritual Realm comes out, riding on a Nine Netherworld Bird, as he charges into the brilliant and diverse world. Just who can rule over their destiny of their path on becoming a Great Ruler? In the Great Thousand World, many strive to become a Great Ruler.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset