ด้านนอกสุสานสักการะเทพ
ใบหน้าของไป๋หมิงมืดมนและนิ่งเฉยมาก บรรยากาศแปลกพิกลขึ้นมา สายตาสงสัยจำนวนมากกวาดไปทางทิศของมู่เฉินอย่างต่อเนื่อง
ก่อนหน้าตอนที่ไป๋หมิงหาเรื่องมู่เฉิน พวกเขาคิดว่ามนุษย์ผู้นี้จะถูกบังคับให้อยู่ในสภาพที่น่าสมเพช เพราะด้วยการรวมตัวของเผ่าหงส์ฟ้าและพลังของไป๋หมิง กลุ่มธรรมดาไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับพวกเขาเลย
แต่… ใครจะคิดว่าสถานการณ์ที่มู่เฉินควรติดอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกลับได้รับการแก้ไขอย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้นมู่เฉินไม่เพียงแก้ปัญหาของเขากับไป๋หมิง เขายังบีบให้อีกฝ่ายตกอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างน่าสมเพชด้วยซ้ำ
เผชิญหน้ากับการแทรกแซงของกลุ่มชั้นแนวหน้าอื่นๆ แม้แต่ไป๋หมิงก็ไม่กล้าที่จะท้าทายพวกเขา
นั่นเป็นเพราะถ้าปลุกปั่นมู่เฉินแล้วเขาจุดชนวนหัวใจสีเงินในมือซึ่งบรรจุคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวขึ้นมาจริงๆ บางทีทุกคนที่นี่อาจโดนกันไปหมด ในเวลานั้นแม้แต่ทางเข้าสุสานสักการะเทพก็อาจถูกทำลายลงได้
แม้ว่าหลายคนจะสงสัยว่ามู่เฉินกล้าที่จะจุดชนวนระเบิดหัวใจสีเงินจริงหรือเปล่า แต่เรื่องแบบนี้… พวกเขาไม่ต้องการวางเดิมพันกับคำว่า ‘ถ้า’…
ดังนั้นในกรณีนี้พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องหยุดไป๋หมิง ถ้ามู่เฉินบ้าเลือดขึ้นมาจริงๆ ละก็ ไม่มีใครมีช่วงเวลาที่ดีแน่
ด้วยเหตุนี้…ไม่ว่าในใจกลุ่มเทพอสูรระดับต้นจะไม่อยากทำแค่ไหน พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากเคลื่อนไหวและหยุดไป๋หมิง แม้นี่อาจจะทำให้เขาแค้นฝั่งใจก็ตาม…
ภายใต้ความเงียบผิดปกติ หญิงสาวเผ่านกยูงเก้าสีก็ช้อนดวงตาหลากสีสันจ้องมองมู่เฉินก่อนที่นางจะพูดด้วยเสียงกระจ่างใสว่า “สหาย พวกเราทุกคนที่นี่ต้องการเข้าสู่สุสานสักการะเทพ ดังนั้นช่วยเก็บของในมือด้วย อย่าข่มขู่ผู้อื่นมากไป มิฉะนั้นหากทางเข้าถูกทำลายจริงๆ ข้าเชื่อว่าไม่มีใครชอบใจกับเรื่องแบบนี้แน่”
ตอนแรกพวกเขาก็อยากนั่งชมความขัดแย้งระหว่างกลุ่มมู่เฉินกับเผ่าหงส์ฟ้า แต่สุดท้ายกลับถูกบีบให้ต้องเคลื่อนไหว ซึ่งนี่ทำให้พวกเขาค่อนข้างไม่พอใจ จึงต้องเอ่ยพูดเพื่อหยุดมู่เฉิน อย่าทำเรื่องให้ลุกลามใหญ่โตไปมากกว่านี้
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดของนาง เขาก็ยิ้มพลางโยนหัวใจพาฬกินสายฟ้าในมือเล่น “พวกข้าไม่มีความตั้งใจที่จะก่อกวน แต่ถ้าใครคิดว่าพวกข้าเป็นคนรังแกง่าย ข้าก็จะไม่ปล่อยให้พวกเขาคิดเองเออเอง บางครั้งคนที่ดูอ่อนก็ใช่ว่าจะเคี้ยวได้ง่าย”
“โอหัง!” ที่ด้านหลังไป๋หมิง เปลือกตาของไป๋ปิงกระตุกขณะแผดเสียงด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ คำพูดของมู่เฉินบ่งบอกชัดเจนว่าเหน็บพวกเขา
ใบหน้าของไป๋หมิงกลับคืนสู่ความเรียบเฉย แต่ครั้งนี้ไม่ได้โกรธอะไร เขากวาดสายตาเย็นเยือกไปที่มู่เฉินเท่านั้น ไอสังหารพุ่งสูงขึ้นอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ
“ข้าจะจดคำพูดนี้ไว้” ไป๋หมิงโบกมือหยุดไป๋ปิงจากนั้นก็พูดอย่างเฉยเมย “หวังว่าเจ้าจะสามารถเก็บของชิ้นนั้นไว้กับตัวได้ตลอดเวลา”
พอได้ยินคำพูดของไป๋หมิง ผู้คนรอบด้านก็เปลือกตากระตุก แม้ว่าไป๋หมิงจะไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่ใครๆ ก็สามารถบอกได้ว่าจิตสังหารก่อขึ้นในใจของเขาแล้ว
ครั้นคิดถึงเรื่องนี้พวกเขาส่ายหัว แม้มู่เฉินจะมีวิธีบางอย่าง แต่เขายังอ่อนเกินไป เหตุผลที่เขากล้าเผชิญหน้ากับไป๋หมิงในตอนนี้ก็เพราะเขาพึ่งพาหัวใจสีเงินในมือ
แม้ว่าพวกเขาจะไม่คุ้นเคยกับวัตถุนั่น แต่พวกเขาคาดเดาได้ว่าสิ่งนั้นทรงพลังยิ่ง แต่การใช้งานก็มีจำกัด ซึ่งอาจเป็นวัตถุที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียว
มิฉะนั้นหากเป็นวัตถุที่ไม่มีข้อจำกัด มู่เฉินจะปล่อยไป๋หมิงไปง่ายๆ ได้อย่างไร แค่เขาโยนใส่ ไม่ว่าจอมยุทธ์เผ่าหงส์ฟ้าจะมีจำนวนเท่าไร พวกเขาก็จะได้รับบาดเจ็บกันถ้วนทั่ว
แต่ตอนนี้เขาเพียงนำออกมาและไม่ได้ใช้ เห็นได้ชัดว่าเขาแค่ใช้ในการคุกคามเท่านั้นและการใช้อาจมีข้อจำกัดอย่างมาก
ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่มู่เฉินใช้ ก็จะเป็นเวลาที่ไป๋หมิงเปิดเผยเขี้ยวเล็บ
“เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอก” มู่เฉินยิ้มก่อนเก็บหัวใจพาฬไป วัตถุชิ้นนี้ทรงพลังมากไปและค่อนข้างสิ้นเปลืองที่จะใช้กับคนแบบไป๋หมิง
เขาไม่ได้พะวงกับการคุกคามของไป๋หมิง แม้ว่าไป๋หมิงจะแข็งแกร่งกว่าจิงฉิงเทียน แต่เขาจะต้องผิดหวังแน่นอน หากคิดว่ามู่เฉินกล้าเผชิญหน้าเพียงเพราะหัวใจพาฬกินสายฟ้าเท่านั้น
เหตุผลที่เขานำหัวใจพาฬออกมาก็เพื่อข่มขู่ผู้อื่นที่มีเจตนาไม่ดี การไม่แสดงความแข็งแกร่งให้เพียงพอ อาจมีปัญหาหลั่งไหลเข้ามาไม่รู้จบ ดังนั้นเป็นการดีกว่าที่จะข่มขู่ตั้งแต่เนิ่นๆ ลดความกังวลในอนาคตลง
ตามคาดผลของการนำหัวใจพาฬออกมาดีมาก ไม่เพียงแต่ไป๋หมิงจะล่าถอยด้วยความหวั่นเกรง แม้แต่กลุ่มเทพอสอูรระดับต้นอื่นๆ ก็แสดงท่าทางหวาดหวั่นเช่นกัน มิหนำซ้ำยังต้องเคลื่อนไหวเพื่อหยุดไป๋หมิงกับความขัดแย้งที่กำลังโหมกระพือ
บนท้องฟ้าหญิงสาวเผ่านกยูงเก้าสีมองมู่เฉินที่แย้มยิ้ม จากสายตาของมนุษย์ผู้นี้นางไม่เห็นความกลัวใดๆ เลยนี่ทำให้นางถึงกับขมวดคิ้ว หรือว่านอกเหนือจากหัวใจสีเงินแล้ว มนุษย์ที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกยังมีวิธีการอื่นที่จะเผชิญหน้ากับไป๋หมิงอีก?
นางคิดแล้วพบว่าไม่สามารถหาคำตอบได้ จึงได้แต่ส่ายหัวเลิกคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไป ไม่ว่ามู่เฉินจะยังมีวิธีการอื่นซ่อนอยู่ในแขนเสื้อหรือไม่ ตราบใดที่เข้าไปในสุสานสักการะเทพได้ ความเป็นตายของมู่เฉินกับไป๋หมิงก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนาง แค่ในเวลานี้พวกเขาสามารถรักษาความสงบไว้เพื่อไม่ทำให้พื้นที่นี้เสียหายก็พอ
“ทุกคนสถานที่นี้เป็นทางเข้าสุสานสักการะเทพ แต่ว่าพื้นที่ในสุสานแบ่งออกเป็นสองส่วน ไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ ที่ส่วนนอกแต่มีฝูงอสูรวิญญาณไม่จบไม่สิ้น ดังนั้นหากมีความมั่นใจก็ไปลองดูได้”
หญิงสาวมองไปรอบๆ พูดขึ้นเสียงเบา “แต่ถ้าต้องการเข้าสู่ส่วนในก็จะต้องมีคุณสมบัติบางอย่าง”
“เทพธิดาข่งหลิง คุณสมบัติอะไรหรือ?” บางกลุ่มอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“นางชื่อข่งหลิงรึ…” มู่เฉินกวาดมองไปที่หญิงสาวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า เขาสามารถรู้สึกถึงภัยคุกคามที่เปล่งออกมาจากอีกฝ่าย พลังของนางไม่ได้ด้อยไปกว่าไป๋หมิง
ข่งหลิงมองไปรอบๆ ด้วยดวงตาหลากสีสันพลางพูดด้วยน้ำเสียงสงบเรียบ “คุณสมบัตินั่นก็คือหัวใจของอสูรวิญญาณขั้นแปด”
ฮือฮา!
เมื่อคำพูดของนางดังก้อง ก็ทำให้เกิดความโกลาหลขึ้น ผู้คนอดไม่ได้ที่จะสีหน้าเปลี่ยนไป หัวใจอสูรวิญญาณขั้นแปด นั่นหมายความว่าหากพวกเขาต้องการเข้าสู่ส่วนในก็ต้องฆ่าอสูรวิญญาณขั้นแปดเรอะ?
นั่นเป็นสิ่งมีชีวิตที่เทียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดเลยนะ!
นอกเหนือจากกลุ่มเทพอสูรระดับต้น ใครจะไปกล้าท้าทายอสูรวิญญาณขั้นแปด ต่อให้สุดท้ายจะชนะ พวกเขาก็ต้องจ่ายราคาแพงระยับแน่นอน
“หัวใจอสูรวิญญาณขั้นแปดเรอะ…” เมื่อได้ยินมู่เฉินก็ขมวดคิ้ว จากนั้นแลกสายตากับจิ่วโยวและพรรคพวก คุณสมบัตินี้ไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ… แม้ว่าสติปัญญาของอสูรวิญญาณขั้นแปดอาจไม่สูงเกินไป แต่ยังไงก็มีขุมพลังขั้นแปดอยู่ กลุ่มสามัญธรรมดาอาจประสบกับหายนะใหญ่เพียงแค่พลาดไปเล็กน้อย
ในบรรดากลุ่มที่มาที่นี่ จำนวนจอมยุทธ์ที่สามารถท้าทายอสูรวิญญาณขั้นแปดได้คงมีไม่เกินสิบกลุ่ม
“ไม่ทราบว่ามีอะไรอยู่ส่วนในรึ?” สายตาของมู่เฉินกะพริบวูบไหวขณะที่ถามขึ้นมา
เมื่อกลุ่มอื่นได้ยินคำถามนี้ก็มองไปที่ข่งหลิงเช่นกัน แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าสุสานสักการะเทพไม่ใช่สถานที่ธรรมดา แต่ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้น
ข่งหลิงมองไปที่มู่เฉิน ก่อนที่จะยิ้มไม่เชิงยิ้มบนใบหน้าตอบว่า “รอให้เจ้ามีคุณสมบัติเข้าไปได้จริง เดี๋ยวก็จะรู้เอง”
น้ำเสียงของนางแฝงร่องรอยของการยั่วเย้า ชัดว่านางไม่คิดว่ามู่เฉินจะเข้าไปในส่วนในได้ แน่นอนว่าถ้าเขาใช้หัวใจสีเงินก็อาจเป็นไปได้ แต่เมื่อเป็นเช่นนั้นไป๋หลิงก็คงจะลงมือแล้ว
ชายคนนั้นจัดการยากกว่าอสูรวิญญาณขั้นแปดมากเลยทีเดียว
เผชิญหน้ากับคำพูดสะกิดเกาของข่งหลิง มู่เฉินก็ไม่ได้โกรธกลับยิ้มบางให้ “ขอบคุณ งั้นก็เจอกันที่ส่วนในนะ”
ข่งหลิงอึ้งกับคำตอบของมู่เฉิน ชายคนนี้มั่นใจในตนเองมากนะเนี่ย ไม่รู้ว่ากำลังฝืนตัวหรือมีวิธีการซ่อนอยู่อีกจริงๆ
“ตอนนี้ความหนาแน่นของรัศมีความตายในสุสานสักการะเทพอยู่ในจุดสูงสุด แต่ตราบใดที่ถึงรุ่งเช้า รัศมีความตายก็จะอยู่ในจุดอ่อนสุดซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับเราในการเข้าไป”
“ขอบคุณที่บอกเทพธิดาข่งหลิง”
หลายกลุ่มประสานมือขอบคุณอย่างจริงใจ ข่งหลิงไม่จำเป็นต้องบอกข้อมูลพวกเขา ด้วยสถานะและความแข็งแกร่งของเผ่าเทพอสูรระดับต้น สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือปกป้องตัวเองและค้นหาสมบัติในสุสานสักการะเทพก็พอ
เมื่อได้ยินคำขอบคุณ ข่งหลิงก็ยิ้มบาง เหตุผลที่นางพูดไม่ใช่ต้องการบุญคุณจากทุกคน แต่ในฐานะที่เป็นสมาชิกจากเผ่านกยูงเก้าสี ความภาคภูมิใจในกระดูกไม่เต็มใจที่จะเห็นพวกคนเขลาจบชีวิตจากการตามนางเข้าไปข้างในโดยที่ไม่รู้อะไรเลย
หลังจากได้ยินคำพูดของข่งหลิง มู่เฉินและจิ่วโยวก็มองหาแผ่นหิน จากนั้นก็นั่งลงก่อนที่จะสงบใจ ในเมื่อตอนนี้ไม่สามารถเข้าไปในสุสานสักการะเทพได้ ก็ได้แต่รอไปก่อน
ขณะที่มู่เฉินนั่งลงดำดิ่งลงไปในหัวใจ สายตาก็วูบไหวอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปที่แขน นั่นเป็นเพราะเขาสามารถรู้สึกได้ว่าจิตวิญญาณหงส์ฟ้าแท้จริงที่สถิตอยู่ในแขนกำลังสั่นเทิ้มในขณะนี้
อาการตัวสั่นเหมือนจะเกรงกลัวกับการเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่เทียบเท่ากับตัวเอง แต่ก็มีร่องรอยของความคุ้นเคยแฝงอยู่ด้วย
สิ่งที่ทำให้จิตวิญญาณหงส์ฟ้าแท้จริงรู้สึกถึงความเกรงกลัวและความคุ้นเคยในเวลาเดียวกัน?
หัวใจมู่เฉินเต้นไม่เป็นส่ำ ถ้าเป็นความคุ้นเคยก็ต้องเป็นสายเลือดที่คล้ายกัน และในเผ่าหงส์ฟ้าก็มีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่สามารถทำให้หงส์ฟ้าแท้จริงรู้สึกคุ้นเคยและเกรงกลัวในเวลาเดียวกัน
หงส์ฟ้าแท้จริงกับวิหคอมตะโบราณ
ซึ่งไม่มีข่าวลือใดเกี่ยวกับหงส์ฟ้าแท้จริงในสุสานสักการะเทพ ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลข้อสอง…
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองสุสานสักการะเทพยิ่งใหญ่ด้วยดวงตาลุกโชน ดูเหมือนว่าจะมีวิหคอมตะโบราณละสังขารอยู่ในสุสานสักการะเทพจริงๆ!