หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1079 ประลองชิงตำแหน่งราชัน
บรรยากาศการประชุมปะทุขึ้นด้วยคำพูดของมั่นถัวหลัว
ดวงตาของผู้คนเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ โดยเฉพาะคนที่มีความตั้งใจที่จะลงชิงตำแหน่ง ดูราวกับวัวกระทิงที่อยากพุ่งชนโดยไม่สนใจอะไร ลมหายใจแต่ละคนหอบถี่
การชิงตำแหน่งผู้บัญชาการแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับในอดีต ไม่เพียงแต่ต้องผ่านการประลอง มิหนำซ้ำยังต้องถูกเสนอชื่อโดยผู้บัญชาการอย่างน้อยห้าคน แน่นอนว่าอีกปัจจัยสำคัญก็คือจำนวนตำแหน่งที่มั่นถัวหลัวจะเปิดให้
มีจอมยุทธ์จำนวนมากในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ดังนั้นอุปทานจึงไม่ตรงกับความต้องการ หากมั่นถัวหลัวเปิดตำแหน่งมากเกินไปก็จะมีข้อพิพาทเกิดขึ้นในสำนัก ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยที่เกิดขึ้นก็จะนำมาซึ่งความปั่นป่วนภายใน ดังนั้นมั่นถัวหลัวจึงเปิดครั้งละน้อยนิด เช่นในการประชุมครั้งนี้ก็เปิดเพียงห้าตำแหน่งเท่านั้น
แล้วจำนวนของผู้เข้าแข่งขันที่หมายจะชิงห้าตำแหน่งนี้ก็มีหลายสิบคน ซึ่งสร้างอัตราการกำจัดที่โหดร้ายยิ่ง
ดังนั้นเมื่อมั่นถัวหลัวโบกมือส่งสัญญาณ คลื่นหลิงก็พุ่งออกมาทุกทิศทาง ร่างหลายสิบคนลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนที่จะร่อนลงบนลานประลอง
โห่! โห่!
เสียงอื้ออึงสนับสนุนดังก้องกังวานจากทุกที่ หากคนที่พวกเขาสนับสนุนชนะและได้รับตำแหน่ง พวกเขาก็จะได้รับรางวัลสำหรับการสนับสนุนเช่นกัน ในอนาคตเมื่อผู้บัญชาการคนใหม่ต้องการจัดตั้งกองทัพของตนเอง ในฐานะผู้สนับสนุนพวกเขาก็จะมีส่วนร่วมในทรัพยากร ทำให้ช่วยเร่งการฝึกฝนได้มาก
มั่นถัวหลัวกวาดม่านตาไปรอบลานประลองก่อนที่จะหลับตาลง เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ในระดับนี้ต่ำกว่ามาตรฐานในสายตาของนางไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะการขยายตัวของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้น นางคงมอบหน้าที่ในการประชุมราชันให้สามจอมพลไปจัดการเองนานแล้ว
นอกจากนี้เหตุผลที่นางมาที่นี่ก็ไม่ใช่มาเพื่อดูการประลองสำหรับตำแหน่งผู้บัญชาการ
มั่นถัวหลัวมองไปที่หลงปี้และผู้เฒ่าคูจากปรายหางตา พวกเขาทั้งคู่ดูเป็นอิสระและสบายใจ ราวกับชื่อของจอมพลตกอยู่ในมือแล้ว ในสายตาของพวกเขาไม่มีผู้บัญชาการคนใดที่สมควรได้รับความสนใจ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าไม่มีคู่แข่งในหมู่คนเหล่านี้
มุมปากของมั่นถัวหลัวโค้งขึ้นเมื่อเห็น หลงปี้และผู้เฒ่าคูมีพลังพอตัว แต่พวกเขาเย่อหยิ่งจองหองเกินไป ซึ่งนั่นไม่เป็นประโยชน์ต่ออาณาเขตกงเวทสวรรค์ หากพวกเขาได้รับตำแหน่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
การประลองตำแหน่งผู้บัญชาการเข้มข้นมาก แต่ไม่นานก็จบลงด้วยช่องว่างระหว่างผู้แข่งขันค่อนข้างชัดเจน ดังนั้นการต่อสู้ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงก่อนจะเหลือจอมยุทธ์ห้าคนอยู่บนเวที
ทั้งห้าคนปลดปล่อยความผันผวนของพลังงานที่ไม่ธรรมดา พวกเขาทั้งหมดอยู่ในระยะต้นของระดับจื้อจุนขั้นแปดซึ่งเทียบเท่ากับไป๋หมิงที่มู่เฉินปะทะในดินแดนเสินโซ่
นี่เป็นห้าคนสุดท้ายที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อตำแหน่งผู้บัญชาการ
มั่นถัวหลัวพยักหน้าเบาๆ ให้จอมยุทธ์ทั้งห้า พร้อมกับการเติบโตของสำนักแล้ว คุณภาพของจอมยุทธ์ก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เนื่องจากตอนนี้ความดึงดูดใจของอาณาเขตกงเวทสวรรค์มีมากกว่าในอดีตสิ้นเชิง
ดังนั้นขุมพลังของเหล่าผู้บัญชาการคนใหม่ล้วนทรงพลังมาก นอกเหนือจากซิวหลัวและเลี่ยซัน ผู้บัญชาการดั้งเดิมคนอื่นๆ อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดเท่านั้น ซึ่งเป็นสาเหตุข้อพิพาทระหว่างคนใหม่กับคนเก่าอยู่เนืองๆ
ผู้บัญชาการเก่าเชื่อในประสบการณ์และความอาวุโส ขณะที่ผู้บัญชาการใหม่เชื่อในพลังของตนเอง ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุของความไม่ลงรอยกัน ทว่ามั่นถัวหลัวก็ไม่ได้ดำเนินการใดๆ ที่จะหยุดยั้ง เนื่องจากเรื่องนี้ไม่ได้เป็นข้อเสียต่อสำนักสักเท่าไร
เมื่อปรากฏผู้บัญชาการใหม่ทั้งห้า ก็ทำให้ทั่วจัตุรัสส่งเสียงโห่ร้องยินดี
เหล่าจอมพลยืนขึ้นประกาศการรับผู้บัญชาการใหม่รวมทั้งผู้สนับสนุน ก่อนที่จะเชิญทั้งห้าลงจากลานประลอง แต่แม้จะให้ทั้งห้าลงไปแล้ว ทว่าบรรยากาศกลับยิ่งร้อนแรงเดือดพล่านมากขึ้น
สายตาทั้งหมดจ้องมองไปที่ชายสองคนที่นั่งเงียบๆ ที่ใจกลาง
เพราะทุกคนรู้ว่าพิธีมอบยศราชันช่วงต้นเป็นเพียงอาหารว่าง ช่วงหลังต่างหากที่เป็นอาหารหลักในวันนี้!
จำนวนของผู้บัญชาการในปัจจุบันมีเกินยี่สิบตำแหน่งแล้ว แต่จอมพลยังคงมีอยู่แค่สามตำแหน่งเท่านั้น ปกติเมื่อท่านประมุขเข้าสมาธิฝึกฝน กิจวัตรต่างๆ ก็จะได้รับการจัดการโดยจอมพลทั้งสาม ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดถึงอำนาจหน้าที่ของจอมพลมีมากเพียงใด
แต่เวลาเดียวกันการประลองเพื่อชิงตำแหน่งจอมพลก็ยกระดับขึ้น มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้นที่มีคุณสมบัติชิงตำแหน่ง
ซึ่งในปัจจุบันมีเพียงหลงปี้และผู้เฒ่าคูเท่านั้นที่มีคุณสมบัติ
ดังนั้นหากทั้งสองคนสามารถขึ้นดำรงตำแหน่ง จำนวนจอมพลก็จะเพิ่มขึ้นจากสามเป็นห้าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ในบรรดาผู้บัญชาการมีหลายคนตั้งใจจะเชื่อมสายสัมพันธ์ เพื่อที่จะได้รับการดูแลเมื่อทั้งสองได้ตำแหน่งไป
ม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวเปิดออก เสียงดังก้องกังวาน “ข้าขอประกาศว่าวันนี้จะมีการเพิ่มตำแหน่งจอมพลสองตำแหน่งสำหรับผู้พร้อมจะลงชิงชัย”
ฮือฮา!
บรรยากาศลุกฮือด้วยคำพูดของนาง สายตาร้อนแรงจ้องมองหลงปี้และผู้เฒ่าคูที่นั่งสงบนิ่ง ราวกับว่าไม่ได้เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง ตราบใดที่ตำแหน่งจอมพลเพิ่มสองตำแหน่ง พวกเขาก็สามารถก้าวเข้าไปอยู่ในนั้นได้แน่นอน
ซิวหลัวและเลี่ยซันถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาเคยเป็นผู้ที่มีแนวโน้มได้ตำแหน่งจอมพลมากที่สุด แต่ก็ถูกผลักกลับไปพร้อมกับการขยายตัวของสำนัก
แม้จะรู้สึกอึดอัดใจ แต่ก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาพูดได้ เพราะด้วยพลังของทั้งสองคนนี้ นอกจากในฐานะคนเก่าของสำนักก็ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาจะสู้ได้
เทียนจิ้วและหลิงถงแลกเปลี่ยนสายตาโดยไม่มีการแสดงออกใดๆ ในอนาคตสำนักคงจะเฮฮาน่าดู เมื่อมีทั้งสองคนเข้าร่วม สิ่งต่างๆ ก็คงจะไม่ราบรื่นนัก
มั่นถัวหลัวมองมาที่ทุกคน เสียงเรียบเฉยยังคงดังก้อง “ทุกคนสามารถลงชิงชัยตำแหน่งจอมพลได้”
หลงปี้และผู้เฒ่าคูยืนขึ้นแล้วมองไปรอบๆ ด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล “ไม่ทราบว่ามีใครต้องการท้าพวกข้าหรือไม่? ถ้าพวกข้าแพ้ก็จะปล่อยตำแหน่งจอมพลให้ด้วยมือตัวเอง”
ความกดดันครอบงำอยู่ในน้ำเสียงราบเรียบ เนื่องจากทั้งสองไม่ได้มีความกังวลเกี่ยวกับการประลองเลย
เหล่าผู้บัญชาการดั้งเดิมมีสีหน้าบิดเบี้ยว ก่อนที่จะแลกสายตาพลางส่ายหัว ด้วยพลังที่มีแม้ว่าพวกเขาจะขึ้นไปก็รังแต่จะทำให้ตนเองอับอาย
ทั่วทั้งจัตุรัสเงียบกริบ เวลาผ่านไปแต่ก็ไม่มีใครกล้าเปล่งเสียง เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้ว่าจอมยุทธ์สองคนนี่ไม่ใช่คนที่พวกเขาสามารถเผชิญหน้าได้
เมื่อหลงปี้เห็นฉากนี้ รอยยิ้มพึงพอใจก็ปรากฏบนใบหน้าหยาบกระด้าง ดวงตาก็หรี่ลง “ในเมื่อไม่มีใครอยากประลอง งั้นพวกข้าก็…”
ทว่าก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค เสียงหัวเราะสดใสก็กระจายมาจากที่ไกลเขย่าทั้งสวรรค์และโลก
“ฮ่าๆ อย่าใจร้อนสิท่านจอมยุทธ์ พวกข้าสองคนสนใจตำแหน่งจอมพลเช่นกัน”
เสียงดังขึ้นกะทันหันทำให้ทั่วจัตุรัสเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ แม้แต่ผู้บัญชาการเก่าก็อึ้งไปก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองเห็นแสงหลิงจำนวนมากเคลื่อนตัวเข้ามา
คนที่ยืนอยู่หน้าสุดเป็นชายหนุ่มอ่อนเยาว์และหญิงสาวสะคราญโฉม
ผู้บัญชาการเก่าทั้งเจ็ดคนต่างตกตะลึงเมื่อเห็นร่างเงาทั้งสองก็อุทานออกมา “ผู้บัญชาการมู่?! ผู้บัญชาการจิ่วโยว?!”
เสียงอุทานดังก้องระเบิดความโกลาหลขึ้น สายตาพุ่งไปยังทั้งสองด้วยความตกใจ จากนั้นเสียงพูดคุยก็ดังไปทั่ว
“นั่นผู้นำหอวิหคโลกันตร์ ผู้บัญชาการมู่กับผู้บัญชาการจิ่วโยวรึ?”
“พวกเขาหายหน้าไปเกือบปี ไม่คิดว่าจะกลับมาอีก”
“ผู้บัญชาการมู่มีตำแหน่งสำคัญในสำนัก มีข่าวลือว่าท่านประมุขสามารถบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายได้ก็เพราะเขา”
“เรื่องนี้รู้ๆ กันอยู่แล้ว ไม่งั้นหอวิหคโลกันตร์จะมีสถานะเช่นนี้ในวันนี้ได้รึ?” เสียงที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาดังก้องท่ามกลางการโต้เถียง
“จุ๊ๆ แต่เมื่อกี้ผู้บัญชาการมู่พูดอะไรนะ? เขาและผู้บัญชาการจิ่วโยวต้องการลงชิงชัยตำแหน่งจอมพลเรอะ? เฮ้ ข้าว่าพวกเขานี่เป็นวัวน้อยไม่กลัวเสือ แม้ว่าท่านประมุขจะให้ความสำคัญกับเขา แต่ตำแหน่งจอมพลไม่ใช่สิ่งที่เด็กน้อยอย่างเขามีคุณสมบัติเหมาะสม!”
“ใช่ๆ ผู้บัญชาการมู่คิดจะประลองกับหลงปี้และผู้เฒ่าคู ดูเพ้อเจ้อไปจริงๆ”
“…”
บทสนทนาทุกประเภทดังก้อง แต่เห็นได้ชัดว่าทุกคนดูถูกคำพูดของมู่เฉิน แม้แต่คนที่รู้จักเขา
หลงปี้และผู้เฒ่าคูเงยหน้าขึ้นคิ้วขมวดหากันภายใต้บทสนทนาหลากหลาย ก่อนที่พวกเขาจะมองไปที่มู่เฉินและจิ่วโยวที่เก็บคลื่นหลิงเข้าสู่ร่างกาย หลงปี้ก็ยิ้มกว้าง เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังกึกก้อง
“ก็ว่าใคร ที่แท้ก็คือผู้บัญชาการมู่และผู้บัญชาจิ่วโยวงั้นสินะ ข้าได้ยินมานานเกี่ยวกับเรื่องที่พวกเจ้ามีส่วนช่วยอย่างมากกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ชื่อของเจ้าช่างเลื่องลือ แต่ถ้าวันนี้พวกเจ้าคิดอยากแย่งตำแหน่งจอมพล ข้าก็มีคำบอกพวกเจ้าทั้งสอง …”
“ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ…”
**สุภาษิต วัวน้อยไม่กลัวเสือเปรียบคนที่อ่อนประสบการณ์ย่อมไม่กลัวอะไร