หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1077 กำจัดของเสีย
“พี่ใหญ่จิ่วโยว? มู่เฉิน?”
เมื่อชื่อทั้งสองดังสะท้อนในโสตประสาทของจอมยุทธ์ทั้งหมดที่นี่ หัวใจของพวกเขาก็สั่นไหว สายตามองไปที่ร่างเงาทั้งสองด้วยความตื่นตะลึง ทั้งสองก็คือผู้บัญชาการแห่งหอวิหคโลกันตร์…จิ่วโยวและมู่เฉินรึ?
พวกเขาดูเยาว์วัยจริงๆ แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนฉงนก็คือความจริงที่พวกเขารู้สึกถึงแรงกดดันที่มาจากทั้งสองคนได้คลุมเครือ
สูคุนหยุดฝีเท้ามองไปที่ทั้งสองด้วยความตื่นตะลึงถามว่า “พวกเจ้าคือผู้บัญชาการจิ่วโยวกับผู้บัญชาการมู่รึ?”
น้ำเสียงของเขามีข้อกังขามากกว่าเคารพ เนื่องจากความเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดและมีความโดดเด่นแม้แต่ในหมู่จอมยุทธ์ระดับเดียวกันในภูมิภาคทางเหนือ ว่ากันว่าอดีตมู่เฉินและจิ่วโยวเป็นจอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นหกและขั้นเจ็ดเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงมีคุณสมบัติที่จะเย่อหยิ่งใส่ได้
มู่เฉินมองดูอีกฝ่ายอย่างสงบถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”
สูคุนจ้องมองท่าทางสงบนิ่งของมู่เฉิน ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกกลัวในใจ จึงอดตอบออกไปไม่ได้ “ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้ชื่อสูคุนได้รับมอบหมายจากท่านประมุขเพื่อเข้ามาปกป้องหอวิหคโลกันตร์”
มู่เฉินพยักหน้าจากนั้นก็มองไปรอบๆ คนที่ถูกมองก็ลุกขึ้นยืนโค้งคำนับด้วยมารยาท ก่อนจะรายงานชื่อของตนเอง
เมื่อคนสุดท้ายแนะนำตัวเรียบร้อย มู่เฉินก็ถอนสายตา ความกดดันที่ห่อหุ้มสลายหายไป ทำให้จิตใจของทุกคนคลายตัวลง ทว่าพวกเขาก็ต้องตกตะลึงและงุนงง เพราะพวกเขาไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมมู่เฉินถึงมีแรงกดดันเช่นนี้ทั้งที่ยังเยาว์วัยมาก
ไหนบอกว่าทั้งสองคนอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกกับขั้นเจ็ดเท่านั้น?
“จินไถหลิวหลีทักทายผู้บัญชาการทั้งสอง” จินไถหลิวหลีจ้องมองมู่เฉินจากนั้นก็โค้งคำนับด้วยความเคารพ
“อ้าว แม่นางจินไถ…” เมื่อมู่เฉินเห็นว่าจินไถหลิวหลีอยู่ในหอวิหคโลกันตร์ก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้าให้ด้วยท่าทางอ่อนโยน
เมื่อจบคำพูด เขาก็ยกสายตามองไปที่เหล่าคนมาใหม่ที่ฉายความเย่อหยิ่ง ก่อนที่จะพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าไม่สนชื่อเสียงของพวกเจ้าในอดีตว่าเป็นอย่างไร แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในหอวิหคโลกันตร์แล้วก็ต้องปฏิบัติตามกฎของหอ”
“ถังปิงเป็นผู้ดูแลที่ข้าและผู้บัญชาการจิ่วโยวแต่งตั้ง สิทธิอำนาจของนางอยู่ภายใต้เราเท่านั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพวกเจ้าต้องอยู่ภายใต้การดูแลของนาง”
ระดับปัจจุบันของหอวิหคโลกันตร์ไปไกลเกินความคาดหมายของมู่เฉินและจิ่วโยวแล้ว แต่เนื่องจากทั้งคู่ไม่มีเวลามากพอในการจัดการ พวกเขาจึงได้ฝากฝังเรื่องต่างๆ ไว้ที่ถังปิง นอกจากนี้พวกเขายังมีความไว้วางใจแนบแน่นต่ออีกฝ่ายด้วย
ถึงแม้ว่าระหว่างสูคุนและจอมยุทธ์คนอื่นๆ จะแข็งแกร่งกว่าถังปิง แต่เขากับจิ่วโยวก็ยังคงเลือกถังปิงโดยไม่ลังเล
เมื่อสูคุนและคนอื่นๆ ได้ยินคำพูดของเขา สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้ พวกเขาไม่คิดว่าเมื่อจิ่วโยวและมู่เฉินกลับมา ก็มอบสิทธิ์ขาดให้ถังปิง มิหนำซ้ำพวกเขายังจะต้องฟังคำสั่งของถังปิงอีกด้วย
ในอดีตตอนที่จิ่วโยวและมู่เฉินไม่ได้อยู่ที่นี่ แม้ว่าถังปิงจะเป็นผู้ดูแล แต่พวกเขาก็ไม่ได้ให้ความเคารพกับนางมากนัก เพราะในสายตาของพวกเขาพลังของนางเล็กจิ๋วมาก ดังนั้นช่วงเวลาที่ผ่านมาสูคุนก็พยายามแบ่งอำนาจของถังปิงเพื่อเขย่าตำแหน่งของนาง
ทว่าคำพูดของมู่เฉินทำลายความทะเยอทะยานของเขาอย่างสมบูรณ์
สายตาของสูคุนเปลี่ยนไปพลางกัดฟันกรอด “ผู้บัญชาการมู่ แม้ว่าผู้ดูแลถังจะเป็นคนเก่าของหอวิหคโลกันตร์ แต่พลังของนางอ่อนแอมาก ด้วยขนาดของหอที่ขยายขึ้นมากในตอนนี้ ถ้าให้นางดูแลควบคุมทั้งหมด พวกข้าคงจะไม่เต็มใจ!”
เมื่อพูดจบสูคุนก็เงยหน้าขึ้นมองมู่เฉิน ตัวเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ขุมพลังนี้มีคุณสมบัติที่จะลงชิงชัยในตำแหน่งผู้บัญชาการ เมื่อเขาประสบความสำเร็จก็จะอยู่ในระดับเดียวกับมู่เฉินและจิ่วโยว ดังนั้นในมุมมองของเขาถ้าทั้งสองมีไหวพริบ พวกเขาก็ควรจะรู้ว่าคุณค่าของเขาสูงกว่าถังปิงอย่างมาก
เมื่อสูคุนพูดจบ เสียงเห็นด้วยหลายเสียงก็สะท้อนมาจากจอมยุทธ์ที่ถูกสูคุนลากเข้าพวก
ยิ่งเมื่อได้ยินเสียงสนับสนุน ความมั่นใจของสูคุนก็เพิ่มขึ้นอีก ร่างที่โน้มตัวก็ค่อยๆ ยืดตรงขึ้น
แต่เมื่อมองไปที่มู่เฉิน เขาก็สังเกตเห็นว่าไม่มีริ้วคลื่นกระเพื่อมบนใบหน้าของอีกฝ่าย ม่านตาสีดำเฝ้ามองคำคัดค้านของทุกคนด้วยความเฉยเมย ทำให้สูคุนรู้สึกไม่สบายใจ
ขณะเดียวกับที่เขาไม่สบายใจ ทุกคนในห้องก็เห็นมู่เฉินยืนขึ้นอย่างช้าๆ สายตาไม่แยแสกวาดออก “ข้าบอกเหรอว่านี่เป็นการอภิปรายน่ะ?”
แม้ว่าจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ความเป็นเผด็จการที่แฝงอยู่นั้น ทำให้คนทั้งโถงปิดปากฉับพลัน เขย่าหัวใจทุกดวง
สูคุนอึ้งไปกับความเผด็จการของมู่เฉิน ก่อนที่เขาจะขมวดคิ้ว “มู่…”
ตู้ม!
ทว่าทันทีที่เขาเพิ่งจะออกเสียง ดวงตาสีดำสนิทของมู่เฉินก็หันขวับมา คลื่นหลิงทั่วบริเวณปะทุขึ้นฉับพลัน
ปัง!
แรงกดดันที่น่ากลัวบีบเค้นมาจากทุกทิศทาง ก่อนที่สูคุนจะตอบสนอง ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักว่าไม่สามารถควบคุมร่างกายตนเองได้ เข่าทั้งสองอ่อนนิ่ม ร่างกายทรุดลงไปบนพื้น คลื่นหลิงล้อมรอบตัวประหนึ่งภูเขาหนักพันชังกดร่างของเขาเอาไว้ ราวกับว่าถ้าอีกฝ่ายเกิดเจตนาสังหารเพียงเล็กน้อย เขาก็จะถูกสับเป็นเนื้อบดด้วยคลื่นพลังที่ไร้ขอบเขต
ทุกคนสามารถสัมผัสกับความผันผวนของคลื่นพลังที่ปะทุเหมือนภูเขาไฟระเบิดพุ่งออกมาจากร่างมู่เฉิน เหมือนกับพายุถั่งโถมล้อมไปทั่วทั้งโถง
เมื่อสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิง จอมยุทธ์ทุกคนในโถงก็สีหน้าเปลี่ยนไปรุนแรง ความไม่อยากจะเชื่อพล่านในสายตา
คลื่นหลิงนี้เหมือนเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าแล้ว!
สูคุนคุกเข่าบนพื้นเหงื่อเปียกชุ่ม ขุมพลังของมู่เฉินไม่ใช่ระดับจื้อจุนขั้นหกหรอกรึ? แต่ตอนนี้อำนาจของคลื่นพลังไม่แพ้หลงปี้และผู้เฒ่าคูเลย
กึก! กึก!
จอมยุทธ์คนอื่นๆ รีบคุกเข่าลง ความเย่อหยิ่งก่อนหน้าถูกเช็ดออกไปโดยสิ้นเชิง
เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ที่เทียบเคียงระดับจื้อจุนขั้นเก้า พวกเขาอาจถูกฆ่าตายได้ทันที หากพวกเขากล้าที่จะเบ่งกล้ามอีก
มู่เฉินมองคนที่คุกเข่าอยู่ในห้องโดยไม่แยแส พูดด้วยเสียงบางจางว่า “มีใครอยากคัดค้านอีกไหม?”
พบกับผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านี้ มู่เฉินไม่ได้ใช้วิธีปลอบประโลม ปะทะกับพวกหยิ่งยโส เขารู้ว่าวิธีการกดข่มและเผด็จการเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขาเชื่องอย่างสมบูรณ์
ขณะนี้แม้แต่สูคุนยังร่างสั่นระริกเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น เขาไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว
ที่เบื้องหน้าถังปิงอ้าปากกว้างเมื่อมองมู่เฉินที่ฉายท่าทางเผด็จการ จากนั้นก็แอบจู๋ปาก มู่เฉินในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าทรงพลังกว่าเมื่อก่อนมากหลายเท่า
ทั้งโถงเงียบไป จอมยุทธ์หลายคนได้แต่เหลือบมองมู่เฉินและจิ่วโยวที่อยู่เหนือ ในสายตาของพวกเขาไม่มีข้อกังขาอีกต่อไป แต่ถูกแทนที่ด้วยความเคารพ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาถูกข่มด้วยพลังที่มู่เฉินเปิดเผยออกมา
“เราไม่ได้คาดหวังว่าหอวิหคโลกันตร์จะเติบโตในระดับนี้ แต่ในเมื่อพวกเจ้าเป็นสมาชิกของหอแล้ว ถ้าอนาคตเป็นพวกสองหัวก็ไม่ต้องอยู่ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ต่ออีก” น้ำเสียงไม่แยแสของมู่เฉินดังก้อง ทำให้ทุกคนใจสั่นสะท้าน พวกเขาได้ยินอย่างชัดเจนว่ามู่เฉินกล่าวว่าไม่ต้องอยู่ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ไม่ใช่หอวิหคโลกันตร์
ภูมิภาคทางเหนือในปัจจุบัน ถ้าพวกเขาถูกเตะโด่งออกจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ก็คงไม่มีทางอยู่ในภูมิภาคทางเหนือได้แล้วเช่นกัน
ถ้านี่เป็นอดีต บางทีทุกคนอาจจะหัวเราะกับคำพูดเหล่านั้น แต่หลังจากได้เห็นพลังอันแข็งแกร่งของมู่เฉิน พวกเขารู้ว่าด้วยความแข็งแกร่งและตำแหน่งของเขาในสำนัก เขามีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้น
“เราไม่มีความคิดอื่นใด!”
ทุกคนเหงื่อเย็นชุ่มโชก รีบแสดงถึงความภักดีต่อทั้งสองทันที แม้กระทั่งสูคุนก็ไม่กล้าที่จะแสดงความเย่อหยิ่งอีกต่อไป เพราะเขาถูกปราบลงราบคาบแล้ว
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศลบล้างไปได้หมดอย่างสมบูรณ์ มู่เฉินและจิ่วโยวก็แลกเปลี่ยนสายตากัน หญิงสาวยิ้มบาง เห็นได้ชัดว่านางพึงพอใจกับวิธีการของมู่เฉินในการข่มขู่พวกหน้าใหม่
“วันนี้เป็นการประชุมราชันรึ?” หลังจากจัดการกับเรื่องภายในหอเรียบร้อย มู่เฉินก็เอ่ยถามขึ้น
ถังปิงรีบก้าวออกมาอธิบายรายละเอียด
“หลงปี้? ผู้เฒ่าคู?” เมื่อได้ยินชื่อทั้งสองสีหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไป พวกเขาเป็นจอมยุทธ์อหังการในอดีตของภูมิภาคทางเหนือ ไม่คิดว่าพวกเขาจะมาเข้าร่วมกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ นอกจากนี้ดูจากท่าทางคงมีความคิดในตำแหน่งจอมพลด้วย
“ตอนนี้ชื่อเสียงของพวกเขาในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยิ่งใหญ่มาก มิหนำซ้ำขุมพลังก็ถึงระดับที่มีคุณสมบัติที่จะชิงชัยเพื่อตำแหน่งจอมพล ด้วยสถานะปัจจุบันโอกาสของความสำเร็จก็ค่อนข้างสูง”
พูดถึงตรงนี้ริมฝีปากแดงเรื่อของถังปิงก็เบะลงด้วยความไม่พอใจ “แต่พวกเขาหยิ่งเหลือเกิน ดูเหมือนจะดูถูกหอวิหคโลกันตร์เอาไว้มาก”
คำพูดของถังปิงอ้อมค้อมอยู่บ้าง เนื่องจากในมุมมองของนาง พวกเขาไม่ใช่แค่ดูถูกหอวิหคโลกันตร์ ที่ดูถูกยิ่งกว่าคือผู้บัญชาการทั้งสอง
เพราะในมุมมองของพวกเขา เหตุผลที่ทำให้หอวิหคโลกันตร์เติบโตอย่างแข็งแกร่งเกิดจากแรงสนับสนุนของท่านประมุข คนแบบนี้ไม่สมควรได้รับความสนใจใดๆ
แต่เมื่อพิจารณาถึงภาพรวมแล้ว ถังปิงก็ไม่ได้พูดออกมาดังๆ
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดของถังปิงก็มองไปที่จิ่วโยว นางยิ้มบางดูเหมือนจะเข้าใจบางสิ่งในคำพูดแฝง “พวกผีเฒ่าน่ารังเกียจเสียจริง”
มู่เฉินยิ้มพลางลุกขึ้นยืน “ไปกันเถอะ”
ถังปิงอึ้งไปถามว่า “ไปที่ไหน?”
“ในเมื่อเป็นการประชุมราชันก็ขาดพวกเราไม่ได้สิ” มู่เฉินสะบัดแขนพลางยิ้มอ่อน ประโยคต่อไปของเขาก็กระตุกหัวใจของทุกคนด้วยความไม่เชื่อกระจายในสายตา
“ตัวข้าเองและจิ่วโยวก็สนใจตำแหน่งจอมพลเช่นกัน”
การเดินทางไปวังสวรรค์บรรพกาลใกล้เข้ามาแล้ว เขาก็ต้องยกสถานะตนเองในสำนักให้มากที่สุด เพราะถึงตอนนั้นเขาอาจต้องพึ่งพาพลังของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ด้วย
ดังนั้นมู่เฉินจึงสนใจในตำแหน่งจอมพลมาก
**สำนวนพวกผีเฒ่าแปลว่าพวกชอบเอาข้ออ้างเรื่องอายุมากมากดขี่คนอื่น