หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1074 เกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า
ครืน!
บนมหาสมุทรที่ทอดยาวสุดสายตา คลื่นพายุยกตัวขึ้นสูงหมื่นจั้ง คลื่นที่ถูกยกขึ้นมาก็กวาดออกกระแทกลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดเสียงดังก้อง ราวกับเสียงของการทำลายล้างที่ทำให้หัวใจของผู้คนสั่นสะท้าน
ภายใต้ชั้นคลื่นที่หนักหน่วง ร่างเงาของมู่เฉินก็ยังมั่นคงราวกับหินผา แม้ว่าลูกคลื่นมากมายนับร้อยพันจะซัดสาดทั่วร่างก็ยังไม่สามารถสั่นคลอนเขาได้
คลื่นหลิงรอบตัวเขาย้อนกลับเข้าไปโดยไม่มีการรั่วไหลใดๆ มีเพียงแสงสีทองไหลเวียนอยู่บนพื้นผิวของร่างกาย แสงสีทองไม่เพียงแต่ไม่สว่างกว่าเมื่อก่อน กลับยังมืดมนลงหลายส่วน ประหนึ่งทองแท้ที่ถูกฝังกลบอยู่ใต้ดินนานหลายปี
ขณะที่คลื่นกวาดออกมาอย่างต่อเนื่อง ดวงตาของมู่เฉินที่ปิดมานานกว่าหนึ่งปีก็เปิดออกอย่างช้าๆ
ตู้ม!
ม่านตาสีดำสนิทฉาบประกายทองคำในเวลานี้ ราวกับว่าเป็นแสงทองจริงๆ ซึ่งแฝงด้วยคลื่นหลิงทรงพลังสุดจะพรรณนาพวยพุ่งออกมาจากดวงตาของมู่เฉิน
เหวกว้างหนึ่งร้อยจั้งถูกฉีกออกด้วยแสงสีทองสองสายปรากฏขึ้นในมหาสมุทรฉับพลัน เป็นเวลานานกว่ากระแสน้ำจะกลับมาเป็นปกติ
ดวงตาของมู่เฉินพรั่งพรูด้วยแสงสีทอง ถ้ามองอย่างละเอียดจะเห็นว่าร่างกายของเขาสั่นเทิ้มไม่หยุด มือกำเข้าหากันแน่น เส้นเลือดบิดตัวไปมาบนท่อนแขนของเขา ทุกครั้งที่เกิดการดิ้นทุรนทุรายพลังน่าสะพรึงกลัวที่ถูกระงับไว้จะถูกปลดปล่อยออกมา ทำให้บรรยากาศโดยรอบวูบวาบไปหมด
มู่เฉินหัวใจเต้นระรัวในยามนี้ มีเพียงเขาคนเดียวที่รู้ว่าคลื่นหลิงในจุดจื้อจุนไห่ใหญ่โตและไร้ขอบเขตเพียงใด มากจนกระทั่งถึงจุดที่เขาสงสัยว่าถ้าตนเองยังคงฝึกฝนต่อไปแม้กระทั่งจุดจื้อจุนไห่ก็อาจไม่สามารถรับไหวจนระเบิดออก
ทุกเส้นสายภายในและกล้ามเนื้อในร่างกายอัดแน่นด้วยคลื่นหลิงจนถึงขีดสุด
หากมีใครโจมตีเขาในตอนนี้ เพียงการเคลื่อนไหวของพลังงานขนาดเล็กก็สามารถทำลายการควบคุมคลื่นหลิงของมู่เฉินในร่างกาย ทำให้พลังงานในร่างกายเขากวาดออกไป ในเวลานั้นถึงแม้จะมีกายามังกรหงส์ ตัวเขาก็อาจจะสลายลงเป็นเถ้าถ่านภายใต้การระเบิดของคลื่นพลังที่รุนแรง
ขณะนี้เขาหมือนภูเขาไฟที่กำลังจะปะทุ
ทว่าหากเขาทนรับพลังงานระเบิดได้ การเก็บเกี่ยวของเขาก็จะทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนดวงตาแดงก่ำด้วยความอิจฉา
“ประมาณนี้แหละ”
เมื่อสัมผัสถึงคลื่นหลิงรุนแรงแผดเสียงในร่างกาย มู่เฉินก็พึมพำก่อนที่จะไม่ลังเล ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม จากนั้นก็วาดตราประทับด้วยมือทั้งสองข้าง
ตู้ม!
ทันทีที่ตราประทับก่อร่างขึ้น ร่างของมู่เฉินก็กระตุกอย่างรุนแรง ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีแดงทันใด มากจนหยดเลือดไหลออกมาจากรูขุมขนทั่วสรรพางค์กาย
ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจ เนื่องจากตอนนี้ในร่างกายของเขาอยู่ในสภาพที่น่ากลัวอย่างยิ่ง คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตในจุดจื้อจุนไห่ระเบิดออกรอบทิศทาง ราวมังกรเกรี้ยวกราดพุ่งทะลุร่างของเขา ในเส้นทางที่พาดผ่าน เส้นลมปราณบิดตัว เลือดเนื้อเจ็บปวดรุนแรง แม้กระทั่งเลือดก็ถูกบีบอัดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
พลังงานที่น่ากลัวเหมือนต้องการทำลายร่างกายของมู่เฉินอย่างสมบูรณ์
ความเจ็บปวดที่ไม่สามารถอธิบายได้พล่านไปทั่ว แต่สายตาของเขาก็ไม่ได้เคลื่อนไหว เพราะนับตั้งแต่เขาตัดสินใจระงับคลื่นพลังงานเพื่อไปสู่ความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ เขาก็เตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้ไว้แล้ว
นั่นเป็นเพราะตามการประเมิน เขาจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นแปดเท่านั้นถ้าฝึกฝนตามปกติ เพราะเขาไม่ได้รับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณเหมือนกับจิ่วโยว ดังนั้นเขาไม่สามารถก้าวกระโดดสองขั้นได้อย่างนางแบบง่ายดาย
ท้ายที่สุดเขาเป็นเพียงมนุษย์ซึ่งแตกต่างจากเทพอสูร การฝึกฝนของมนุษย์เชื่องช้า ในกรณีส่วนใหญ่การฝึกฝนของเทพอสูรเป็นแบบไม่มีการพัฒนานาน แต่ถ้ามีการพัฒนาเมื่อไรก็จะก้าวกระโดดขึ้นไปมากเลยทีเดียว
ในอดีตพลังของจิ่วโยวอยู่เหนือมู่เฉินไปมาก แต่ก็ถูกเขาตามทัน ทว่าในตอนนี้ชัดว่าเป็นเวลาที่พลังของจิ่วโยวจะเพิ่มสูงขึ้นแล้ว
ดังนั้นหากมู่เฉินต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อเพิ่มพลังให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เขาจะต้องใช้วิธีการอื่นเช่นการดูดซับคลื่นพลังให้มาก ระงับไว้แล้วค่อยระเบิดทีเดียว
ทว่าก็มีความเสี่ยงในการใช้วิธีนี้ นั่นเป็นเพราะหากคลื่นหลิงถูกระงับมากเกินไป ก็มีโอกาสสูงที่ผู้ฝึกจะไม่สามารถทนได้ ซึ่งจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการทำลายล้าง
แต่ความเสี่ยงดังกล่าวไม่น่ากลัวสำหรับมู่เฉินที่วนเวียนอยู่ระหว่างความเป็นตายมาหลายปี ดังนั้นเขาเลือกเส้นทางนี้โดยไม่ลังเล
ตู้ม! ตู้ม!
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตมหาศาลพวยพุ่งไปทั่วร่างของมู่เฉิน ทำให้ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ จนในท้ายสุดมีเลือดไหลหยดลงมาจากมุมหางตา ราวกับว่าเป็นน้ำตาเลือด
ร่างถูกปกคลุมไปด้วยรอยเลือดปริแตก ราวกับว่ากำลังจะระเบิด
บนเกาะหิน จิ่วโยวรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่งเมื่อมองฉากนี้ นางรู้ว่ามู่เฉินมาถึงช่วงเวลาวิฤกตแล้ว ถ้าเขาล้มเหลวไม่เพียงแค่การฝึกสองปีจะต้องสูญเปล่า เขายังจะได้รับบาดเจ็บหนักอีกด้วย
โฮก!
ขณะที่ดวงตาของจิ่วโยวจับจ้องอยู่ที่มู่เฉิน การโจมตีก็กระหน่ำยิงจากคลื่นลูกใหญ่ที่อยู่เบื้องล่าง เสียงคำรามใหญ่โตราวกับมังกรดังก้อง มู่เฉินลุกขึ้นยืนจุดชนวนคลื่นหลิงในร่างกายโดยตรง โดยไม่ได้สนใจรอยแตกร้าวที่เกิดขึ้น!
คลื่นกระแทกที่ไม่สามารถอธิบายได้ของพลังงานระเบิดออก มหาสมุทรในรัศมีหมื่นจั้งถูกกดลงใต้ก้น ก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่
รอบกระแสน้ำวน คลื่นขนาดหมื่นจั้งถูกผลักออกไป ก่อนที่จะไปถึงเกาะหินก็หายไปอย่างเงียบๆ
ดวงตาของจิ่วโยวจับจ้องอยู่ที่เบื้องบนกระแสน้ำวนในมหาสมุทร
แสงหลิงคลี่กระจายออกมาจากร่างของมู่เฉินที่ลอยตัวบนอากาศ ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังระเบิดออกแล้วลุกโชนด้วยความเร็วอันน่าอัศจรรย์
ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด!
ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุด!
ระดับจื้อจุนขั้นแปด!
ในเวลาไม่กี่อึดใจความผันผวนของคลื่นหลิงที่พวยพุ่งจากมู่เฉินก็บุกผ่านขั้นเจ็ดและได้ก้าวเข้าสู่ขั้นแปด
“เขาบรรลุระดับจื้อจุนขั้นแปดได้แล้ว!” จิ่วโยวร้องด้วยความยินดี
ที่ด้านข้างร่างราชินีวิหคอมตะที่โปร่งแสงก็ยิ้มบางก่อนพูดว่า “ยังไม่ถึงที่สุด ความทะเยอทะยานของเจ้าหนูนั่นไม่เล็กเลย”
“แล้วเขาจะบรรลุถึงขั้นเก้าไหมเจ้าคะ?” จิ่วโยวอดไม่ได้ที่จะถาม แต่เมื่อถามออกไปท่าทางของนางก็กลับกลายเป็นเคร่งเครียด ไม่มีแววดีใจอะไรมาก นั่นเป็นเพราะนางรู้ว่ารากฐานการฝึกฝนของมู่เฉินมั่นคงมาตลอด หากเขาฝืนอย่างรวดเร็วเกินไป ต่อให้ผ่านการฝึกฝนยาวนานมาสองปีก็จะส่งผลกระทบอย่างแน่นอน
“ถ้าเขาเทหมดหน้าตัก ก็เป็นไปได้ที่จะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาจะต้องแบกรับผลกระทบบางอย่าง” ราชินีวิหคอมตะพูดเบา ๆ
สายตาคมชัดของยอดยุทธ์ทำให้นางสามารถเห็นศักยภาพของมู่เฉินที่ทะลวงเข้าสู่ขั้นเก้าได้ แต่ก็เป็นตามที่จิ่วโยวกังวล ถ้าเขาพัฒนาเร็วเกินไปก็จะไม่เป็นเรื่องดีสำหรับเขา
จิ่วโยวพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็มองไปที่ร่างเหนือมหาสมุทร มืออดกำแน่นไม่ได้
ภายใต้สายตาจดจ่อของทั้งสอง คลื่นหลิงผันผวนที่ระเบิดออกมาจากร่างมู่เฉิน ยังคงแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ในเวลาสิบกว่าลมหายใจความแปรปรวนที่ปะทุออกมาก็เหนือชั้นกว่าระดับจื้อจุนขั้นแปดสามัญไปแล้ว พุ่งเข้าสู่ขั้นแปดระยะปลายสุดอย่างรวดเร็ว
อีกหลายสิบลมหายใจผ่านไป คลื่นหลิงผันผวนที่กระจายจากร่างมู่เฉินราวกับเมฆสายฟ้าปกคลุมทั่วท้องฟ้า ช่างทรงพลังมาก
หัวใจของจิ่วโยวโลดมาถึงคอหอย ดูจากสถานะปัจจุบันตราบใดที่มู่เฉินต้องการก็สามารถก้าวเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นเก้าได้
เมื่อบรรลุระดับนั้น ระดับตี้จื้อจุนก็อยู่ในอุ้งมือเขาแล้ว
เขาเข้าใกล้การเป็นยอดยุทธ์เข้าไปทุกที
ตู้ม!
ตามคาดความผันผวนของคลื่นหลิงที่ปะทุออกมาจากร่างของมู่เฉินเพิ่มขึ้นอีกรอบ ในเวลาสิบกว่าลมหายใจคลื่นพลังก็มาถึงขีดสุดของระดับจื้อจุนขั้นแปดก่อนจะระเบิดลั่น จิ่วโยวรับรู้ได้ถึงความผันผวนพลังงานของมู่เฉินผ่านขอบเขตขั้นแปดเริ่มบรรลุขั้นเก้าแล้ว
เฮ้อ
จิ่วโยวถอนหายใจในใจ ราชินีวิหคอมตะก็ส่ายหน้าเช่นกัน หากมู่เฉินไม่สามารถควบคุมตัวเอง เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานในอนาคต เมื่อต้องการบรรลุระดับตี้จื้อจุน
ในฐานะที่เป็นมหาเทพอสูรและจอมยุทธ์ชั้นนำในระดับเทียนจื้อจุน นางรู้อยู่แล้วว่ามีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้านับไม่ถ้วนในโลก แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถผ่านไปถึงระดับตี้จื้อจุน นั่นเป็นเพราะหากมีความผิดพลาดในการฝึกฝนก่อนหน้าเพียงเล็กน้อยก็จะทำให้พวกเขาหยุดชะงักอยู่ที่ระดับจื้อจุนขั้นเก้าและไม่สามารถก้าวขึ้นไปสูงกว่านี้ได้
แม้ว่ากรณีของมู่เฉินจะไม่ร้ายแรง แต่อนาคตก็จะต้องเสียพลังงานและเวลามากขึ้นสำหรับในการพัฒนา
“หืม?”
ทว่าขณะที่ความคิดเหล่านี้ไหลเวียนในหัวใจ การแสดงออกของพวกนางก็เปลี่ยนไป พวกนางมองที่พื้นผิวมหาสมุทรด้วยความประหลาดใจ นั่นเป็นเพราะพวกนางรู้สึกได้ว่าความผันผวนของคลื่นหลิงที่เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงได้ถูกระงับไว้เมื่อเข้าใกล้ระดับจื้อจุนขั้นเก้า!
ในท้องฟ้าอันห่างไกลคลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดออกไปราวกับคลื่นยักษ์ ร่างอ่อนเยาว์ยืนอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับพื้นผิวของร่างกายเปล่งแสงสีทองจางๆ ความกดดันที่คลุมเครือถูกปล่อยออกมาเงียบๆ
ในที่สุดจิ่วโยวที่กำหมัดแน่นก็คลายออก ความสุขที่ไม่สามารถปกปิดได้ปรากฏบนใบหน้า
ราชินีวิหคอมตะก็พยักหน้าด้วยสีหน้าชื่นชม มู่เฉินไม่ได้ทำให้นางผิดหวัง ดูเหมือนว่าในอนาคตบางทีเขาอาจมีความสามารถและพลังในการสืบทอดสถานที่แห่งนี้จริงๆ
นั่นเป็นเพราะขณะนี้มู่เฉินสามารถควบคุมความล่อลวงใจที่จะบุกทะลวงสู่ระดับจื้อจุนขั้นเก้าไว้ได้แล้ว
แต่ในเวลาเดียวกันก็ทำลายตรวนขั้นแปด
นั่นคือระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า!