บนที่ราบทุนดรา
ลมพายุกรูเข้ามานำพาไอเย็นเยือกสีฟ้ากระจายออกไปทุกหัวระแหง ด้วยลมเย็นสุดขั้วนี้ทำให้ดินแดนแห่งนี้ราวกับดินแดนมรณะ
ภายใต้สภาพที่เลวร้ายแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกหรือขั้นเจ็ดก็ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นาน มิฉะนั้นผลที่ตามมาก็คือการทำลายล้าง
ทว่าขณะที่ลมพายุพัดเอาความเย็นเยือกไหลเข้ามาในดินแดนที่โหดร้ายแห่งนี้ ก็มีร่างเงาสูงโปร่งกำลังก้าวเดินจากระยะไกล
คนคนนั้นเดินช้ามาก ราวกับว่าใช้กำลังมหาศาลในทุกย่างก้าว ทว่าแม้จะมีฝีเท้าที่เชื่องช้าแต่กลับมั่นคงและแข็งแกร่งจนถึงจุดที่แม้แต่พายุก็ไม่สามารถสั่นคลอนเขาได้
ชายคนนี้ก็คือมู่เฉิน ซึ่งเริ่มใช้ประโยชน์จากเจดีย์ชั้นสองเพื่อฝึกฝนพลังกาย
ชี่!
สายลมและไอเย็นเยือกสีฟ้ากวาดไปทั่วร่าง ทิ้งบาดแผลลึกลงบนผิวหนัง ซึ่งลึกมากจนสามารถมองเห็นกระดูกได้ แต่ขณะที่ผิวหนังกำลังฉีกขาดออกจากกันกลับไม่มีเลือดแม้แต่หยดเดียว บริเวณบาดแผลวูบไหวด้วยแสงสีฟ้าจางๆ
ร่างของมู่เฉินกระตุก เขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องความเจ็บปวดที่ร่างถูกฉีกขาด แต่เมื่อบาดแผลเปิดออก ไอเย็นก็แทรกซึมเข้าไปในบาดแผล ทำให้กล้ามเนื้อของเขาถูกแช่แข็ง ความปวดตีตามมาขึ้นมาจากนั้น
เท้าของมู่เฉินแข็งทื่ออยู่กลางอากาศก่อนที่จะย่ำลงไปด้วยปลายเท้าที่สั่นเทา คิ้วที่ขมวดแน่นก็ผ่อนคลายลง
เมื่อความเจ็บปวดมาถึงขีดสุด ความเย็นที่ทิ่มแทงก็ค่อยๆ หายไป เนื้อหนังที่ตายแล้วก็ค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้นใหม่ มู่เฉินสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเลือดเนื้อของเขาที่เกิดใหม่เหนียวแน่นยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เมื่อสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงในกล้ามเนื้อ มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจในใจ จากนั้นเขาก็อดยิ้มอย่างขมขื่นไม่ได้ การเพาะบ่มพลังกายของเขายากเย็นแสนเข็ญ ความเจ็บปวดที่เขาต้องแบกรับเกินกว่าการเพาะบ่มขุมพลังหลิง มิน่าล่ะจอมยุทธ์จำนวนมากถึงเน้นการฝึกฝนอยู่กับการเพาะบ่มขุมพลังหลิงมากกว่า
แต่การสัมผัสได้ว่าพลังกายแข็งแกร่งขึ้นเรียกว่ายอดเยี่ยมมาก
เมื่อปลอบใจตัวเอง มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ก้าวเดินต่อไปอีกครั้ง…
บนดินแดนเย็นเยือก ร่างอ่อนเยาว์ก้าวย่างออกไปขณะที่บาดแผลโหดร้ายปรากฏอยู่บนร่างไปทั่ว แต่ถึงกระนั้นเขายังคงอดทน กดความขมขื่นปรับพลังกายผ่านกระบวนการทุกข์ทรมานนี้
ขณะที่มู่เฉินเดินช้าๆ ผ่านเจดีย์ชั้นสอง
บรรยากาศนอกเจดีย์ก็ผิดแผกไป ที่มาก็เกิดจากเขานั่นเอง
นั่นเป็นเพราะบนหน้าจอชั้นสองจุดไฟที่เป็นตัวแทนของมู่เฉินล้าหลังคนอื่นไปอีกครั้ง
ฉากนี้ทำให้เหล่าจอมยุทธ์งงงวย หากเป็นเมื่อครู่พวกเขาคงจะเยาะเย้ยมู่เฉินไปแล้ว แต่หลังจากเหตุการณ์ก่อนหน้าที่พลิกตาลปัตรไปมา พวกเขาก็ไม่กล้ามีความคิดเช่นนั้นอีก
แม้แต่หลิ่วชิงก็ไม่ได้หัวเราะเยาะ แม้จะเป็นคนใจแคบแต่นางไม่ใช่คนโง่ ก่อนหน้านี้นางก็หน้าแตกยับไปครั้งหนึ่งเพราะมู่เฉิน ถ้าครั้งนี้นางไปหัวเราะเยาะเขาอีกก็สมองมีปัญหาแล้วจริงๆ
ดังนั้นนางจึงได้แต่สับสนเมื่อมองไปที่จุดแสง ริมฝีปากอ้าๆ หุบๆ หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็กลืนคำพูดลง เพียงแค่ถลึงตามองไปที่จิ่วโยวพลางสาปแช่งในใจ ขอให้มู่เฉินกลับสู่สภาพเดิม เมื่อไรที่จงเถิงผ่านชั้นสาม นางก็จะทำให้จิ่วโยวอับอายอย่างสาสม
“พี่ใหญ่จิ่วโยว พี่ใหญ่มู่เฉิน เขา…” ใบหน้าของมั่วหลิงอัดแน่นด้วยความขมขื่นอีกครั้ง สถานการณ์ของมู่เฉินทำให้นางเป็นกังวล แม้ว่านางจะรู้ว่ามู่เฉินมีทักษะซ่อนไว้ในแขนเสื้อมากมาย แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะกังวลว่ามู่เฉินจะล้มลง หากเป็นเช่นนั้นผู้ชมเหล่านี้คงจะเยาะเย้ยพวกนางอีกครั้ง
จิ่วโยวส่ายหัว ฉายสีหน้าสงบ “สังเกตสถานการณ์ต่อไปก่อน เขาต้องมีเหตุผลในการทำแบบนี้”
นางเข้าใจมู่เฉินดี เพราะนางเห็นเด็กหนุ่มที่อ่อนแอเมื่อหลายปีนั้นไล่ตามทันนางมากับตาในหลายปีนี้ กระทั่งสุดท้าย… ก็กำลังจะแซงหน้านางไป
ดังนั้นนางไม่คิดว่าเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณจะสามารถกีดขวางมู่เฉินได้อย่างแท้จริง
เวลาผ่านไปรวดเร็วภายใต้ความสนใจของทุกคน แต่ครั้งนี้ความสนใจส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ที่จุดแสงข้างหน้า แต่กลับเป็นคนที่เคลื่อนไหวช้าที่สุดข้างหลัง
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องการเห็นว่ามู่เฉินที่แรกเริ่มล้าหลังจะยังสามารถพลิกสถานการณ์กลายเป็นจอมยุทธ์คนแรกที่เข้าสู่ชั้นสองเพื่อแสดงปาฏิหาริย์ที่น่าตระหนกอีกครั้งไหม
ทุกอย่างจะได้ชัดเจนว่าสถานการณ์ก่อนหน้าเป็นเพราะโชคหรือความสามารถของเขากันแน่
“กลุ่มแรกกำลังเข้าใกล้ปราการด่านสองแล้ว…”
เวลาไหลผ่านช้าๆ ทันใดนั้นก็มีบางคนพูดขึ้นเสียงเบา ซึ่งทำให้หัวใจของทุกคนสั่นสะท้าน สายตาขยับขึ้นก็เห็นจุดแสงหลายจุดที่อยู่หน้าสุดเริ่มไปถึงปราการชั้นสองแล้ว
หากพวกเขาสามารถฝ่าปราการนี้ไปได้ก็จะเข้าสู่ชั้นสาม
“มู่เฉินดูเหมือนยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ?” บางคนตระหนักถึงมู่เฉินที่ยังคงเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ที่ด้านหลัง
ภาพนี้ทำให้สายตาหลายคู่วูบไหบ พวกเขาเริ่มสงสัยว่าการกระทำก่อนหน้าของมู่เฉินเป็นเพราะเขาใช้วิธีพิเศษบางอย่าง แต่ครั้งนี้เขาล้มเหลว
หลิ่วชิงรู้สึกโล่งใจก่อนที่จะมองไปที่จิ่วโยวด้วยสายตาเชือดเชือน ดูเหมือนว่าวิธีก่อนหน้าของชายหนุ่มคนนี้จะไม่ได้ผลแล้ว
ทว่าเผชิญกับการจ้องมองของหลิ่วชิง ใบหน้าจิ่วโยวยังคงสงบนิ่ง ขณะมองภาพนี้อย่างใจเย็น
“ทั้งเก้าคนเริ่มฝ่าปราการชั้นสองเพื่อเข้าไปยังชั้นสามแล้ว” เสียงอุทานสะท้อนอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นจุดแสงเหล่านั้นพุ่งเข้าหาปราการโดยตรงซึ่งนี่เป็นประตูนำสู่ชั้นสาม จากนั้นความเร็วของพวกเขาก็ช้าลง เห็นได้ชัดว่าทั้งเก้าคนกำลังเผชิญหน้ากับการขัดขวางที่รุนแรง
ทุกคนจับจ้องไปที่จุดแสง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันคนแรกที่ไปถึงชั้นสามจะเป็นหนึ่งในนั้น
สำหรับม้ามืดอย่างมู่เฉิน ดูเหมือนว่าจะสูญเสียความเจิดจรัสหมดสิ้นและยังรักษาตำแหน่งที่โหล่ไว้ที่ด้านหลังเหนียวแน่น
หนึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็วในชั้นสอง นอกจากมู่เฉินจอมยุทธ์ทั้งเก้าต่างได้เข้าสู่ปราการด่านสองและกำลังเคลื่อนไหวไปช้าๆ เพื่อไปจนถึงจุดสิ้นสุดของชั้นสองด้วยความเร็วประหนึ่งคลาน
“พวกเขากำลังเข้าชั้นสามแล้ว!”
ทันใดนั้นเสียงอุทานก็ดังก้อง ทำให้บรรยากาศที่หายใจไม่ออกนอกเจดีย์แตกเป็นเสี่ยงๆ ทุกคนเงยหน้าขึ้นกะทันหันก็เห็นจุดแสงเริ่มปรากฏในชั้นสามของเจดีย์ฝึกพลังกาย จุดแสงเหล่านั้นเข้าสู่ชั้นสามในเวลาใกล้เคียงกัน
“พี่ใหญ่จงเถิงก้าวเข้าสู่ชั้นสามแล้ว!”
ใบหน้าของหลิ่วชิงบิดเบ้เล็กน้อยจากความดีใจ จากนั้นนางกวาดมองไปที่ชั้นสองก็เห็นจุดแสงเดียวยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
“จิ่วโยวดูเหมือนว่าเจ้าไม่ใช่คนที่หัวเราะเป็นคนสุดท้ายนะ!” ความไม่พอใจทั้งหมดก่อนหน้าที่นางประสบมาระเบิดออกอีกครั้ง นางมองจิ่วโยวด้วยอาการเย้ยหยัน
ทว่าใบหน้าของจิ่วโยวยังคงสงบนิ่งต่อการเย้ยหยันนั่น นางไม่ได้สนใจหลิ่วชิงสักนิดเดียว สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่จุดแสงหนึ่งเดียวในชั้นสอง
มั่วหลิงซึ่งอยู่ข้างๆ สาดสายตาใส่หลิ่วชิง นางรู้สึกว่าลิ้นของผู้หญิงคนนั้นน่ารำคาญเหมือนพวกอีกา
“ดูเหมือนพวกเจ้าจะยังไม่ยอมรับความจริงข้อนี้”
เมื่อหลิ่วชิงเห็นสายตาของจิ่วโยว นางก็อดเค้นเสียงเย็นชาไม่ได้ หลังจากกระบวนการในเจดีย์ฝึกพลังกายนี้สิ้นสุดลง จิ่วโยวจะได้รับผลกระทบอย่างแท้จริง
ไอ้เหลือขอแค่ผ่านชั้นแรกโดยวิธีการแปลกประหลาดบางอย่าง ต่อไปมันคงจะติดอยู่ในชั้นสองตลอดเวลาที่เหลือแล้ว
แค่มนุษย์ยังปรารถนาที่จะแข่งขันกับอัจฉริยะของเผ่ากระเรียนฟ้า ช่างน่าขำสิ้นดี
ด้านนอกของเจดีย์สายตาหลายคู่จ้องไปที่จุดแสงสุดท้ายด้วยอารมณ์หลากหลาย เหมือนจะเสียดายที่ม้ามืดนี้อายุสั้นเหลือเกิน
ขณะที่บทสนทนาดังก้อง
หัวเรื่องอย่างมู่เฉินกลับไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย ตอนนี้เขาอยู่บนจุดสูงสุดในดินแดนน้ำแข็งแห่งนี้
ยอดเขานี้เป็นสถานที่สูงที่เดียวในชั้นสอง ก่อนหน้ามู่เฉินได้พบโดยบังเอิญ แต่เมื่อเขาปีนขึ้นมาบนยอดเขาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าน้ำแข็งสีฟ้าและลมพายุเย็นยะเยือกในสถานที่นี้รุนแรงมาก
ทันทีที่เขาปีนขึ้นไป หากร่างกายเขาไม่แข็งแกร่งพอ เขาคงถูกฉีกออกเป็นก้อนเละไปแล้ว…
ทว่าความเจ็บปวดโหดหินก็ทำให้มู่เฉินตระหนักได้ว่าการฝึกฝนร่างกายมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะรับแรงกดดันและนั่งลงอย่างเงียบๆ บนยอดเขานี้
ชี่! ชี่!
พายุลูกแล้วลูกเล่ากระหน่ำฉีกบาดแผลอย่างป่าเถื่อนบนผิวหนังของร่างมู่เฉิน ทว่าร่างกายของเขาสั่นเพียงครู่เดียว ก็ทนรับความเจ็บปวดไว้ได้ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองระยะไกล
เขารู้สึกได้ว่าคนอื่นอยู่ในชั้นสามแล้วในขณะนี้
ทว่าเขาไม่ได้กังวลเพราะเขาสามารถรู้สึกได้ว่าเมื่อไรที่ตนเองปรับตัวเข้ากับสถานที่นี้ได้อย่างสมบูรณ์ ร่างกายของเขาจะได้รับการพัฒนาเข้าใกล้ขั้นสองของกายามังกรหงส์
ในเวลานั้นถึงเป็นเวลาที่เขาจะเคลื่อนไหวต่อไป
สิ่งที่เรียกว่า ‘เตรียมพร้อมให้เหมาะสม’ เป็นเช่นนี้เอง
“ให้พวกเจ้า…นำไปก่อนเถอะ… เราจะพบกันใหม่อีกไม่ช้า”
พายุลมหนาวพัดผ่าน มู่เฉินที่นั่งอยู่บนยอดเขาก็ยิ้มบาง