หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1150 เซี่ยหยู่สิ้นชีพ
เมื่อมู่เฉินชกหมัดลงมา
คลื่นหลิงที่รุนแรงในบริเวณนี้ก็หายไปทันที ร่างราชันฟากฟ้ามหึมาก็แตกสลาย
ขณะที่ร่างเทห์สวรรค์กระจัดกระจาย ผู้ชมก็ตกตะลึกด้วยความไม่เชื่อเต็มสายตา
“ขะ…เขาฆ่าเซียวหยูจริงเหรอ?!”
ทุกคนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ขณะสายตามองไปที่มู่เฉินด้วยความกลัว ความเด็ดขาดของมู่เฉินทำเอาพวกเขาหนาวสั่นในใจ
นั่นคือเซี่ยหยู่องค์รัชทายาทแคว้นเซี่ย ผู้สืบทอดบัลลังก์นะ!
ด้วยความสำคัญของเซี่ยหยู่ ถ้าฮ่องเต้เซี่ยทราบข่าวการตายของลูกชายคนโตละก็ เขาไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้สงบลงแน่ ความเกรี้ยวกราดของฮ่องเต้เซี่ยเป็นสิ่งที่มู่เฉินจะทนรับได้รึ? ชัดเจนว่าไม่เลย…
มู่เฉินมองศพไร้หัวอย่างสงบ ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน หมัดนั้นไม่เพียงแต่ระเบิดหัวเซี่ยหยู่จนกระจุย แต่ไอสังหารที่อยู่เบื้องหลังหมัดยังทำลายจุดจื้อจุนไห่ของเซี่ยหยู่ไปด้วย…
ดังนั้นวันนี้ที่นี่เซี่ยหยู่สิ้นชีพตลอดกาล
มู่เฉินทราบดีว่าตนเองจะทำให้แคว้นเซี่ยขุ่มเคืองเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์ แต่เขาก็สังหารโดยไม่ลังเล นั่นเป็นเพราะมู่เฉินรู้ชัดว่าเซี่ยหยู่เป็นคนที่น่ากลัว แม้ว่าจะบีบบังคับเซี่ยหยู่ต้องล่าถอย แต่คนอย่างเซี่ยหยู่ก็จะตามกัดเขาทุกครั้งที่มีโอกาสแน่นอน
นอกจากนี้พรสวรรค์ของเซี่ยหยู่ก็จัดว่าดีเยี่ยม ตามการคาดการณ์ของมู่เฉินถ้าเซี่ยหยู่มีเวลามากขึ้นบวกกับทรัพยากรของแคว้นเซี่ยก็มีโอกาสมากที่จะบรรลุระดับตี้จื้อจุนได้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จำเป็นที่จะต้องจัดการให้สิ้นซาก เพราะมู่เฉินไม่ต้องการถูกหมายหัวจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนในอนาคต
เมื่อพิจารณาจากเหตุผลโดยรวมแล้ว มู่เฉินก็ไม่ลังเลที่จะฆ่าและทำลายล้างผู้สืบทอดบัลลังก์แคว้นเซี่ย
“แต่นี่ก็จะทำให้แคว้นเซี่ยเคียดแค้นแน่”
สายตาของมู่เฉินวูบไหว ฮ่องเต้เซี่ยเป็นผู้นำเผด็จการในทวีปเทียนหลัวและหากฮ่องเต้เซี่ยตัดสินใจที่จะเคลื่อนไหวก็จะเป็นหายนะสำหรับมู่เฉินแน่นอน แต่โชคดีที่เขามีมั่นถัวหลัวคอยสนับสนุนจึงไม่มีอะไรต้องกลัว
“ดูเหมือนว่าจำเป็นอย่างยิ่งแล้วที่จะต้องช่วยมั่นถัวหลัวค้นหาร่างหลัก”
มู่เฉินเบ้ปาก ฮ่องเต้เซี่ยเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายที่ครอบครองอาวุมหสวรรค์ขั้นกลาง ดังนั้นความแข็งแกร่งในการต่อสู้จึงถือได้ว่าไม่ธรรมดาของในหมู่จอมยุทธ์ระดับนี้ แม้แต่มั่นถัวหลัวก็ไม่มั่นใจว่าจะชนะ ไม่ต้องพูดถึงว่ามั่นถัวหลัวยังมีศัตรูคู่แค้นที่ต้องรับมืออย่างเจ้าตำหนักเทพปีศาจ
ดังนั้นเพื่อเป็นการรับประกันตัวเอง เขาต้องช่วยมั่นถัวหลัวหาร่างให้พบ เมื่อนางหลอมรวมกับร่างหลักความแข็งแกร่งก็จะเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ในเวลานั้นไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้เซี่ย เนื่องจากความแข็งแกร่งของมั่นถัวหลัวจะติดอันดับต้นๆ ในทวีปเทียนหลัวอีกด้วย
แม้ว่าเขาและมั่นถัวหลัวจะเป็นเพื่อนกัน แต่เขาก็ไม่สามารถให้นางสะสางเรื่องยุ่งเหยิงของเขาอยู่ตลอด เขาต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อนางด้วยเช่นกัน
ดังนั้นเขาต้องทำภารกิจค้นหาร่างหลักของมั่นถัวหลัวให้สำเร็จ
เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาเงยหน้าขึ้นมองตราหยกดำที่ลอยอยู่ในอากาศ นี่คือตราราชันไศลนทีที่เซี่ยหยู่ใช้ก่อนหน้านี้
มู่เฉินยื่นมือออกมาหยิบ เขาให้ความสนใจอย่างมากกับวัตถุที่สามารถแยกร่างเทห์สวรรค์ออกจากผู้ฝึกได้ คราวนี้ถ้าไม่ใช่เพราะเขาใช้หมัดปีศาจพลีชีพได้อย่างสมบูรณ์ เขาอาจต้องนำพัดเทพสายลมออกมาเพื่อรับมือ
มู่เฉินจับตราหยกดำก็สัมผัสบางอย่างได้วูบหนึ่งก่อนที่คิ้วจะขมวด นั่นเป็นเพราะเขาตระหนักว่าคลื่นหลิงที่อยู่ในนั้นหมดลงอย่างสมบูรณ์จากการต่อสู้กระบวนท่าสุดท้าย หากเขาต้องการใช้อีกครั้งก็ต้องใช้เวลาอย่างมากในการเทพลังงานเข้าไป
โยนตราขึ้นลงในมือมู่เฉินก็เก็บเอาไว้ แม้ว่าคลื่นหลิงในนั้นจะหมดลงอย่างสมบูรณ์ แต่ก็ยังคงเป็นวัตถุพิเศษและอาจมีประโยชน์หากเก็บไว้
มู่เฉินโบกมือป้ายมังกรทองคำก็ปรากฏขึ้น นี่เป็นของเซี่ยหยู่
มู่เฉินตบแผ่นโลหะเบาๆ ก็เห็นก้อนแสงลอยขึ้นตรงหน้า นี่ก็คือจิตทะเลสาบสวรรค์
ซึ่งมีจำนวนแปดดวงเลยทีเดียว
เห็นชัดว่านั่นคือการเก็บเกี่ยวของเซี่ยหยู่
“ประสิทธิภาพของเจ้านี่ดีทีเดียว…” มู่เฉินมองไปที่ก้อนอัญมณีทั้งแปดก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ เขาวางกับดักหนักหนาอยู่ที่นี่ก็ได้มาเพียงสิบสามดวง ซึ่งไม่ได้ต่างอะไรจากเซี่ยหยู่มากนัก
อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นประโยชน์ต่อมู่เฉินในที่สุด
ดังนั้นมู่เฉินจึงเก็บก้อนจิตทั้งแปดดวงไว้โดยไม่ลังเล ภายใต้สายตาโลภมากของทุกคน ด้วยวิธีนี้เขาจะมีจิตทะเลสาบสวรรค์ยี่สิบเอ็ดดวง ตราบใดที่เขารับได้อีกเก้าดวงก็จะถึงข้อกำหนดขั้นต่ำสำหรับการชำระล้าง
หลังจากเก็บดอกผล มู่เฉินก็กวาดสายตาไปในระยะไกล เมื่อระลอกการต่อสู้กระจายออกไปเขาก็สัมผัสได้ว่ามีบางคนคืบคลานเข้ามา
คนเหล่านั้นมองไปที่มู่เฉินด้วยความโลภในสายตา
แม้ว่ามู่เฉินจะได้รับชัยชนะจากการต่อสู้นี้ แต่แน่นอนว่าก็ต้องเหนื่อยมากเช่นกัน ร่างเทพสุริยะที่อยู่ใต้เท้าถูกเรียกคืนเพื่อรักษาพลังงาน แต่จากระลอกคลื่นหลิงที่มาจากมู่เฉินก็บอกว่าเขาอ่อนแอกว่าเมื่อก่อนมาก
จอมยุทธ์เหล่านั้นรู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้าของมู่เฉินจึงอดไม่ได้ที่จะขยับเข้าไปใกล้ด้วยความหวังว่าพวกเขาจะมีโอกาสได้รับประโยชน์หรือไม่ ท้ายที่สุดแล้วตราราชันไศลนทีและจิตทะเลสาบสวรรค์ที่มู่เฉินได้รับก็ดึงดูดมากสำหรับพวกเขา
เผชิญกับเหล่าคนโลภ มู่เฉินก็ปรายตาอย่างเย็นชาก่อนที่จะถอยกลับเข้าไปในปราการค่ายกล
หลังจากเข้าสู่ค่ายกลมู่เฉินก็สะบัดนิ้ว ค่ายกลเก้าเทพมังกรเทพประหารซึ่งเป็นชั้นนอกก็เริ่มเคลื่อนไหว ทันใดนั้นคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตก็ระเบิดออกพร้อมกับแรงกดดันทรงพลังแผ่ออกมา
คนที่พยายามเข้าใกล้ก็รู้สึกได้ว่าค่ายกลน่ากลัวเพียงใด ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้ พวกเขารู้สึกถึงอันตรายที่มาขากขบวนแถวแสงเหล่านี้
“มู่เฉินเคี้ยวไม่ง่ายจริงๆ… สามารถสร้างค่ายกลที่น่าเกรงขามเช่นนี้ ไม่น่าแปลกใจที่ขนาดเซี่ยหยู่ก็ยังไม่กล้าก้าวเข้าไป”
“ถ้ามู่เฉินใช้ค่ายกลในการต่อสู้ด้วย เซี่ยหยู่อาจจะแพ้เร็วกว่านี้ก็ได้”
“ลืมไปเถอะ เจ้านั่นไม่ใช่พวกแหย อย่าไปยั่วโมโหเขาเลย…”
“…”
แต่ละคนถอนหายใจก่อนที่จะถอยกลับทันที เผชิญหน้ากับมู่เฉินที่ตั้งระวังพวกเขาไม่มีโอกาสเลย
เมื่อมู่เฉินเห็นก็ไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ แต่นั่งลงในค่ายกล ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วไปยังสภาพพร้อมรบ
เมื่อเห็นการกระทำของเขา ทุกคนก็บ่ายหน้าจากไป เพราะพวกเขาต้องจับจิตทะเลสาบสวรรค์เช่นกัน ไม่มีใครอยากรออยู่ที่นี่ นอกจากนี้หากมู่เฉินสามารถฟื้นตัวตามมาได้ ดาวหายนะคงพุ่งใส่พวกเขาแน่
ดังนั้นในเวลาเพียงไม่กี่นาทีทั่วบริเวณก็เงียบลง น้ำในทะเลสาบกระเซ็นลบร่องรอยการต่อสู้ไปอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกันที่จุดอื่นของทะเลสาบสวรรค์
ทันทีที่เซี่ยหยู่ถูกฆ่า จู้เยี่ยนก็หรี่ตาลง ผลลัพธ์นี้ช่างเกินความคาดหมายของเขา ทว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไร หันกลับจากไป
เซียวเซียวมองภาพเงานั่นก็หัวเราะเบาๆ “รอให้ข้าเสร็จภารกิจแล้วจะไปเล่นกับเจ้า”
เสียงหัวเราะของนางชวนเคลิบเคลิ้ม แต่เมื่อจู้เยี่ยนได้ยินก็ต้องหดดวงตา เขารู้ว่าการขัดขวางครั้งนี้ทำให้เซียวเซียวโกรธแล้ว
“ข้าจะรอ”
แต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้าจากไป
“มู่เฉินเป็นอะไรที่แน่จริง…”
ซูซิงหยิงเล่นกับตะขาบแดงก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้มให้จิ่วโยว ทว่ารอยยิ้มของนางดูเคร่งเครียดมาก นางเคยต่อสู้กับเซี่ยหยู่มาก่อนรู้ว่าอีกฝ่ายมีพลังแค่ไหน แม้ว่านางก็ยังไม่มั่นใจที่จะฆ่าเขา แต่มู่เฉินทำสำเร็จซึ่งนี่ทำให้นางรู้สึกตกใจเล็กน้อย
จิ่วโยวมองไปที่ซูชิงหยิงอย่างเย็นชา แต่ก็ไม่ใส่ใจที่จะเสวนาด้วย
“ฮ่าๆ วางใจเถอะ ข้าไม่เข้าร่วมเรื่องนี้ต่อ พวกเจ้ามีข้อได้เปรียบจากจำนวน แม้แต่ข้าก็กลัว” เมื่อเห็นการแสดงออกที่เย็นชาของจิ่วโยว ซูชิงหยิงยิ้มบางก่อนที่จะโบกมือแสงสีฟ้าอมเขียวเคลื่อนออกไป
เมื่อเห็นการจากไปนั่น จิ่วโยวก็รู้สึกโล่งใจ ซูซิงหยิงแข็งแกร่งกว่านาง แม้นางจะพอสู้ได้บ้างถ้าใช้กระบวนท่าเรียกสายลม แต่การต่อสู้ลากออกไปนางจะอยู่ในสภาพที่แย่มาก
แต่โชคดีที่มู่เฉินชนะ…
จิ่วโยวเงยหน้าขึ้นมองไปในระยะไกลพร้อมกับรอยยิ้มฉายที่มุมริมฝีปาก
จาโหลหลัวมองไปที่กระจก
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินฆ่าเซี่ยหยู่ได้อย่างไรก็โบกมือเก็บกระจกทองแดงไปก่อนพูดเบาๆ ว่า “ช่างโหดดีจริง”
แม้ว่าเขาจะมีสีหน้าสงบ แต่ก็มีระลอกคลื่นบางอย่างอยู่ในส่วนลึกของดวงตา เห็นได้ชัดว่าพลังในการต่อสู้ของมู่เฉินเกินความคาดหมายของเขา
“ถ้าเจ้าอยากสร้างปัญหากับมู่เฉิน ระวังถูกฆ่านะ” หลินจิ้งจับไข่มุกดำขณะยิ้มตาหยี
จาโหลหลัวยิ้มนิ้วทั้งสิบไขว้พันกัน “เขาและข้าจะต้องต่อสู้ แต่ข้าจะฆ่าเขาแน่นอน”
หลินจิ้งเลิกคิ้วมองจาโหลหลัว “งั้นเจ้าก็เตรียมตายด้วยได้เลย”
จาโหลหลัวขมวดคิ้วแต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไร เขายักไหล่ก่อนจะหันกลับจากไป
“ก็อาจจะ…”