หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1113 ซูชิงหยิง

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 1113 ซูชิงหยิง

“ประตูมังกรทะยานสวรรค์?”

“นั่นคืออะไร?”

“ดูเหมือนจะเป็นเส้นทางเดียวที่จะไปยังวังสวรรค์บรรพกาลได้”

“…”

ขณะที่มู่เฉินมองไปที่ประตูหินโบราณขนาดใหญ่ เสียงผู้คนกระซิบกระซาบก็กระจายไปทั่ว แต่ละคนเขียนคำว่าประหลาดใจไว้บนใบหน้า

“ไม่คิดว่าประตูมังกรทะยานสวรรค์จะมีอยู่จริง…” มู่เฉินมองไปที่ประตูหินก่อนที่จะถอนหายใจ

“เจ้ารู้เรื่องนี้เรอะ?” จิ่วโยวอึ้งไปกับคำพูดของเขา พรรคพวกก็หันขวับมามองมู่เฉินด้วยความประหลาดใจ

มู่เฉินพยักหน้า เขารู้เกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ จากมั่นถัวหลัวก่อนที่จะมุ่งหน้ามายังวังสวรรค์บรรพกาล มั่นถัวหลัวบอกข้อมูลเกี่ยวกับวังโบราณซึ่งรวมถึงประตูมังกรทะยานสวรรค์ด้วย

“ประตูนี้มีไว้เพื่ออะไร?” หลินจิ้งถามอย่างสนใจ

“ในยุคโบราณจอมยุทธ์ทุกคนที่ต้องการเข้าร่วมจะต้องผ่านประตูนี้ ซึ่งจะเป็นตัวประเมินความแข็งแกร่งและศักยภาพ สุดท้ายจะมอบสถานะที่เหมาะสมให้ สมาชิกที่โดดเด่นบางคนสามารถขึ้นลำดับสูงได้ด้วยประตูนี้ นี่คือเหตุผลที่ถูกตั้งชื่อว่าประตูมังกรทะยานสวรรค์” มู่เฉินกล่าว

“สถานะ?” ทุกคนอึ้งไป

“จำป้ายหมาป่าเขียวเมื่อครู่ได้ไหม? มันเป็นหนึ่งในนั้น”

มู่เฉินพยักหน้าขณะมองไปที่ประตูหินโบราณด้วยความสนใจ จากนั้นก็พูดต่อว่า “ว่ากันว่ามีการสี่ลำดับที่แตกต่างกันสำหรับสมาชิกในวังสวรรค์บรรพกาล เรียงลำดับจากต่ำไปสูงได้แก่ป้ายหมาป่า ป้ายนกอินทรี ป้ายเจียวและป้ายมังกร ส่วนการแบ่งระดับภายในป้ายก็ขึ้นอยู่กับสีไล่เรียงจาก ขาว-เขียว-ทอง”

“โครงกระดูกที่เห็นก่อนหน้านี้ พวกเขาน่าจะเป็นสมาชิกป้ายหมาป่า”

“เล่าขานกันว่าสมาชิกที่ได้รับป้ายมังกรไม่เพียงแต่จะกลายเป็นศิษย์เอกของวังสวรรค์บรรพกาล แต่พวกเขายังได้รับทรัพยากรมหาศาลพร้อมกับมีโอกาสที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสหรือแม้แต่จอมพลก็ตาม”

ตอนนี้ทุกคนเข้าใจแล้วว่าคนที่ได้รับป้ายมังกรถือว่าทะยานขึ้นฟ้าในก้าวเดียว ดังนั้นประตูทางเข้านี้ก็สมกับชื่ออย่างแท้จริง

“ประตูมังกรทะยานสวรรค์ดูเหมือนจะเป็นทางผ่านเดียวในการเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล คนที่จะเข้าต้องเป็นศิษย์ก่อน” เมื่อมู่เฉินพูดสายตาก็ลุกโชนด้วยเพลิงปรารถนามองไปที่ประตูมังกร อ้างอิงจากคำพูดมั่นถัวหลัวเขาจะต้องเป็นศิษย์ระดับมังกรให้ได้ถ้าประตูยังคงอยู่

นั่นเป็นเพราะมีเพียงศิษย์เอกมังกรเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงส่วนที่ลึกที่สุดของหอคัมภีร์เทพซ่อน

แม้ว่าตอนนี้มู่เฉินจะไม่แน่ใจว่าหอคัมภีร์เทพซ่อนและกฎกติกานั้นยังคงอยู่หรือไม่ แต่ในเมื่อประตูมังกรทะยานสวรรค์ยังคงอยู่ เขาก็ต้องคว้าป้ายมังกรมาให้ได้

ไม่งั้นถ้าถูกปฏิเสธให้เข้าไปในหอคัมภีร์เทพซ่อน เพราะเหตุที่ป้ายไม่ผ่านเกณฑ์ เขาจะต้องเสียใจภายหลังแน่นอน

เพื่อให้ได้รับร่างเทพสุริยะนิรันดร์ เขาจะต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อม

“คิกๆ ชักน่าสนใจ ข้าอยากลองดูว่าจะอยู่ในลำดับไหน… ” ดวงตาหลินจิ้งเป็นประกายสดใสพลางหัวเราะเสียงพลิ้วด้วยความตื่นเต้น

จิ่วโยวมองไปรอบๆ พร้อมกับความตื่นตะลึง นางสังเกตว่าเมื่อเวลาผ่านไปก็มีจอมยุทธ์ชั้นสูงจำนวนมากมารวมกันที่นี่

“ดูเหมือนเจ้าไม่ใช่คนเดียวที่รู้เกี่ยวกับประโยชน์ของประตูมังกรทะยานสวรรค์นะ” จิ่วโยวพูดเสียงต่ำขณะมองฝูงชนหลั่งไหลเข้ามา

มู่เฉินไม่แปลกใจเนื่องจากขั้วอำนาจอื่นก็ตรวจสอบมาทุกวิถีทางเกี่ยวกับวังสวรรค์บรรพกาลใชช่วงหลายปีและประโยชน์ของประตูมังกรทะยานสวรรค์ก็ไม่ได้เป็นความลับอะไร

“ว่ากันว่ามีประตูมังกรทะยานสวรรค์สามประตูอยู่ชั้นนอก ซึ่งที่นี่เป็นหนึ่งในนั้น ไม่งั้นคงได้เห็นคนมากกว่านี้” มู่เฉินยิ้ม

“พวกเราลองตอนนี้เลยไหม?” จิ่วโยวเริ่มจะเครื่องติดขึ้นมาเหมือนกัน

“ไม่ต้องใจร้อน รอดูก่อน” มู่เฉินยิ้มแล้วส่ายหัว มีอัจฉริยะมากมายมารวมตัวกัน เขาชักจะอยากเห็นผลลัพธ์ของคนเหล่านี้

หลินจิ้งกับจิ่วโยวไม่ได้โต้แย้งคำพูดนี้ พวกนางรอคอยด้วยความคาดหวังในหัวใจ เห็นได้ชัดว่าก็อยากรู้ความสามารถของคนอื่นๆ เช่นกัน

ขณะที่รอเสียงลมแหวกอากาศก็ดังไม่หยุด ร่างแสงพลิ้วลงมาราวกับฝนดาวตก ทำให้บริเวณนี้คึกคักยิ่งขึ้น

“หืม นั่นไม่ใช่มือวิญญาณหลิ่วกุยจากสำนักภูตอนธกาลหรือ? เขาก็มาที่นี่เช่นกัน”

เมื่อผู้คนมารวมตัวกันมากขึ้นก็เริ่มมีอัจฉริยะจากขั้วอำนาจชั้นสูงปรากฏตัว ทำให้เกิดความปั่นป่วนไปทั่วบริเวณ

เมื่อมู่เฉินและคนอื่นๆ ได้ยินประโยคเหล่านั้นก็หันไปมองเช่นกัน

ร่างในชุดสีเทาสิบกว่าร่างพุ่งเข้ามาแล้วพลิ้วตัวลงบนต้นไม้ใหญ่ ผู้นำดูธรรมดามาก แต่ดวงตาที่เป็นสีเทาควันกลับเปล่งรัศมีเยือกเย็น ทำให้อุณหภูมิโดยรอบลดฮวบลงรวดเร็ว

“มือวิญญาณหลิ่วกุย อันดับสิบเจ็ด ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด” มู่เฉินมองไปที่พวกหลิ่วกุยพร้อมกับข้อมูลวาบขึ้นในใจ

“แล้วก็หวังทงเสียน อันดับสิบหก…” ไม่นานหลังจากการปรากฏตัวของหลิ่วกุย ภาพเงาสวมชุดสีเหลือง ทะยานเข้ามาราวกับกระเรียน ดึงดูดคำอุทานของคนหลายคน

“…”

ผู้คนยังส่งเสียงฮือฮาไม่หยุดหย่อน ภายในไม่กี่นาทีจอมยุทธ์ในยี่สิบลำดับแรกของทำเนียบรายชื่อก็ปรากฏตัวแล้วห้าหกคน

คนเหล่านี้ล้วนมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด ทรงพลังยิ่งกว่าเซี่ยหง มิน่าล่ะถึงมีอันดับที่สูงกว่า

เมื่อเปรียบเทียบกับพวกเขาแล้ว มู่เฉินที่เพิ่งเข้ามาแทนที่อันดับยี่สิบดูไม่มีนัยสำคัญอะไรเลย

เมื่ออัจฉริยะเหล่านี้ปรากฏตัวก็มองไปที่ประตูมังกรด้วยสายตาลุกโชน แต่พวกเขาไม่รีบเร่งตามแรงกระตุ้น แต่ละคนรอคอยสำหรับเวลาที่ดีที่สุดที่จะลงมือ

“เอ๊ะ?”

ขณะรอ จู่ๆ สีหน้ามู่เฉินก็เปลี่ยนไปกะทันหัน เขาหันหน้ามองไปในทิศทางหนึ่งด้วยสายตาแปลกประหลาด นั่นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงรัศมีกระบี่คมกริบหมุนคว้างเข้ามา

ฟิ้ว!

ในเวลาไม่กี่ลมหายใจ หลังจากที่มู่เฉินสัมผัสได้ถึง เขาก็เห็นกระบี่สีเขียวพาดผ่านขอบฟ้าก่อนจะพุ่งลงมาบนยอดเขาใกล้ๆ

เมื่อรัศมีจางลง ชายที่สวมชุดสีฟ้าอมเขียวก็เผยตัวพร้อมกระบี่ยาวยาวสีเขียวพาดบนหลัง เขามีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น สายตาจ้องมองเหมือนเหยี่ยวซึ่งทำให้คนอื่นรู้สึกแสบผิว

เขาเปล่งรัศมีกระบี่ทรงพลังออกมารอบตัว ซึ่งทำให้มิติโดยรอบทนรับไม่ไหว ถูกบาดออกเป็นริ้วๆ

เมื่อเขาปรากฏตัวก็ดึงดูดสายตานับไม่ถ้วนทันที โดยเฉพาะจอมยุทธ์มีอันดับที่มาถึงก่อน ใบหน้าแต่ละคนเปลี่ยนไปอย่างไม่เป็นธรรมชาติพร้อมกับความตื่นตัวและความหวาดระแวงอัดแน่นในดวงตา

“เขาคือ…” จิ่วโยวหดดวงตาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ชัดว่ารู้สึกถึงอันตรายจากชายคนนั้น

“ฉินจิงเจ๋ออับดับห้า” มู่เฉินพูดช้าๆ การที่จะสามารถข่มจอมยุท์ยี่สิบอันดับแรกได้จนถึงระดับนี้ จะเป็นใครไม่ได้นอกจากฉินจิงเอ๋ออันดับห้า

แม้ว่าพลังของอีกฝ่ายจะอยู่ที่ระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด แต่จากการคาดเดาของมู่เฉิน พลังการต่อสู้ของเขาคงเหนือชั้นไปไกลแล้ว

ฉินจิงเจ๋อไม่ใส่ใจกับสายตาผู้คน เขามองไปที่ประตูมังกรทะยานสวรรค์อย่างเฉยเมย

“ดูท่าประตูฝั่งนี้จะมีจอมยุทธ์อันดับต้นๆ มาอยู่ด้วย” มู่เฉินยิ้มเอ่ย ฉินจิงเจ๋อถือเป็นจอมยุทธ์ที่มีอันดับสูงสุดในบรรดาคนที่มาที่นี่ตอนนี้ แน่นอนว่าอันดันห้าก็ถือว่าเป็นจอมยุทธ์ชั้นนำของทวีปเทียนหลัวแล้ว

ด้วยความสามารถนี้ไม่แปลกที่เขาจะมองข้ามคนอื่น บางทีในสายตาของเขาแม้แต่จอมยุทธ์อย่างหลิ่วกุยและคนอื่นๆ ที่มีขั้นเก้าระยะปลายสุดเหมือนกันก็ไม่เข้าตา

หลิ่วกุย หวังทงเสียนและคนอื่นๆ ไม่พอใจกับท่าทางหยิ่งยโสของฉินจิงเจ๋อ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ นั่นเป็นเพราะแม้จะมีขุมพลังเท่ากัน พวกเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉินจิงเอ๋อ

อันดับห้า ไม่ใช่แค่ตำแหน่งที่เอาไว้เอ่ยเล่น

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

ขณะผู้คนมองฉินจิงเจ๋อด้วยความกลัวและเคารพ ทันใดนั้นเสียงกระหึ่มก็ดังก้องระหว่างฟ้าดิน

เสียงที่ทะลวงโสตประสาทก็ทำให้ใบหน้าเฉยเมยของฉินจิงเจ๋อเปลี่ยนไป เขาเงยหน้าขึ้นสายตาจ้องมองท้องฟ้าไกลออกไป

มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงกะทันหันของฉินจิงเอ๋อ เขาหดดวงตาลง คนที่มาคือใครกันถึงสามารถทำให้ฉินจิงเจ๋อฉายความตกใจในดวงตาได้?

หรือว่า?

ใบหน้ามู่เฉินเคร่งขรึมลงหลายส่วนขณะมองไปที่ท้องฟ้าห่างไกล เขาเห็นจุดสีดำเล็กๆ พาดผ่านขอบฟ้าอย่างเร็วรี่ อึดใจก็มาปรากฏตัวในบริเวณนี้

เมื่อจุดสีดำเคลื่อนเข้ามาใกล้ ทุกคนก็สังเกตว่านี่เป็นแมลงสีดำที่มีสี่ปีก เปล่งรัศมีร้ายกาจออกมารอบตัว ดูดุร้ายมาก

มีผู้หญิงชุดขาวผมยาวยืนอยู่บนหลังแมลงสีดำ เรือนผมสีดำขลับปลิวไสวไปตามสายลม ในมือถือขลุ่ยหยก ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม นางดูอ่อนโยนและงดงามมาก

เป็นความแตกต่างมากเมื่อเปรียบเทียบหญิงสาวชุดขาวกับแมลงดุร้ายที่เป็นเหมือนลางร้ายสะกดอยู่ใต้ฝ่าเท้าของนาง ทำให้คนอื่นถึงกับเหม่อลอย

มู่เฉินมองไปที่สาวงาม สายตาก็เคร่งเครียดลงไปหลายส่วน เขาแลกเปลี่ยนสายตากับจิ่วโยวก็ต่างเห็นแววกังวลในดวงตาอีกฝ่าย

ในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของทวีปเทียนหลัว มีจอมยุทธ์คนเดียวที่มีเอกลักษณ์เช่นนี้และสามารถสร้างความหวาดหวั่นให้กับฉินจิงเจ๋อ

อันดับสองซึ่งเป็นหลิงฉงซือ—ซูชิงหยิง

ไม่คิดว่าจอมยุทธ์ชั้นยอดเช่นนี้จะมาที่นี่เช่นกัน

The Great Ruler | หนึ่งในใต้หล้า

The Great Ruler | หนึ่งในใต้หล้า

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป ‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้ แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์ แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง? ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน… The Great Thousand World. It is a place where numerous planes intersect, a place where many clans live and a place where a group of lords assemble. The Heavenly Sovereigns appear one by one from the Lower Planes and they will all display a legend that others would desire as they pursue the road of being a ruler in this boundless world. In the Endless Fire Territory that the Flame Emperor controls, thousands of fire blazes through the heavens. Inside the Martial Realm, the power of the Martial Ancestor frightens the heaven and the earth. At the West Heaven Temple, the might of the Emperor of a Hundred Battles is absolute. In the Northern Desolate Hill, a place filled with thousands of graves, the Immortal Owner rules the world. A boy from the Northern Spiritual Realm comes out, riding on a Nine Netherworld Bird, as he charges into the brilliant and diverse world. Just who can rule over their destiny of their path on becoming a Great Ruler? In the Great Thousand World, many strive to become a Great Ruler.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset