ฉ่า!
เมื่อคลื่นหลิงรอบตัวมู่เฉินหายไป แสงสีแดงก็แผ่ซ่าน อุณหภูมิสูงน่าสะพรึงก็พัดเข้ามาทุกทิศทาง
ผิวหนังของมู่เฉินถูกกัดกร่อนด้วยแสงสีแดง ความเจ็บปวดรุนแรงพุ่งมาจากทุกรยางค์ในร่าง ทำให้เขาต้องสูดหายใจลึกสุดปอด
“นรกเอ้ย…”
มู่เฉินสาปแช่ง ด้วยความคิดในใจแสงสีทองก็ระเบิดออกมาจากร่าง บนแผ่นอกลวดลายมังกรแท้จริงก็ตื่นขึ้นแล้วเคลื่อนตัวไปรอบๆ ในเวลาเดียวกันแผลไฟไหม้ก็สมานกันอย่างรวดเร็ว
ไอความเย็นเบาบางกระจายออก ช่วยลดความเจ็บปวดรุนแรงลงหลายส่วน
เมื่อรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ลดลงมู่เฉินก็โล่งใจ โชคดีที่ร่างกายเขาไม่ได้อ่อนแอ ไม่อย่างนั้นคงยากที่จะทนต่อแสงสีแดงน่ากลัวนี้
“ต่อไปขอข้าลิ้มรสหน่อยว่าเจดีย์ฝึกพลังกายชั้นแรกจะน่ากลัวขนาดไหน”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองทะเลทรายในระยะไกล ร่องรอยความไม่ยอมแพ้ก็ปรากฏขึ้นในรูม่านตาสีดำ จากนั้นเขาก็ไม่ลังเลก้าวย่างลงจากแท่นหินเดินเข้าไปในทะเลทราย
หลังจากไตร่ตรองไปครู่หนึ่ง เขาก็ไม่ได้เลือกเหาะเหินผ่านทะเลทรายแห่งนี้ แต่เลือกวิธีที่ช้าที่สุดโดยการเดินด้วยเท้าทั้งสองอันมั่นคง เนื่องจากเขาตัดสินใจที่จะใช้แสงสีแดงนี้ชำระร่างกาย จึงต้องเลือกวิธีที่ยากที่สุด
ชี่!
เมื่อฝ่าเท้าของมู่เฉินเหยียบลงไปบนพื้นทราย ควันสีขาวก็ลอยขึ้นมา เพียงแค่ก้าวแรกเขาก็รู้สึกเหมือนว่ากำลังเดินเข้าสู่บ่อลาวาเหลว
ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเรื่องนี้มากนัก ขณะที่ก้าวเดินเขาก็อดทนต่อแสงสีแดงที่กำจายลงมา สองเท้าเริ่มออกเดินเข้าไปในส่วนลึกของทะเลทรายทีละก้าว…ละก้าว
ด้านนอกเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณ
จอมยุทธ์เผ่าต่างๆ ล้วนมุ่งความสนใจไปที่เจดีย์หินนี้ สายตาของพวกเขายึดติดอยู่ที่ชั้นแรกของเจดีย์ ซึ่งมีแสงบางส่วนรวมตัวกันก่อตัวเป็นหน้าจอแสง แม้ว่าจะไม่เห็นร่างเงาในนั้นชัดเจน แต่ก็มีแสงกะพริบขึ้นมาสิบจุด
จุดแสงเหล่านี้แทนจอมยุทธ์ทั้งสิบที่เข้าสู่เจดีย์ ทุกจุดจะเป็นตัวแทนของหนึ่งคน ด้วยคลื่นหลิงที่กระเพื่อมไหว ทำให้คนภายนอกสามารถกะได้อย่างคร่าวๆ
ขณะนี้จุดแสงเก้าจุดกำลังพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง
“จงเถิงเผ่ากระเรียนฟ้าเป็นคนแรก …” ทุกคนจ้องมองไปที่จุดแสงที่นำหน้า จากนั้นก็รู้ตัวตนของเขาได้จากคลื่นพลังงาน ซึ่งคนที่นำหน้าก็คือจงเถิงนั่นเอง
“จงเถิงปลุกสายเลือดกระเรียนปีกทองคำจึงครอบครองความเร็วที่ไม่ธรรมดา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะนำหน้าคนอื่น…”
“หานซันกับสีคุนก็ไม่ได้ทิ้งห่างจากกันมากนะ…”
“เหล่าอัจฉริยะที่เหลือก็ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา น่าจะมีโอกาสเข้าสู่ชั้นสองกันอยู่…” ที่ด้านนอกความสนใจของทุกคนอยู่ที่เจดีย์ บทสนทนาทุกประเภทดังไปทั่ว
“หืม เหมือนมีคนหนึ่งไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวเลยใช่ไหม?”
ขณะที่ทุกคนพูดกัน เสียงหัวเราะบาดแหลมของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังก้องขึ้น “จากระลอกคลื่นพลังที่กระเพื่อมอยู่ดูเหมือนจะเป็นมนุษย์จากเผ่าวิหคโลกันตร์นะ… ท่าทางค่ายกลจะไม่มีประโยชน์ในเจดีย์ฝึกพลังกายเลยเนอะ”
ทุกคนอึ้งไปเมื่อสังเกตเห็นว่าขณะที่ทั้งเก้าจุดเคลื่อนไปสู่ชั้นสองอย่างรวดเร็ว ก็ยังมีจุดจุดหนึ่งที่ไม่ได้ขยับเขยื้อน!
ทุกคนแลกเปลี่ยนสายตากันแล้วเหลือบมองไปที่จิ่วโยวและมั่วหลิงด้วยแววตาน่าสนุก ก่อนหน้านี้กลยุทธ์ของมนุษย์ผู้นี้น่าตื่นตาตื่นใจนัก ไม่คิดว่าเมื่อเข้าสู่เจดีย์จะน่าสังเวชเช่นนี้ เสียประโยชน์จริงๆ
ใบหน้าของจิ่วโยวเคลือบด้วยไอเยือกเย็น นางจ้องมองคนที่ล้อเลียน ซึ่งก็คือหลิ่วชิงจากเผ่ากระเรียนฟ้า หลังจากที่มู่เฉินซัดจงฮั้วจนสะบักสะบอม นางก็หุบปากไปนาน ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะแกว่งปากหาเสี้ยนขึ้นมาอีกในตอนนี้ น่ารังเกียจเหลือเกิน
“ฮิๆ จิ่วโยวมองข้าก็ไม่มีประโยชน์นะ ดูเหมือนตำแหน่งที่พวกเจ้าต่อสู้จนเลือดตาแทบกระเด็นจะสูญเปล่าซะแล้ว ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดายจริงๆ” เมื่อหลิ่วชิงเห็นสีหน้าของจิ่วโยว นางก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มดีใจ ราวกับว่าได้ระบายความขุ่นเคืองลงไปหลายส่วน
“อย่าสำลักความสุขเกินไปนะ ระงับอกระงับใจบ้างเดี๋ยวจะเงยหน้าขึ้นไม่ได้อีกในภายหลัง” จิ่วโยวยกเปลือกตาขณะที่เค้นเสียง
หลิ่วชิงหัวเราะเสียงพลิ้ว “โอ้? งั้นข้าจะตั้งตารอให้ถึงตอนนั้นเชียวล่ะ”
จิ่วโยวปรายตามองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก นางเลื่อนสายตาจ้องจุดแสงหนึ่งในเจดีย์ ก่อนที่คิ้วจะย่นเข้าหากันเบาๆ
“พี่ใหญ่จิ่วโยว พี่ใหญ่มู่เฉินกำลังทำอะไรอยู่น่ะ?” มั่วหลิงอดไม่ได้ที่จะกระซิบกระซาบถามอย่างสงสัย
จิ่วโยวยิ้มส่ายหน้าอย่างขมขื่น สายตาก็ฉายความสงสัย แม้ว่าเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณจะผ่านไปได้ยาก แต่ก็ไม่น่าจะเลวร้ายพอที่จะหยุดเขาตั้งแต่ชั้นแรก
จะต้องมีเหตุผลอื่นสำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน หรือว่าตอนที่เพิ่งเข้าไปเขาถูกรุมจากพวกที่เหลือแล้วได้รับบาดเจ็บ?
ความคิดนี้แล่นขึ้นในใจแวบเดียว ในบรรดาทั้งเก้าคน นอกเหนือจากจงเถิงและชายชุดดำเผ่าอีกาสายฟ้า คนที่เหลือก็ไม่ได้มีความแค้นอะไรกับเผ่าวิหคโลกันตร์ จากพื้นฐานทั้งสองคนนั่นยังไม่พอที่จะบีบให้มู่เฉินเข้าสู่สภาวะที่น่าสมเพชได้
นอกจากนี้ยังมีมั่วเฟิงอยู่ข้างๆ
“มู่เฉิน…เจ้ากำลังทำอะไรน่ะ?” จิ่วโยวจ้องมองเจดีย์พลางกำมือเบาๆ จากนั้นก็พึมพำกับตัวเอง
แสงสีแดงสาดส่องลงบนทะเลทราย
โอบล้อมรอบพื้นที่เอาไว้จนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ซ่า ซ่า
ในทะเลทรายไร้ชีวิต เสียงฝีเท้ามั่นคงดังกึกก้อง หากมองไปก็จะเห็นคนคนหนึ่งกำลังก้าวเดินผ่านทะเลทรายไปอย่างช้าๆ
ชี่! ชี่!
เลือดหยดลงมาจากใบหน้ามู่เฉิน ก่อนที่จะตกลงสู่พื้นดินก็ระเหยไป ยามนี้ผิวของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ จนถึงจุดที่กระทั่งเลือดเนื้อยังเผยออกมาภายใต้อุณหภูมิสูง
ความเจ็บปวดที่น่าสยดสยองกัดกร่อนจิตใจมู่เฉินอยู่ทุกช่วงเวลา ทำให้เขาเกือบล้มพับลงไป
แต่ถึงแม้จะเจ็บปวดรุนแรง แต่ฝีเท้าของมู่เฉินก็ยังช้าและหนักแน่น แม้จะมีอาการปวดแสบปวดร้อนพล่านออกมาจากร่างกาย เขาก็ไม่ได้หยุดเดิน
นั่นเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ว่าเมื่อแสงสีแดงน่าสยดสยองแทรกซึมเข้ามาในร่างกาย แม้จะเกิดปฏิกิริยาปวดแสบปวดร้อน แต่เมื่อความเจ็บปวดรุนแรงพุ่งขึ้นถึงขีดสุด ร่างกายของเขาก็ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายดูเหมือนจะกลืนกินแสงสีแดงที่ทะลุผิวหนังเข้าไป
ทุกครั้งที่ร่างกายกลืนกินริ้วแสงสีแดง ก็จะมีพลังงานระเบิดปรากฏขึ้นอย่างเงียบๆ บนร่างของเขาที่มีแผดเผาจนแห้งกรอบ กลับมีคลื่นพลังความน่าพิศวงและกระฉับกระเฉงมารวมตัวกันอยู่ในส่วนลึก
แม้ว่าแสงสีแดงที่นี่จะสร้างความเจ็บปวดทั่วสรรพางค์กาย แต่ร่างกายของเขาก็จะได้รับการปรับแต่ง เมื่อเขาก้าวผ่านความเจ็บปวดรุนแรงได้
“แบบนี้จริงๆ…”
มือของมู่เฉินที่เหมือนถูกลอกหนังออกกำแน่นขึ้น เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงพลังเต็มประสิทธิภาพที่เกิดขึ้นหลังจากความเจ็บปวดรุนแรง
เขาเดินในทะเลทรายแค่หนึ่งชั่วโมงก็เกือบจะคลั่งแล้ว ทว่าการเพิ่มพูนของพลังกายก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเมินเฉยได้
ในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงความแข็งแกร่งของพลังกายที่เพิ่มขึ้นไม่ด้อยกว่าการดูดซับตัวอ่อนโคลนโลหิตเลย
ลวดลายมังกรแท้จริงขยับเขยื้อนไปบนแผ่นอก เกล็ดบนร่างก็ดูแวววาวยิ่งขึ้น ส่วนลวดลายหงส์ฟ้าก็สยายปีกออกมา
ที่สำคัญที่สุดคือลวดลายทั้งสองเปิดดวงตาขึ้นมาอีกเล็กน้อย…
การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ทำให้ริมฝีปากของมู่เฉินยกโค้งอยู่นาน แต่การเคลื่อนไหวเล็กน้อยนี้ทำให้ร่างกายสั่นเทาและความเจ็บปวดก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ เขาเงยหน้ามองไปในระยะไกล ในส่วนลึกของม่านตาสีดำความสุขร้อนแรงก็พวยพุ่งออกมา เขาสามารถรับรู้ได้ว่าร่างกายเริ่มคุ้นชินกับแสงสีแดงแล้ว
นอกจากนี้หากกระบวนการนี้ยังคงดำเนินการต่อไป ก็มีความเป็นไปได้ว่าเขาจะสามารถบรรลุขั้นสองของคัมภีร์หลงเฟิ่งในเจดีย์แห่งนี้ ในเวลานั้นพลังกายของเขาจะแข็งแกร่งจนถึงจุดที่เขาปรารถนา
เว้นแต่เขารู้สึกได้ว่าเมื่อร่างกายค่อยๆ คุ้นชินกับแสงสีแดงในชั้นหนึ่ง การเพิ่มประสิทธิภาพของพลังกายก็เริ่มช้าลง น่าจะอีกไม่นานชั้นแรกก็จะไม่เป็นอุปสรรคต่อเขาอีก…
มู่เฉินเลียริมฝีปากแห้งผากไม่ลังเลอีกต่อไป เขาย่ำเท้าเดินหน้าต่อ ปล่อยให้ร่างดิ้นรนเงียบๆ ภายใต้แสงสีแดง
ขณะที่มู่เฉินเคลื่อนตัวช้าๆ ในชั้นแรก
เขาก็ไม่รู้ว่าเกิดความปั่นป่วนด้านนอกเจดีย์ ทว่าส่วนใหญ่เป็นอาการเยาะเย้ยถากถาง
“คิกๆ จิ่วโยวข้ารอมาครึ่งค่อนวันแล้วยังไม่เห็นมีอะไรน่าประหลาดใจเลย ไม่สิ…ผู้ชายคนนั้นก็ไม่ได้อยู่นิ่ง เขาขยับตัวด้วยความเร็วปานหอยทากพิการต่างหาก…” เสียงหัวเราะร่าเริงของหลิ่วชิงดังก้องขึ้น ซึ่งอัดแน่นด้วยความสะใจ
“แม้เผ่าวิหคโลกันตร์จะมีความสามารถ แต่ก็ไม่ดีเลยนะที่สูญเสียที่นั่งไปเปล่าๆ ต้องรู้ว่าหลายเผ่าไม่ได้แม้แต่ตำแหน่งเดียว”
หลิ่วชิงปากคอเราะรายแท้จริง นางตั้งใจเรียกความเกลียดชังมาให้กับจิ่วโยว นอกจากนี้คำพูดของนางก็ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ เมื่อนางเอื้อนเอ่ยก็มีสายตาจ้องมองไปที่จิ่วโยวและมั่วหลิง แววตาทั้งหมดมีแต่ความไม่เต็มใจและความแค้นเคือง
จิ่วโยวสาดสีหน้าเย็นชาแต่ไม่พูดอะไร ดวงตายังคงจับจ้องอยู่บนหน้าจอแสง จุดแสงในชั้นแรกยังคงเคลื่อนที่ไปอย่างเชื่องช้า
ราวกับว่าเขาไม่มีแรงที่จะไล่ตามคนอื่นแล้ว
ทว่าขณะที่จ้องมอง จิ่วโยวก็ต้องหดดวงตาทันที เนื่องจากนางรู้สึกได้ว่าจุดแสงที่เคลื่อนไหวช้าหยุดกะทันหัน
“มู่เฉิน… เขาเดินต่อไม่ไหวแล้วเหรอ?”
ในทะเลทราย
ฝีเท้าของมู่เฉินหยุดลง เขาเงยหน้าขึ้นจ้องมองไปดวงอาทิตย์สีแดงฉ่ำ จากนั้นมุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ
“พอสำหรับชั้นแรกแล้ว…”
มู่เฉินพึมพำ ก่อนหน้าเขารู้สึกอย่างชัดเจนว่าร่างกายปรับตัวเข้ากับสถานที่นี้ได้อย่างสมบูรณ์ ความเจ็บปวดรุนแรงลดลงอย่างมีนัย ขณะเดียวกันการเพิ่มประสิทธิภาพของพลังกายก็ช้าลง
การชำระพลังกายในชั้นแรกมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
“ขอบคุณมาก…”
มู่เฉินยืดตัว ยิ้มให้กับดวงอาทิตย์ ก่อนที่แสงสีทองจะกระเพื่อมไหวบนร่างกาย ผิวหนังที่ถูกแผดเผาฟื้นสภาพทันที จากนั้นเขาก็จ้องมองไปที่ระยะไกล
ตอนนี้พวกนั้นน่าจะใกล้เข้าถึงชั้นสองแล้วมั้ง?
อย่างนั้นมาลองดูว่าเขาจะสามารถไล่ตามพวกเขาได้หรือไม่…