ขวดหยกล้ำค่าถูกส่งมาก่อนที่จะลอยอยู่เบื้องหน้า
มู่เฉินเพียงกวาดสายตามองคร่าวๆ ก็เก็บไว้ รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏขึ้นที่มุมปาก
แม้ว่าเขาจะไม่สามารถทำให้กลุ่มจิงฉิงเทียนตายอยู่ที่นี่ได้ทั้งหมด แต่ของเหลวจื้อจุนแปดล้านหยดก็ถือเป็นการเก็บเกี่ยวที่ดี ถ้าเขาใช้ของเหลวเหล่านี้ในการฝึกฝนน่าจะสามารถทำให้การเพาะบ่มด้านขุมพลังหลิงของเขาเพิ่มขึ้นไปจนถึงระดับจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุดได้
“พี่จิงเป็นคนใจกว้างจริงๆ… ในเมื่อเป็นอย่างนี้ก็เชิญทุกคนจากไปเถอะ” หลังจากเก็บขวดหยกแล้ว มู่เฉินก็มองไปที่กลุ่มจิงฉิงเทียนด้วยดวงตาที่หรี่ลงพร้อมกับรอยยิ้ม
ใบหน้าของกลุ่มจิงฉิงเทียนมืดครึ้ม พวกเขากวาดมองไปในระยะไกลก็ต้องปวดร้าว ที่นั่นเป็นเขตที่อสูรโบราณโภคะตาย ดังนั้นจะต้องมีสมบัติที่น่าสนใจรออยู่แน่ แต่ตอนนี้พวกเขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้สัมผัสกับสมบัติเหล่านั้นอีกต่อไป
ภายใต้สถานการณ์ที่จิงฉิงเทียนได้รับบาดเจ็บสาหัส เป็นโชคดีเท่าไรแล้วที่พวกเขาสามารถเอาชีวิตออกไปจากที่นี่ได้ ถ้าพวกเขาคิดอยากจะแย่งชิงสมบัติอีก ก็ไม่มีพลังพอที่จะกระทำแล้ว
“ไป!”
จิงฉิงเทียนเป็นคนเด็ดขาด เมื่อรู้แล้วว่าเป็นไปไม่ได้ เขาก็ไม่ดิ้นรนอีก เพียงแค่สาดสายตาเกลียดชังไปที่มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังจากไปพร้อมกับขบฟันกรอด
ที่ข้างหลังจิงเลี่ยและคนอื่นๆ ก็มีสีหน้าเขียวคล้ำความไม่เต็มใจอัดแน่นบนใบหน้าขณะที่ตามออกไป เรื่องวันนี้เป็นความอัปยศของพวกเขา ตอนแรกคิดว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดได้ แต่สุดท้ายโดนมนุษย์ที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกกลับล้มโต๊ะเสียได้
ทว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นไปแล้ว ไม่มีประโยชน์ต่อให้คิดให้มาก ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ตามหลังจิงฉิงเทียนที่ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น ก่อนที่จะออกจากพื้นที่ส่วนนี้ไป
เมื่อคนอีกกลุ่มจากไป มู่เฉินก็ค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย ก่อนหน้านี้เขากังวลอย่างแท้จริงว่าอีกฝ่ายอาจจะสู้หลังชนฝา หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ต้องจ่ายราคาแพงระยับแน่
“จิงฉิงเทียนเป็นตัวปัญหาอย่างแท้จริง…” จิ่วโยวถอนสายตาขณะถอนหายใจ ในการต่อสู้เมื่อครู่แม้แต่มู่เฉินก็ได้แต่พึงรัศมีในการปราบปรามจนหาช่องโหว่เจอและใช้โอกาสโจมตีเอาชนะอีกฝ่าย
มู่เฉินพยักหน้ารับรู้ความรู้สึกเช่นนี้ในเวลาเดียวกัน จิงฉิงเทียนเป็นคู่ต่อสู้ที่ยากต่อกรแท้จริง แต่เขาไม่ได้กังวลเป็นพิเศษ เพราะเขาไม่เคยให้ความสำคัญกับคนที่พ่ายแพ้ในมือเขา
ในเมื่อเขาเอาชนะจิงฉิงเทียนครั้งแรกได้ เขาก็สามารถทำเช่นนั้นได้อีกเป็นครั้งที่สอง
ไม่ใช่เพราะเขายโส แต่เป็นความมั่นใจในตนเองที่เกิดจากหัวใจ ยอดยุทธ์ที่แท้จริงไม่เกรงกลัวทุกอย่างในอดีต
แม้ว่าจิงฉิงเทียนจะเป็นอัจฉริยะ แต่คนอย่างมู่เฉินก็ไม่กลัว นั่นเป็นเพราะเขาเชื่อว่าในอนาคตตัวเขาจะแข็งแกร่งกว่าอีกฝ่ายมาก
พลังกายของเขาเพิ่งจะบุกทะลวงไปถึงคัมภีร์หลงเฟิ่งขั้นสอง สำหรับพลังในขั้นสองตอนนี้เขาสัมผัสถึงเล็กน้อยเท่านั้น ต่อไปในอนาคตทักษะนี้จะต้องเติบโตอย่างน่าอัศจรรย์แน่นอน
นอกจากนี้พัฒนาการทางด้านขุมพลังหลิงของมู่เฉินก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทุกๆ ครั้งที่เกิดการต่อสู้ เมื่อไรที่เขาบุกเข้าไปในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด การเอาชนะจิงฉิงเทียนก็ง่ายเพียงพลิกมือเท่านั้น
ยิ่งกว่านั้นเขายังมีค่ายกล… และหมัดปีศาจพลีชีพซึ่งเข้าใจลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ…แน่นอนว่าไพ่ตายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาก็คือการเป็นจั้นเจิ้นซือ แต่สิ่งนี้ต้องการการสนับสนุนจากกองทัพ เมื่อเงื่อนไขทั้งหมดครบถ้วน เขาจะสามารถต่อสู้กับศัตรูที่มีขุมพลังต่ำกว่าระดับตี้จื้อจุนได้ทั้งหมด
ด้วยรากฐานที่ทรงพลัง เขาไม่คิดว่าจิงฉิงเทียนเป็นภัยคุกคามใด
“การตัดสินใจที่ชาญฉลาดที่สุดที่ข้าได้ทำในดินแดนเสินโซ่ก็คือร่วมมือกับพี่มู่” ที่ด้านข้างหานซันก็รำพึงแฝงด้วยความรู้สึกผิดบางอย่าง “ตลอดทางพี่มู่ออกแรงมากสุด พวกเรานี่รอเก็บเกี่ยวอย่างเดียวเลยจริงๆ”
ก็เป็นเรื่องจริงที่อันตรายส่วนใหญ่ตลอดทางถูกจัดการโดยฝีมือของมู่เฉินซึ่งพึ่งพาพลังแห่งตน หากไม่ใช่มู่เฉิน พวกเขาคงต้องหนีไปนานแล้ว
มู่เฉินยิ้มพลางไตร่ตรองก่อนที่จะดึงของเหลวจื้อจุนแปดล้านหยดออกมาด้วยความตั้งใจที่จะแบ่งให้ทุกคน ทว่าไม่เพียงแต่หานซันจะปฏิเสธ แม้แต่จิ่วโยวก็ส่ายหัว
ของเหลวจื้อจุนที่มู่เฉินได้มาจากในเจดีย์ฝึกพลังกายพวกนางยังรับไว้ได้ เพราะทั้งสองถือว่าได้เสียสละตำแหน่งให้ แต่ครั้งนี้มู่เฉินได้รับของมาด้วยการลุยเดี่ยว พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่ได้ช่วยเท่านั้น แต่ยังรอดตายจากฝีมือของมู่เฉิน ดังนั้นพวกเขาไม่อาจยอมรับได้
เมื่อเห็นพรรคพวกปฏิเสธอย่างจริงจัง มู่เฉินก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเก็บของเหลวจื้อจุนกลับไป นั่นเป็นเพราะเขาตัดสินใจที่จะมุ่งเน้นพัฒนาขุมพลังหลิงของตนเองในช่วงเวลาต่อไป สำหรับของเหลวเหล่านี้จะเป็นประโยชน์มหาศาลต่อการเพราะบ่มของเขา
“ไปหาอสูรโภคะกันเถอะ ถ้ากลุ่มจิงฉิงเทียนไม่ยอมเลิกราแล้วย้อนกลับมาครั้งนี้มีปัญหาแน่” หานซันแนะนำ
พอได้ยินคำพูดนี่ หัวใจของทุกคนก็สั่นไหว พวกเขามาไกลขนาดนี้อย่างยากลำบากก็เพื่อสมบัติของอสูรโบราณโภคะไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้พวกเขาผ่านด่านทุกประเภทมาแล้ว ก็ควรถึงเวลาที่พวกเขาจะเพลินเพลินกับสมบัติมั่งแล้วใช่ไหม?
พอคิดถึงเรื่องนี้ดวงตาของมู่เฉินก็เริ่มร้อนแรงขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขามีความคาดหวังอย่างมากต่อสมบัติของอสูรโบราณโภคะ ไม่รู้ว่าจะมีอาวุธเสมือนมหสวรรค์อยู่จริงหรือไม่ ถ้ามีพวกเขาก็ถือว่าได้กำไรมหาศาลกับการมาครั้งนี้เลยทีเดียว
นั่นไม่ใช่สิ่งที่ของเหลวจื้อจุนหลายล้านหยดจะเทียบได้
“ไป!”
เมื่อหานซันเห็นทุกคนตื่นเต้นก็ยกยิ้มแล้วทะยานนำไป เข้าไปในส่วนลึกของป่ามืดมิด
พอทุกคนเห็นก็ติดตามไปในทันที
ทั้งกลุ่มเหาะเหิน บางทีอาจเป็นเพราะคลื่นอสูรวิญญาณก่อนหน้า ทำให้ตลอดทางราบรื่นยิ่ง แม้จะมีอสูรวิญญาณปรากฏขึ้นบ้างก็มีจำนวนไม่มากนัก ซึ่งถูกจัดการโดยพวกมู่เฉินอย่างง่ายดาย
หลังจากที่พวกเขาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดหานซันซึ่งเป็นผู้นำทางก็ลดความเร็วลงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นั่นเป็นเพราะรัศมีความตายรอบตัวหนาแน่นจนเป็นสีดำแล้ว
รัศมีความตายน่าขนลุกอย่างยิ่ง แม้แต่เปลวไฟสีขาวนวลบนไหล่พวกเขาก็อ่อนกำลังลงอย่างมาก รัศมีความตายนี้ ทำให้การไหลเวียนคลื่นหลิงในร่างกายช้าลงอย่างมาก
รัศมีความตายที่นี่น่าสะพรึงยิ่งนัก
เมื่อสัมผัสได้ถึงรัศมีความตายที่หนาแน่น ทุกคนก็ตั้งระวังขึ้น รัศมีที่เข้มข้นเช่นนี้แปลว่าจะต้องมีสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังละสังขารอยู่ที่นี่ เมื่อร่างกายของมันเน่าเปื่อยสลายไปทีละน้อย ถึงจะสร้างรัศมีความตายหนาแน่นเช่นนี้ออกมาได้
นอกเหนือจากอสูรโบราณโภคะที่ตายแล้ว จะมีอะไรที่สามารถสร้างรัศมีความตายเช่นนี้ได้อีก?
นั่นก็หมายความว่าพวกเขากำลังเข้าใกล้สุสานของอสูรโบราณโภคะแล้ว
ทุกคนเดินทางอย่างระมัดระวังผ่านรัศมีความตาย ไม่กี่นาทีต่อมาความมืดเบื้องหน้าสายตาก็เปลี่ยนเป็นแสงสว่างจ้า รัศมีความตายที่หนาแน่นแสดงสัญญาณจางหาย
ทุกคนหยุดมองด้วยความอัศจรรย์ใจต่อภาพเบื้องหน้า
ในส่วนลึกของป่าซึ่งปกคลุมไปด้วยกลิ่นเน่าเสียและรัศมีความตาย มีทะเลสาบใสกระจ่างที่สามารถมองเห็นความลึกได้ ทะเลสาบนี้มีขนาดใหญ่มากจนมองไม่เห็นจุดจบ
ทะเลสาบโปร่งใส ไม่เพียงแต่จะไม่มีการปนเปื้อนจากรัศมีความตาย กลับยังมีประกายระยิบระยับโอบฉุดรั้งรัศมีที่อยู่รอบข้างเอาไว้
ราวกับมีเจตนาทรงพลังเลือนรางหลงเหลืออยู่เพื่อปกป้องพื้นที่บริเวณแห่งนี้
“นี่คือสถานที่ที่อสูรโภคะละสังขาร เราเรียกว่าทะเลสาบตัวเป่า” หานซันมองไปที่ทะเลสาบเปล่งประกายด้วยแววตาร้อนระอุขณะพูด
“ทะเลสาบตัวเป่ารึ?”
มู่เฉินก็ประหลาดใจขณะที่สำรวจทะเลสาบแห่งนี้ เขาพยายามมองผ่านน้ำในทะเลสาบ แต่ก็ต้องตกตะลึงไปเมื่อตระหนักได้ว่าไม่ว่าทะเลสาบจะใสกระจ่างขนาดไหน ก็ไม่สามารถมองเห็นก้นได้
ดูเหมือนจะมีพลังพิเศษขัดขวางการรับรู้ของโลกภายนอก
หานซันพยักหน้าก่อนที่จะโบกแขนเสื้อ คลื่นหลิงไหลเข้าสู่ทะเลสาบ ทันใดนั้นพายุก็พัดปกคลุมพื้นผิวของทะเลสาบทันที ยกตัวเป็นคลื่นขนาดใหญ่
เมื่อคลื่นยักษ์กลิ้งไปมา ดวงตาของคนอื่นๆ ก็ต้องหดเกร็ง
นั่นเป็นเพราะพวกเขาเห็นว่าเมื่อคลื่นยักษ์ถูกยกขึ้นก็มีชิ้นกระดูกสีขาวระยิบระยับราวกับเงาสีขาวถูกเปิดเผยออกมาในทะเลสาบ กระดูกสีขาวนั่นทำให้พวกเขารู้สึกตกใจ เพียงแค่การเปิดเผยเพียงเล็กน้อยก็มีขนาดประมาณพันจั้งแล้ว ยากที่จะจินตนาการได้ว่าขนาดของร่างกายจะใหญ่แค่ไหน
“นั่นคือกระดูกของอสูรโภคะ…”
หานซันมองไปที่กระดูกสีขาวที่ถูกเปิดเผยเล็กน้อยก็พูดออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เราควรทำอะไรต่อ?” จิ่วโยวเอ่ยถาม
“แม้ว่าน้ำในทะเลสาบจะดูกระจ่างใส แต่ก็อัดแน่นด้วยปณิธานของอสูรโภคะเมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่ เมื่อไรที่มันสัมผัสร่างกายก็จะกลืนกินคลื่นหลิงของเจ้า ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเข้าไป” หานซันกล่าว
“งั้นเราจะเอาสมบัติออกมาได้ยังไง?” มั่วเฟิงถามด้วยความสงสัย
“พวกเราจะสร้างพายุเฮอริเคนด้วยคลื่นหลิง ซึ่งจะยกคลื่นเผยกระดูกนั่นออกมา ตราบใดที่เราสามารถสัมผัสกับกระดูกได้ เราก็จะสามารถใช้คลื่นจิตควบคุมกระดูกเป็นสื่อกลางในการรับรู้ถึงสมบัติที่อยู่ภายใน… แน่นอนว่าก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาแต่ละคนว่าจะสัมผัสวัตถุทรงพลังอย่างอาวุธเสมือนมหสวรรค์ได้หรือไม่” หานซันกล่าว
เมื่อทุกคนได้ยินก็เข้าใจ ที่แท้ต้องทำเช่นนี้ถึงจะคว้าสมบัติมาได้
มู่เฉินจ้องมองทะเลสาบ แม้ว่าผิวน้ำจะต้านทานประสาทสัมผัส แต่เขาก็ยังรับรู้ได้ถึงความผันผวนที่ทรงพลังและลึกล้ำภายในส่วนลึกของทะเลสาบนี้
นั่นไม่ใช่การดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิต แต่เป็นความผันผวนของสิ่งที่คล้ายกับอาวุธมหสวรรค์!
ในส่วนลึกของทะเลสาบจะต้องมีอาวุธเสมือนมหสวรรค์อยู่แน่นอน
ดวงตาของมู่เฉินลุกโชน แต่จะสามารถสัมผัสถึงอาวุธเสมือนมหสวรรค์และทำให้มันออกมาได้หรือไม่ก็คงต้องดูที่โชคชะตาแต่ละคนแล้ว
หวังว่าครั้งนี้จะไม่ได้มาที่นี่อย่างเปล่าประโยชน์
มิฉะนั้นคงน่าผิดหวังมาก ถ้าไม่สามารถคว้าอาวุธเสมือนมหสวรรค์ หลังจากผ่านการเดินทางยากลำบากเช่นนี้