หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1125 ผู้บัญชาการตำหนักสายลม
เมื่อทั้งสามก้าวเข้าไปในโถงสีฟ้าอมเขียว
แสงพร่างพราวก็ทำให้สายตาพวกเขาพร่ามัวไปก่อนที่จะปรับการมองเห็นได้ เบื้อหน้าเป็นโถงที่เต็มไปด้วยบรรยากาศเก่าแก่และยิ่งใหญ่
โถงปูด้วยหินสีฟ้าอมเขียว เสาสลักที่ดูเหมือนพายุเฮอริเคนขณะที่รองรับเพดานโถงไว้ ตรงกลางเป็นสระน้ำลึกที่มีดอกบัวผุดขึ้นบนผิวน้ำ หมอกสีฟ้าอมเขียวลอยอ้อยอิ่งขึ้นมาจากบ่อน้ำกระจายไปทั่ว
ทั้งสามหายใจเข้าเล็กน้อยก่อนที่จะเพ่งสายตาพร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนไป เนื่องจากพวกเขาสังเกตเห็นว่าหมอกนี้บรรจุด้วยคลื่นหลิงบริสุทธิ์และหนาแน่น
“สระน้ำนี่…” ดวงตาของมู่เฉินสว่างวาบเมื่อมองไปที่สระน้ำพลางเลียริมฝีปาก
“นี่คือสระน้ำที่สร้างมาจากของเหลวจื้อจุน!” จิ่วโยวอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความตกตะลึงในนัยน์ตา นางอึ้งไปอย่างเห็นได้ชัดกับความมั่งคั่งของตำหนักสายลม แอ่งน้ำบริสุทธิ์เช่นนี้อย่างน้อยก็ต้องใช้ของเหลวจื้อจุนหลายร้อยล้านหยดในการเติม
แม้ว่าน้ำในสระจะตื้นเขินขึ้นมาก แต่ก็มีไม่น้อยกว่าห้าสิบล้านหยดแน่นอนหากคิดกลั่นออกมา… ซึ่งจำนวนนี้ก็ยังมหาศาลสำหรับอาณาเขตกงเวทสวรรค์
“สมกับเป็นหนึ่งในเก้าตำหนักมั่งคั่งจริงๆ” มู่เฉินกล่าวชื่นชมแต่ไม่ได้ใจร้อนที่จะรวบรวมของเหลวจื้อจุน เขากวาดสายตามองไปรอบโถง
จากนั้นสายตาเขาก็จดจ่อไปในส่วนลึก มีเสาใหญ่โตมากสองเสาพร้อมกับเปล่งปลั่งด้วยเกลียวแสงมาจากด้านบน ซึ่งมีวัตถุสองชิ้นอยู่ในนั้น
พัดขนนกสีเขียวอมฟ้าและม้วนคัมภีร์หยกเขียว
สายตาของมู่เฉินจ้องไปที่พัดขนนกสีเขียวอมฟ้าเป็นชิ้นแรก ดวงตาก็อดหดลงไม่ได้ “นั่นคือ…อาวุธมหสวรรค์?!”
แม้ว่าพัดขนนกจะดูธรรมดา แต่มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่น่ากลัวที่ออกมาจากวัตถุนั้นซึ่งไม่ใช่ระดับอาวุธเสมือนมหสวรรค์แน่นอน
ดังนั้นมันต้องเป็นอาวุธมหสวรรค์ของแท้!
ม้วนคัมภีร์หยกเขียวก็ต้องเป็นอะไรที่พิเศษ ไม่งั้นคงไม่ได้วางอยู่ข้างพัดขนนก
“สมชื่อวังสวรรค์บรรพกาล” จิ่วโยวถอนหายใจ ผู้บัญชาการตำหนักสายลมเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นกลับครอบครองอาวุธมหสวรรค์ของแท้ เพียงแค่สิ่งนี้อย่างเดียวก็เพียงพอจะทำให้ขั้วอำนาจสูงสุดในภูมิภาคทางเหนือตาร้อนผ่าว เพราะแม้กระทั่งมั่นถัวหลัวยังได้อาวุธมหสรรค์จากมู่เฉินไปเท่านั้น
“ดูเหมือนว่าการเก็บเกี่ยวครั้งนี้ไม่น้อยเลยนะ” ดวงตาของหลินจิ้งเปล่งประกายสดใสขณะหัวเราะร่าเริง
“สมบัติเป็นของดี แต่คงไม่ง่ายที่จะได้รับ” มู่เฉินส่ายหัวชี้ไปทางด้านหลังสระน้ำ ซึ่งมีบันไดหินพร้อมกับที่นั่งไล่เรียงสองข้างของบันได มีร่างเงานับไม่ถ้วนนั่งอยู่
แต่ละร่างสวมเสื้อคลุมเย็บปักประณีต บางคนเป็นเจียวเขียว บางคนเป็นเจียวทองคำ นอกจากนี้ยังมีสองมังกรขาวและหนึ่งมังกรเขียว…
ชัดว่าพวกเขาล้วนเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงของตำหนักสายลมที่มีศิษย์ระดับมังกรเขียวอยู่ในอันดับสูงที่สุด ดูจากที่นั่งเขาจะต้องมีสถานะสูงในตำหนักแห่งนี้แน่
ซากร่างของพวกเขาถูกรักษาไว้เป็นอย่างดี สามารถมองเห็นเนื้อหนังหุ้มโครงกระดูกได้ ทว่าทั้งหมดก็ยังฉายความหวาดกลัวบนใบหน้าแข็งทื่อ
ตอนที่เผ่าปีศาจต่างมิติบุกเข้ามาพร้อมกับรัศมีปีศาจเชี่ยวกรากเทลงมา พวกเขาน่าจะตระหนักได้ แต่ก่อนที่จะทันป้องกัน ชีวิตก็ถูกพรากไปตลอดกาลแล้ว
“ก็แค่ซากศพเอง” หลินจิ้งไม่ได้สนใจ นางสะบัดมือ มวลลมคลื่นหลิงก็กวาดออก
เมื่อลมพัดผ่านซากศพเหล่านั้นก็กลายเป็นฝุ่นกระจายหายไป
ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจทั้งโถงก็ว่างเปล่า
ทว่าใบหน้าของทั้งสามกลับค่อยๆ เคร่งเครียดลงหลายส่วน เมื่อมองไปที่ปลายบันไดโดยมีร่างร่างหนึ่งปรากฏขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ร่างนั้นสวมชุดสีฟ้าอมเขียวอยู่ในวัยกลางคนพร้อมกับรูปลักษณ์ที่ดูสง่างาม ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังเล็ดลอดออกมา
ทั้งสามมองไปที่ร่างเงานั้นมุมหางตาก็กระตุก ตามตำแหน่งและรัศมีบอกชัดเจนว่า… นี่คือเจ้าตำหนักสายลม
โถงปกคลุมไปด้วยความเงียบงัน ทั้งสามก็นิ่งไม่ได้ขยับ แต่สายตาจับจ้องไปที่ผู้บัญชาการตำหนักสายลม นั่นเพราะพวกเขาไม่สามารถยืนยันได้ว่าที่เบื้องหน้าคือคนตายไปแล้ว…หรือติดเชื้อจากรัศมีปีศาจกัน
ไม่นานร่างผู้บัญชาการตำหนักสายลมก็สั่นเทิ้มภายใต้การจ้องมองของทั้งสาม ดวงตาที่ปิดมานับหมื่นปีเปิดขึ้นอย่างช้าๆ
ดวงตาคู่นั้นมีสีดำสนิทแฝงด้วยสีแดงก่ำดูน่ากลัวยิ่งนัก
“ง่า” หลินจิ้งอดกลอกตาไม่ได้
มู่เฉินและจิ่วโยวมองแรงใส่นางด้วยสายตาเคืองๆ “เจ้านี้ปากอีกาจริงๆ… สิ่งเลวร้ายที่เจ้าพูดดันเป็นจริงซะแล้ว”
ก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาที่นี่ หลินจิ้งหวังว่าผู้บัญชาการตำหนักสายลมคงจะไม่กลายเป็นปีศาจร้าย ไม่คิดว่าคำพูดนั้นจะเป็นจริงเมื่อเข้ามา
“งั้นจะเผ่นไหม?” หลินจิ้งบึนปาก
มู่เฉินไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ลองกันก่อนดีไหม?”
เขามองไปที่สระน้ำที่อัดแน่นไปด้วยคลื่นหลิง พัดขนนกสีฟ้าอมเขียวและม้วนคัมภีร์หยกก่อนจะเลียริมฝีปาก
แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังถูกล่อลวงด้วยสมบัติเหล่านี้ ไม่ต้องพูดถึงเขาเลย พวกเขาเข้ามาในวังสวรรค์บรรพกาลเพื่อมองหาโอกาสใหม่และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ตัวเอง ดังนั้นเขาจึงไม่อยากยอมแพ้ง่ายเมื่อสิ่งนั้นอยู่แค่เอื้อมมือ
“คิกๆ งั้นลองดูกันสักตั้ง!” ดวงตาของหลินจิ้งกะพริบด้วยความตื่นเต้นเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว เห็นได้ชัดว่านางก็ไม่อยากออกไปโดยไม่ได้เก็บเกี่ยวอะไร
จิ่วโยวพยักหน้าเห็นด้วย ในเมื่อทุกคนไม่อยากถอยไปก็รวมพลังลองกันสักตั้ง หวังว่าตอนนี้ผู้บัญชาการตำหนักสายลมจะอ่อนลงจนต่ำกว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นแล้ว
เมื่อทั้งสามเห็นพ้องต้องกัน ดวงตาผู้บัญชาการตำหนักสายลมก็เล็งมาที่มู่เฉินก่อนจะลุกขึ้นกระทืบเท้า
ตู้ม!
พายุสีดำกวนตัวใต้ฝ่าเท้าเขา ฉีกมิติพุ่งเข้าหาทั้งสามอย่างรวดเร็ว เส้นทางผ่านมิติพังทลาย
วาบ!
เมื่อพายุโจมตีเข้ามา แสงเย็นยะเยือกก็วูบไหว ตุ๊กตาน้ำแข็งของหลินจิ้งมายืนตรงหน้าเสือกแทงพายุด้วยกระบี่ยาว
รัศมีเย็นเยือกร้อยจั้งพวยพุ่งราวกับอสรพิษปะทะกับพายุสีดำจังใหญ่
ปัง!
จังหวะที่ปะทะกันอากาศก็ระเบิดออกพร้อมกับคลื่นกระแทกที่เห็นด้วยตาเปล่ากระหน่ำออกมาทำให้มิติโดยรอบกระเพื่อมพร้อมกับเสียงราวกับฟ้าคำรน
ครืน!
ร่างตุ๊กตาน้ำแข็งสั่นสะท้านก่อนจะถูกคลื่นกระแทกซัดออกไป ชนเข้ากับเสาหินหนาทำให้กลายเป็นฝุ่นผงในพริบตา
แค่กระบวนท่าแรกตุ๊กตาน้ำแข็งซึ่งเทียบได้กับระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มก็เสียเปรียบเต็มประตู
ใบหน้าของทั้งสามคนเปลี่ยนไป พลังของผู้บัญชาการตำหนักสายลมเกินความคาดหมายไป
ตามการคาดการณ์แม้ว่าผู้บัญชาการตำหนักสายลมจะรักษาสภาพร่างกายได้จากรัศมีปีศาจแต่ก็น่าจะอ่อนแอลงมากเพราะผ่านมานับหมื่นปีแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่าแม้อ่อนแอลงก็ยังเกินกว่าระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มทั่วไป
ฮา
มู่เฉินสูดหายใจลึกสุดปอด ไอเย็นเยือกพรั่งพรูในนัยน์ตา เขากำมือหอกสีแดงก่ำก็ปรากฏอยู่ในมือพร้อมกับชุดเกราะสลักด้วยมังกรเพลิงเหี้ยมหาญสวมลงบนร่างกาย
นี่คือชุดเกราะสงครามมังกรแดงที่ได้มาจากเซี่ยหง ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่นำมาใช้ตั้งแต่ได้รับ
ตู้ม!
สวมชุดเกราะไว้ หอกก็ชี้ปลายลง คลื่นหลิงรอบตัวมู่เฉินก็พวยพุ่งรุนแรง จนถึงจุดที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มก็ยังหวาดกลัว
ตุ๊กตาน้ำแข็งลอยขึ้นไปกลางอากาศ กระบี่ยาวชี้ไปทางผู้บัญชาการตำหนักสายลม
ส่วนรอบร่างจิ่วโยวพลุ่งพล่านด้วยเพลิงผลึกใสสว่างไสว ทำให้อุณหภูมิร้อนระอุในทันที มากจนแม้แต่มิติก็บิดเบี้ยว
ใบหน้าของหลินจิ้งจริงจังขึ้นพร้อมกับเกลียวแสงสีขาวเต้นระริกที่ปลายนิ้วมือ ดูเหมือนจะกลายเป็นอักขระโบราณที่แปลกพิศวงเอิบอาบไปด้วยความผันผวนที่น่ากลัว
สามจอมยุทธ์หนึ่งหุ่นเงาปลดปล่อยแรงกดดันทรงพลังออกมา ซึ่งกระจายแรงกดดันส่วนใหญ่ที่พลุ่งพล่านมาจากผู้บัญชาการตำหนักสายลมออกไป
โฮก!
เผชิญหน้ากับการรวมตัวแบบนี้ แม้ว่าผู้บัญชาการตำหนักสายลมจะไม่เหลือสติสัมปชัญญะ แต่ก็สัมผัสได้ถึงภัยคุกคาม ดังนั้นเขาจึงเปล่งเสียงคำรามลั่น รัศมีปีศาจโดยรอบก็แกร่งกร้าวขึ้น
เมื่อรู้สึกถึงพลังงานพลุ่งพล่านในร่างกาย จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ก็ควบแน่นอยู่ในดวงตาของมู่เฉิน เขาไม่ลังเลกระทืบเท้าลงไป ร่างก็พุ่งออกมาเป็นสาย
“จัดการมัน!”
เวลาเดียวกันเสียงคำรามของมู่เฉินก็ดังก้องในโถงนี้