หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1199 เผ่าฝูถู
“เผ่าฝูถู”
ชื่อนี้สั่นสะเทือนหัวใจของมู่เฉิน สายตาของเขาเปลี่ยนไป เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่าวิชามหาเจดีย์น่าจะเกี่ยวข้องกับเผ่าฝูถู
หากเขาเดาได้ถูกต้องละก็ พวกที่ขังมารดาของเขาไว้ก็น่าจะเป็นเผ่าฝูถู!
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมมารดาที่เป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือที่มีพลังคล้ายกับระดับเทียนจื้อจุนถึงต้องจากไปเพื่อปกป้องเขาและบิดา
แม้เขาจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับเผ่าฝูถู แต่เขาก็รู้ว่าหนึ่งในเผ่าโบราณของมหาพันภพน่ากลัวเพียงใด
แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดายังต้องระวังเมื่อเผชิญกับอำนาจเช่นนี้
“มิน่าท่านแม่ถึงไม่ต้องการให้ข้าเผยวิชามหาเจดีย์บ่อยครั้งเกินไป นางกลัวว่าข้าจะถูกตรวจพบโดยเผ่าฝูถูนี่เอง ด้วยพลังของพวกเขาจะเป็นภัยคุกคามยิ่งใหญ่สำหรับข้าหากพวกเขาค้นพบ”
มู่เฉินเม้มริมฝีปาก นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงละวิชามหาเจดีย์เอาไว้ มิหนำซ้ำยังซ่อนไว้ด้วยความกลัวว่าคนอื่นจะจับได้
เขายังมีพลังไม่เพียงพอที่จะช่วยเหลือมารดาและเขาไม่ต้องการที่จะนำปัญหาที่ไม่จำเป็นไปให้มารดาเพราะความประมาท
เมื่อจักรพรรดิฟ้าเห็นสีหน้าของมู่เฉินก็คิดว่าอีกฝ่ายรู้สึกประหม่าเพราะต้องไปที่เผ่าโบราณเพื่อคว้าร่างมหาเทพนิรันดร์ เขายิ้ม “เจ้าไม่ต้องกังวลเกินไป แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้พิทักษ์ แต่ก็ไม่สามารถควบคุมได้ ร่างมหาเทพปฐมกาลจะเลือกผู้ฝึกด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่แม้แต่เผ่าหมัวเฮอก็ทำอะไรไม่ได้ หากเจ้ามั่นใจเพียงพอก็เดินทางไปที่นั่นได้”
“แน่นอนว่าเจ้าจะต้องมีพลังมากพอก่อน! มิฉะนั้นอย่าไปเยี่ยมเผ่าหมัวเฮอโบราณนั่นเลย” ขณะที่พูดท่าทางของจักรพรรดิฟ้าก็กลายเป็นเคร่งเครียด
มู่เฉินพยักหน้าอย่างเงียบๆ เขาไม่ใช่คนโง่ ร่างมหาเทพนิรันดร์เป็นสิ่งที่แม้แต่เผ่าหมัวเฮอยังมองว่าเป็นสมบัติล้ำค่า แม้จะเป็นผู้พิทักษ์ แต่พวกเขาก็คงปรารถนาครอบครองแน่นอน ดังนั้นถ้าเป็นใครบางคนในเผ่าของพวกเขาได้รับก็ดีไป แต่ถ้ามีคนอื่นต้องการรับก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้รับผลกระทบ
ดังนั้นเขาจะต้องแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรับมือกับปัญหาเหล่านี้
“ทำไมตอนนั้นอาจารย์ไม่ไปรับร่างมหาเทพนิรันดร์ล่ะขอรับ?” มู่เฉินนึกขึ้นได้ก็ถามออกมา จักรพรรดิฟ้าฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์เช่นกัน ดังนั้นเขาน่าจะมีคุณสมบัติที่จะได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์ด้วย
รากฐานของเผ่าหมัวเฮอทรงพลังก็จริง แต่จักรพรรดิฟ้าและวังสวรรค์บรรพกาลก็ไม่ธรรมดา ดังนั้นถ้าเป็นจักรพรรดิฟ้าก็มีคุณสมบัติที่จะลองรับร่างมหาเทพนิรันดร์
จักรพรรดิฟ้าส่ายหัวด้วยความเสียดาย “ข้าก็คิดเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ร่างมหาเทพนิรันดร์มีเจ้าของแล้วในยุคข้า ดังนั้นไม่มีอะไรที่ข้าจะสามารถทำได้เกี่ยวกับเรื่องนี้”
“โอ้?”
มู่เฉินสั่นไหว แม้แต่คนอย่างจักรพรรดิฟ้าก็ไม่สามารถรับร่างมหาเทพนิรันดร์ได้รึ? แล้วใครคือเจ้าของคนก่อนที่ขนาดจักรพรรดิฟ้ายังต้องยอมแพ้ให้?
“ฮ่าๆ เขาเป็นจอมยุทธ์ทรงอำนาจ ย้อนกลับไปตอนนั้นเขาเป็นหนึ่งในจุดสุดยอดของมหาพันภพ แม้กระทั่งข้ายังต้องยอมรับกับความด้อยของตัวเอง ไม่งั้นข้าก็อยากจะลองรับร่างมหาเทพนิรันดร์สักครั้ง ถ้าข้าสามารถได้รับมา แม้แต่ไอ้เก้าซากก็ไม่สามารถทำให้อะไรกับข้าได้” จักรพรรดิฟ้ายิ้มด้วยความชื่นชมนับถือฉายบนใบหน้า
คนที่มีคุณสมบัติพอที่จะได้รับความนับถือจากจักรพรรดิฟ้าต้องดำรงอยู่อย่างไม่ธรรมดาแน่นอน มู่เฉินเริ่มชักจะอยากรู้ “ผู้อาวุโสคนนั้นคือใครขอรับ?”
“ในสมัยโบราณเขาเป็นที่รู้จักกันในฉายาเทพจักรพรรดินิรันดร์ เขาได้รับการพิจารณาว่าเป็นหนึ่งในผู้นำของยุคนั้น เขาพึ่งพาพลังของตัวเองเผชิญหน้ากับจอมปีศาจระดับเทียนหลายคนซึ่งจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของจักรวรรดิปีศาจ” จักรพรรดิฟ้าอธิบาย
“เทพจักรพรรดินิรันดร์”
มู่เฉินพึมพำชื่อซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายโบราณ เห็นได้ชัดว่าฉายานี้มาจากร่างมหาเทพนิรันดร์ที่เขาครอบครอง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของจอมยุทธ์ผู้นี้
เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ มู่เฉินก็ยิ่งคาดหวังกับร่างมหาเทพนิรันดร์มากยิ่งขึ้น
“หนทางนี้ยังห่างไกล เจ้าควรมุ่งเน้นการฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ให้ถึงขีดสุดซะก่อน” จักรพรรดิฟ้าสอนสั่งเมื่อเห็นความปรารถนาร้อนแรงในแววตาของมู่เฉิน
มู่เฉินพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เขาไม่ใช่คนที่กัดมากกว่าจะเคี้ยวได้ แม้ว่าในใจเขาจะคาดหวังกับร่างมหาเทพนิรันดร์ แต่ก็รู้ว่าต้องเดินไปทีละก้าว ตอนนี้ต่อให้ร่างนี้จะถูกวางไว้ตรงหน้า เขาก็ไม่สามารถฝึกฝนได้
หลังจากพูดคุยกันมากมาย มู่เฉินก็เห็นร่างจักรพรรดิฟ้าเริ่มจางหายไปมากขึ้น นี่ทำให้แววตาของมู่เฉินมืดครึ้ม เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิฟ้าถึงขีดจำกัดแล้ว
เศษเสี้ยวสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ในโลกนี้กำลังจะหายไปตลอดกาล
มั่นถัวหลัวที่อยู่ข้างๆ ได้แต่นิ่งเงียบ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
เมื่อเห็นท่าทางของพวกเด็กๆ จักรพรรดิฟ้าก็ยิ้มขณะที่ลูบหัวมั่นถัวหลัวอย่างรักใคร่ “มู่เฉินมีศักยภาพมหาศาล หากเขาต้องการความคุ้มครองจากเจ้าในอนาคต โปรดทำให้ดีที่สุดเพื่อช่วยเขา”
มั่นถัวหลัวพยักหน้าเบาๆ
จักรพรรดิฟ้ามองมู่เฉินนิ่ง “ข้าฟูมฟักดอกแมนดาลาน้อยคล้ายกับบุตรสาวอันเป็นที่รัก ในเมื่อเจ้าเป็นทายาทของข้า นางก็ถือว่าเป็นพี่สาวของเจ้าด้วยเช่นกัน”
มู่เฉินรู้สึกอึกอักไปบ้าง นี่เป็นเรื่องยากที่เขาจะเปิดปากเรียกเมื่อมองไปที่รูปร่างกระจ้อยร่อยของมั่นถัวหลัว แต่เขารู้ว่าที่จักรพรรดิฟ้าทำเช่นนั้นก็เพื่อฝากลูกสาว มู่เฉินผงกศีรษะพลางยิ้ม “ศิษย์พี่หญิง ข้าฝากตัวด้วย”
เมื่อมั่นถัวหลัวที่อยู่ในความโศกเศร้าได้ยินตำแหน่งที่มู่เฉินเรียก นางก็ยิ้มพลางกลอกตาใส่อีกฝ่าย ความเศร้าดูลดลงไประดับหนึ่ง
จักรพรรดิฟ้าพยักหน้าขอบคุณกับภาพนี้ เขารู้ว่ามั่นถัวหลัวมีนิสัยโดดเดี่ยวและยากสำหรับนางที่จะมีสหายสนิท แต่เขาสังเกตเห็นความไว้วางใจระหว่างมู่เฉินกับนาง ยามนี้มู่เฉินยังอ่อนแอ แต่เขาเชื่อว่าชายหนุ่มคนนี้จะเติบโตเป็นยอดยุทธ์ในอนาคตที่สามารถปกป้องมั่นถัวหลัวได้
“มหาพันภพอาจดูสงบสุขในขณะนี้ แต่จักรวรรดิปีศาจต่างมิติกำลังจับตามองพวกเราอยู่เสมอ พวกมันเหล่านั้นลึกลับมาก ไม่มีใครรู้ว่ามาจากไหน จากความรู้สึกข้า แม้การรุกรานครั้งก่อนจะดูยิ่งใหญ่ แต่ก็เหมือนยังซ่อนพลังไว้ ดังนั้นถ้าพวกมันบุกเข้ามาอีกเป็นครั้งที่สองจะยิ่งใหญ่เกินคณนา จากนี้ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าที่จะปกป้องจักรวาลนี้แล้ว” จักรพรรดิฟ้าถอนหายใจ
มู่เฉิน มั่นถัวหลัวและจิ่วโยวพยักหน้าเบาๆ
จักรพรรดิฟ้าไม่ได้พูดอะไรอีก ร่างค่อยๆ จางลง สุดท้ายกลายเป็นจุดแสงมหาศาลกระจายออกร่วงลงในทะเลสาบสวรรค์และหายไปในที่สุด
มองดูการลาจากของจักรพรรดิฟ้า ทั้งสามก็ยังคงนิ่งเงียบเป็นเวลานานบรรยากาศหดหู่อบอวลรอบตัว
ในที่สุดมั่นถัวหลัวก็ควบคุมความเศร้าขณะที่หันมองไปทางมู่เฉิน “ไปกันเถอะ”
มู่เฉินพยักหน้า “เราควรทำยังไงกับวังโบราณนี้ดี?”
วังสวรรค์บรรพกาลเป็นดินแดนที่จักรพรรดิฟ้าสร้างขึ้นมาหลายปี ด้วยสภาพการเพาะบ่มที่อุดมสมบูรณ์ ถ้าสามารถใช้ประโยชน์ได้ก็จะดีต่อขั้วอำนาจมาก
มั่นถัวหลัวครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเอ่ยปาก “เดี๋ยวเราย้ายไปไว้ที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์เถอะ แต่นั่นต้องจัดระเบียบพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือใหม่ซะก่อน”
มู่เฉินพยักหน้าเงียบๆ พันธมิตรภูมิภาคทางเหนือปัจจุบันหละหลวมมาก หากคนเหล่านั้นมีส่วนร่วมในวังโบราณก็ย่อมหลีกเลี่ยงปัญหาไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจะต้องจัดการจัดระเบียบเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนก่อน
เมื่อก่อนมั่นถัวหลัวเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ดังนั้นจะมีคลื่นใต้น้ำหากนางต้องการจัดเรียงการกระจายอำนาจใหม่ แต่ตอนนี้พลังของนางเพิ่มขึ้น มิหนำซ้ำมู่เฉินก็บรรลุขุมพลังตี้จื้อจุน ซึ่งเมื่อบวกกับวิชาสามพิสุทธิ์ก็จะได้รับการพิจารณาว่าเป็นจอมยุทธ์อันดับสองในภูมิภาคทางเหนือรองจากมั่นถัวหลัว
ด้วยไพ่ตายเหล่านี้แม้ว่าขั้วอำนาจอื่นๆ ในภูมิภาคทางเหนือต้องการที่จะต่อต้าน ทั้งสองก็สามารถปราบจนราบคาบได้
เมื่อตัดสินใจได้มู่เฉินก็พยักหน้าเบาๆ ให้ร่างรองทั้งสอง พวกเขายิ้มพุ่งลงไปในทะเลสาบสวรรค์เริ่มการเพาะบ่มเสริมกำลังทันที
มู่เฉินยังคงรู้สึกถึงความเชื่อมโยงระหว่างพวกเขา เพียงแค่คิดเขาก็จะสามารถเรียกร่างรองทั้งสองกลับมาได้ในพริบตา ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลกันเท่าไรก็ตาม
หลังจากให้ร่างรองทั้งสองเข้าไปในทะเลสาบสวรรค์เขาก็พยักหน้าให้มั่นถัวหลัว นางสะบัดมือ อุโมงค์มิติปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา
มู่เฉินพุ่งเข้าไปพร้อมกับจิ่วโยว มั่นถัวหลัวอยู่รั้งท้าย สายตานางมองไปที่ทะเลสาบสวรรค์ หยาดน้ำตาหยดหนึ่งไหลมาจากหางตา ก่อนที่นางจะหันหลังก้าวออกไป
อุโมงค์ค่อยๆ หายไป ความสงบสุขกลับคืนสู่มิตินี้อีกครั้ง มีเพียงเสียงคลื่นที่ดังสะท้อนในมิติ