ครืน!
ผืนดินสั่นสะเทือน ผืนป่าโยกคลอน รัศมีความตายรุนแรงกวาดเข้ามาในทุกทิศทางราวกับว่าต้องการที่จะกลืนกินดินแดนแห่งนี้
ขณะที่รัศมีความตายกวาดออก ร่างเงาสีเทาซีดจำนวนมากก็พุ่งออกมา นั่นคืออสูรวิญญาณที่เปรียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด
เมื่อมู่เฉิน หานซันและจิ่วโยวเห็นฉากนี้ ใบหน้าก็บิดเบี้ยวจนไม่น่าดู ยามนี้พวกเขาจะไม่รู้ได้ยังไงว่าตกหลุมพรางแล้ว
ทั้งสองทิศทางควรเป็นส่วนที่เผ่าราชสีห์ทองคำและเผ่าหมาป่าเวหะจัดการ แต่ตอนนี้อสูรวิญญาณทั้งหมดกลับพุ่งมาในส่วนของพวกเขา ซึ่งชัดว่าเป็นฝีมือของทั้งสองเผ่า
ใบหน้าของหานซันเขียวคล้ำ ไอเยือกเย็นในดวงตาเพิ่มขึ้น ตอนนี้เขาเกลียดเผ่าหมาป่าเวหะเข้ากระดูกดำแล้ว
จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรก็มีใบหน้าซีดขาวและแตกตื่นไปบ้าง หากอสูรวิญญาณจำนวนมหาศาลพุ่งมาทางนี้ทั้งหมดละก็ วันนี้คงไม่มีใครที่นี่หนีรอดไปได้แน่
“กำจัดอสูรวิญญาณตรงหน้า!” ขณะที่ใบหน้าของพวกหานซันเขียวคล้ำ มู่เฉินก็ตะเบ็งเสียงขึ้นกะทันหัน
ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้พวกเขาต้องกำจัดอสูรวิญญาณตรงหน้าเสียก่อน มิฉะนั้นพวกเขาจะโดนรุมสกรัม ถึงแม้อยากจะล่าถอยก็ตาม
เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินคำพูดของเขาก็ฟื้นคืนสติทันที คลื่นหลิงรุนแรงระเบิดออกจากร่าง พวกเขาไม่รั้งรออีกต่อไป กระบวนท่าการโจมตีรุนแรงที่สุดฟาดฟันอสูรวิญญาณที่อยู่เบื้องหน้า
ปัง!
แววตาของมู่เฉินเย็นชาลง ปล่อยให้อสูรวิญญาณที่เบื้องหน้าโจมตีเข้ามาที่หน้าอก ร่างกายเขาสั่นเทิ้มไปเล็กน้อย แต่ฝ่ามือก็เหวี่ยงออกไปปานสายฟ้าฟาด กดลงบนกระหม่อมพลังงานรุนแรงก็พวยพุ่งสูงขึ้น
ตู้ม!
หัวของอสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระเบิดออก ก่อนที่ร่างมันจะแข็งทื่อล้มตึงลง
หลังจากจัดการกับอสูรวิญญาณในส่วนรับผิดชอบของตนเรียบร้อย เขาก็ไม่ได้หยุดพุ่งเข้าไปช่วยจิ่วโยวและคนอื่นๆ รีบจัดการวิญญาณทั้งหกร่างทันที
เมื่อจัดการกับอสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดรอบตัวทั้งหมดแล้ว มวลรัศมีความตายก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มากถึงจุดที่พวกเขาสามารถเห็นใบหน้าดุร้ายของวิญญาณเหล่านั้นได้แล้ว
เสื้อผ้าของหานซันขาดรุ่งริ่งจากการรับมือกับอสูรวิญญาณ ทว่าเขาก็ไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้ สายตาจดจ่ออยู่ที่อสูรวิญญาณที่บุกตะลุยเข้ามาด้วยสีหน้ามืดมน
“ตอนนี้ทำยังไงดี?” จิ่วโยวถามเสียงขรึม มีอสูรวิญญาณมากเกินไป เป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการทั้งหมดด้วยพลังของกลุ่ม ดังนั้นหากทำไม่ได้จริงๆ ก็ต้องรีบล่าถอยในขณะที่ยังมีเวลา
หานซันกัดฟันกรอด หากถอยกลับก็เท่ากับทิ้งสมบัติของอสูรโบราณโภคะ ซึ่งเขาไม่เต็มใจอย่างมาก เพราะพวกเขาเตรียมตัวกับเรื่องนี้มานานมาก
“ฮ่าๆ หานซัน เวลาแบบนี้เจ้ายังไม่คิดยอมแพ้อีกเหรอ?” ขณะที่ดวงตาของหานซันวูบไหวด้วยความลังเลในใจ เสียงหัวเราะเยาะเย้ยก็ดังก้องมาจากระยะไกล
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะนั่น ใบหน้าของกลุ่มมู่เฉินก็เปลี่ยนไป พวกเขาเงยหน้าขึ้นจ้องมองไปไกลด้วยสายตาแหลมคม ก็เห็นเงาร่างหลายร่างยืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ นั่นก็คือกลุ่มของจิงเลี่ยจากเผ่าราชสีห์ทองคำกับกลุ่มฮั่วหยังจากเผ่าหมาป่าเวหะ
“ฮั่วหยัง!”
เมื่อหานซันเห็นฮั่วหยัง ดวงตาก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดง จิตสังหารเพิ่มขึ้นบนใบหน้า ทำให้เขาดูดุร้ายยิ่งกว่าเดิม
พอฮั่วหยังเห็นท่าทางของหานซันก็ยิ้มอ่อน “พี่หานทำไมต้องหงุดหงิด? ความร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่ายเป็นความเต็มใจ หากเจ้าเชื่อใจคนอื่นง่ายๆ ขณะเดินทางท่องยุทธภพ ข้าคิดว่าเจ้าจะเป็นคนที่ต้องรับทุกข์ไม่รู้จบ ดังนั้นให้ถือว่านี่เป็นบทเรียน หวังว่าเจ้าจะจำไว้ขึ้นใจนะ”
หานซันสูดหายใจเข้าลึกสายตาสงบลง แต่สายตาที่มองฮั่วหยังกลับโหดเหี้ยมยิ่งกว่าเดิม ก่อนที่เขาจะพูดเสียงขรึมว่า “ข้อเสนอที่ข้าให้เจ้านับว่าดีเลยทีเดียว ทำไมถึงปลิ้นปลอนแบบนี้?”
ฮั่วหยังยิ้ม “ก็จริงที่ข้อตกลงของเจ้าดีไม่น้อย แต่น่าเสียดายที่ข้าชอบร่วมมือกับคนที่มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงกว่า เช่นนั้นก็จะปลอดภัยกว่านะ”
จากคำพูดนั่นบอกว่าเขาไม่คิดว่าพวกหานซันจะสู้เผ่าราชสีห์ทองคำได้ ดังนั้นภายใต้เงื่อนไขที่คล้ายคลึงกัน เขาจึงเลือกเข้าข้างเผ่าราชสีห์ทองคำเพื่อหลอกล่อกลุ่มหานซัน
แววดุร้ายวูบไหวในดวงตาของหานซัน รอยยิ้มน่าขนลุกคลี่ออก “ดี ข้าจะจดจำสิ่งนี้ไว้ หวังว่าในอนาคตเจ้าจะไม่ตกอยู่ในกำมือข้าบ้างนะ”
เมื่อมองท่าทางของหานซัน ฮั่วหยังก็รู้สึกเย็นเยือกในใจ แต่จากนั้นเขาก็เค้นเสียงหยัน “รอให้เจ้ารอดชีวิตออกจากที่นี่ให้ได้ก่อนเถอะ”
ขณะที่พวกเขากำลังตอบโต้กัน จิงเลี่ยก็หรี่ตามองภาพนี้ด้วยรอยยิ้ม ท่าทางเหมือนกำชัยชนะในมือแล้ว ขณะมองไปที่หานซันก็เหมือนกำลังมองผู้ล้มเหลวในอดีต
“ทำไมอสูรวิญญาณถึงไม่โจมตีพวกมัน?” ข้างหานซัน จิ่วโยวขมวดคิ้วพูดขึ้นกะทันหัน
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดนี่ พวกเขาก็ตระหนักว่าคนเหล่านั้นอยู่เหนืออสูรวิญญาณ แต่ทำไมพวกมันถึงไม่สนใจเลย กลับพุ่งมาทางพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง?
สายตามู่เฉินจ้องมองไปที่พวกจิงเลี่ยก่อนที่จะหดเกร็งดวงตา นั่นเป็นเพราะมู่เฉินรู้สึกว่ากลุ่มจิงเลี่ยเหมือนได้รับการห่อหุ้มด้วยม่านแสงสีเทาเบาบางที่เปล่งความผันผวนแปลกประหลาด คล้ายกับมีกลิ่นอายความตายอยู่ด้วย…
“พวกมันน่าจะเตรียมของพิเศษบางอย่างที่สามารถให้รัศมีความตายห่อหุ้มร่างตัวเอง… อสูรวิญญาณเหล่านี้ไม่มีดวงตา แต่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตและรัศมีความตาย ดังนั้นเมื่อพวกจิงเลี่ยปิดบังตัวเองด้วยรัศมีความตาย พวกมันจึงสามารถเดินทางไปมาท่ามกลางฝูงอสูรวิญญาณได้อย่างอิสระ” มู่เฉินกล่าวอย่างช้าๆ
มิน่าล่ะฮั่วหยังถึงคิดว่าหานซันไม่มีโอกาสที่จะชนะ ที่แท้กลุ่มจิงเลี่ยได้เตรียมพร้อมมากกว่า มิหนำซ้ำยังวางกับดักสำหรับกลุ่มหานซันอีกด้วย
“ไอ้เวรพวกนี้”
หานซันก็คิดเรื่องนี้ได้ทันที ใบหน้าของเขาดูน่าเกลียดขึ้นอีกหลายส่วน
“พี่ใหญ่หานซัน” จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรมองไปที่หานซัน ยามนี้อสูรวิญญาณกำลังคืบคลานเข้าใกล้ หากพวกเขาไม่ล่าถอยออกไปตอนนี้ละก็ จะไม่สามารถถอยได้อีกแล้วแม้ว่าจะต้องการก็ตาม
ใบหน้าของหานซันเขียวคล้ำ จากนั้นก็กัดฟันเตรียมโบกมือส่งสัญญาณให้ถอย
แม้ว่าสมบัติของอสูรโบราณโภคะจะสุดยอด แต่ก็ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อเพลิดเพลิน จากสถานการณ์ปัจจุบันเขารู้สึกผิดต่อพวกมู่เฉินมาก เพราะพวกเขาอุตส่าห์เดินทางมาที่นี่อย่างลำบาก แต่สุดท้ายยังไม่ถึงสุสานหมื่นอสูรก็ต้องล่าถอยกลับไปเหมือนหมาจรจัด
“เดี๋ยวก่อน”
ทว่าขณะที่หานซันตั้งใจจะล่าถอย มู่เฉินก็พูดออกมาทันที
คนทั้งหมดพุ่งสายตามาที่เขา ถ้าพวกเขาไม่ไปตอนนี้ก็จะตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังแล้ว หรือว่ามู่เฉินไม่อยากตัดใจจากขุมทรัพย์อสูรโบราณโภคะ?
เผชิญหน้ากับสายตาตะลึงงันเหล่านี้ มู่เฉินก็ยิ้มบาง “ข้าน่าจะสามารถลองทำบางอย่างเพื่อให้อสูรวิญญาณเหล่านี้มองไม่เห็นเราได้บ้างนะ”
“หืม?”
ทุกคนอึ้งไป แม้แต่จิ่วโยวก็ยังสงสัย
มู่เฉินมองทุกคนที่งงงวยก็ยิ้ม “วิธีการที่คนเหล่านั้นใช้เพื่อซ่อนตัวจากการรับรู้ของอสูรวิญญาณ จุดประกายความคิดอะไรบางอย่างของข้าได้ ในเมื่อวิญญาณเหล่านี้สามารถสัมผัสจากพลังชีวิตและรัศมีความตายเท่านั้น ก็แปลว่าการรับรู้ของพวกมันน่าจะอ่อนแอมาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ตราบใดที่เราปกปิดพลังชีวิตได้ พวกมันก็จะไม่สามารถตรวจจับเราได้”
หานซันอึ้งไปก่อนที่จะตอบว่า “แม้ว่าการรับรู้ของอสูรวิญญาณเหล่านี้อ่อนแอมาก แต่ประสาทสัมผัสเกี่ยวกับพลังชีวิตแหลมคมอย่างยิ่ง… สะเก็ดพลังงานเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้พวกมันรุมขย้ำเราเหมือนหมาป่าที่หิวโหย”
ชัดว่าเขาไม่ค่อยเชื่อว่ามู่เฉินจะมีวิธีการปกปิดพลังชีวิตบนตัวพวกเขา
มู่เฉินไม่ได้พูดอะไร กลับสะบัดนิ้วทั้งสิบ สัญลักษณ์หลิงยิ่งที่ควบแน่นนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้นพวยพุ่งอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะรวมเข้ากับชั้นบรรยากาศ ทำให้พื้นที่เกิดความผันผวน
“ค่ายกล?”
เมื่อจิ่วโยวเห็นภาพนี้ ดวงตาก็วูบไหว
ครืน!
ขณะที่มู่เฉินกำลังเร้าสัญลักษณ์หลิงยิ่งหนาแน่นเร็วรี่และรวมเข้ากับฟ้าดิน พื้นดินโดยรอบก็โยกคลอนรุนแรงมากขึ้น เหล่าอสูรวิญญาณคำรามลั่นพร้อมกับรัศมีความตายความเชี่ยวกรากกวนตัวเข้ามา
ศีรษะของจอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรถูกปกคลุมด้วยเหงื่อเย็น ใบหน้าซีดลงจากการเคลื่อนไหวรุนแรงนี้ พวกเขาอดมองหานซันไม่ได้ ตราบใดที่เขาส่งสัญญาณการถอย พวกเขาก็จะถอนตัวทันที
ทว่าหานซันกลับจ้องเขม็งไปที่มู่เฉินก่อนที่จะกัดฟันพูด “งั้นต้องพึ่งพี่มู่แล้ว!”
เขาไม่อยากที่จะออกไปแบบนี้เช่นกัน นอกจากนี้เขาเกลียดกลุ่มหมาป่าเวหะเข้ากระดูกดำ ถ้าเป็นไปได้เขาก็ไม่ต้องการเผ่นออกไปเหมือนหมาจรจัด
จากความเข้าใจในนิสัยมู่เฉินในช่วงนี้ หานซันรู้ว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่คนประมาท ในเมื่อเขายังสงบสติอารมณ์ได้ ก็หมายความว่าเขามีความมั่นใจอยู่พอสมควร ในเมื่อเป็นแบบนี้หานซันก็ขอเสี่ยงดวงดูสักตั้ง!
มู่เฉินหลับตาลงเล็กน้อยไม่พูดอะไร สัญลักษณ์หลิงยิ่งหานแน่นปรากฏขึ้นเร็วรี่บนนิ้วมือ
“ดูเหมือนว่าหานซันกำลังดิ้นรนหนีตายแล้วจริงๆ”
บนต้นไม้ที่ไกลออกไป จิงเลี่ยมองหานซันที่ไม่ยอมถอยก็อดเยาะเย้ยไม่ได้ คิดแค่ว่าหานซันไม่เต็มใจที่จะละทิ้งขุมทรัพย์ของอสูรโบราณโภคะเท่านั้น
“ในเมื่ออยากได้สมบัติขนาดนี้ก็ฝังกลบซะเลย…”
จิงเลี่ยแสยะยิ้ม ใบหน้าดุร้ายยิ่งขึ้น
ครืน!
ฝูงอสูรวิญญาณและรัศมีความตายพุ่งเข้ามา จิ่วโยวและคนอื่นๆ ได้แต่จ้องมองไปที่สายธารแห่งความตายนั่น…
หนึ่งพันจั้ง…ห้าร้อยจั้ง…สองร้อยจั้ง…
เมื่อพวกมันอยู่ห่างออกไปสองร้อยจั้ง ก็เหมือนจะมีกลิ่นแห่งความตายพรวดพราดเข้ามา แต่ขณะที่จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรกำลังฉายความสิ้นหวังในดวงตา ดวงตาที่ปิดลงของมู่เฉินก็เบิกกว้าง
แสงวูบไหวในรูม่านตาสีดำ
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
ทันใดนั้นมิติโดยรอบก็สั่นสะเทือนรุนแรง จากนั้นพวกหานซันก็เห็นลวดลายจำนวนมากมายกระจายออกไปอย่างรวดเร็วในบรรยากาศ ก่อนที่จะห่อหุ้มพวกเขาเอาไว้
นอกจากนี้รูปแบบของลวดลายยังเหมือนเป็นโลงศพสีเทาห่อหุ้มร่างกายพวกเขาไว้
ค่ายกลนี้ดูเหมือนจะไม่มีความสามารถเชิงรุกที่ทรงพลัง แต่เมื่อถูกสร้างขึ้นพวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีความตายที่แผ่ขยายออกไปอย่างชัดเจน ซึ่งทำให้ร่างกายของพวกเขาหนาวสั่น
ครืน!
เมื่อค่ายกลโลงศพถูกสร้างขึ้นฝูงอสูรวิญญาณก็มาถึง แต่ขณะที่ผ่านบริเวณกลุ่มมู่เฉินก็แยกออกไป
รัศมีความตายเชี่ยวกรากเคลื่อนผ่านข้างตัวไป ทุกคนรู้สึกว่าขาอ่อนยุ่ยไปหมด ทว่าพวกเขาไม่มีเวลาที่จะใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องแขนขา ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างมองดูฝูงอสูรวิญญาณที่แยกตัวออก
อสูรวิญญาณที่เปล่งรัศมีดุเดือดรุนแรงเคลื่อนผ่านไป โดยไม่สนใจการดำรงอยู่ของพวกเขา!
“สำเร็จ”
ขณะนี้กระทั่งหานซันที่มีนิสัยสงบเยือกเย็นก็อดร้องอย่างมีความสุขไม่ได้
ขณะที่พวกเขาดีใจ อีกพวกที่อยู่ไกลออกไปกลับมีท่าทางมืดมนลง
ยิ่งไปกว่านั้นสายตาดุร้ายของพวกเขาก็กวาดผ่านพวกหานซันจับจ้องไปที่มู่เฉิน
ชัดว่าพวกเขาก็รู้แล้วว่ามนุษย์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกที่มองไม่เห็นค่า กลับเป็นเหตุทำให้แผนของพวกเขาล้มเหลว