หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1231 ดินแดนโบราณ
บนยอดเขาด้านหลังวังลั่วเสิน
มู่เฉินนั่งอยู่บนก้อนหินสีเขียวต้อนรับสายลมพลิ้วไหวที่พัดผ่านเสื้อผ้าไป
ดวงตาทั้งสองข้างปิดสทิท ฝ่ามือวาดตราประทับ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตส่งเสียงหวีดหวิวโดยรอบ ดูราวกับสายธารที่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายของมู่เฉินที่เหมือนกับเป็นหลุมลึก
เมื่อเข้าสู่ขุมพลังตี้จื้อจุน ปริมาณคลื่นหลิงที่มู่เฉินสามารถกักเก็บได้นั้นเกินคณนา ก่อนขุมพลังตี้จื้อจุนทุกคนสามารถกักเก็บคลื่นพลังไว้ในจุดจื้อจุนไห่เท่านั้น แต่พอหลังจากบรรลุจุดจื้อจุนไห่ก็รวมเข้ากับร่างกาย ทุกส่วนของร่างกายจึงคล้ายกับทะเลพลัง ดังนั้นความสามารถในการบรรจุจึงเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติ
หลังจากเข้าสมาธิสองชั่วโมงความปั่นป่วนทั้งหมดก็ค่อยๆ สงบลง มู่เฉินลืมตาขึ้น แสงหลิงในดวงตาจางหายไป
สัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตซึ่งไหลเวียนอยู่ภายในร่างกาย มู่เฉินก็หายใจออกเบาๆ แต่สายตาก็ต้องเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเมื่อย้อนนึกถึงข้อมูลที่ลั่วหลีกล่าวไว้
“เทพจอมยุทธ์สี่คนของตำหนักซีเทียน”
มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง ตามรายงานของลั่วหลี เทพจอมยุทธ์สามคนแรกเคยสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายมาแล้ว ดังนั้นจึงไม่อาจประมาทได้
เขารู้ถึงความแตกต่างอย่างมากระหว่างการเอาชนะและสังหาร เนื่องจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทุกคนมีพลังชีวิตที่สุดยอด ต่อให้ครึ่งหนึ่งของร่างกายจะถูกทำลายก็ยังสามารถฟื้นตัวกลับมาได้
การสังหารหมายถึงจะต้องทำลายพลังชีวิตทุกอณูให้สิ้นซาก เช่นเดียวกับที่มู่เฉินได้สังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นของตระกูลเสี่ยเสินไป
แต่การทำเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสำเร็จ เพราะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ต่อให้สู้ไม่ได้ก็สามารถหนีไปได้ เว้นแต่อีกฝ่ายจะมีความแข็งแกร่งท่วมท้น
ในเมื่อเทพจอมยุทธ์ทั้งสามของตำหนักซีเทียนสามารถสังหารได้ นั่นหมายความว่าพลังของพวกเขาไม่อยู่ในขอบเขตธรรมดา
ครั้งนี้ทั้งสามจะเป็นอุปสรรคใหญ่ในการแข่งขันชิงตำแหน่งนักรบทวีปแน่นอน
ที่สำคัญที่สุดคือเขาสร้างความขุ่นเคืองให้กับจักรพรรดิสัประยุทธ์ แม้ว่าอีกฝ่ายจะลงมือเองไม่ได้เพราะมีเทพจักรพรรดิอัคคีกันไว้อยู่ แต่เทพจอมยุทธ์ทั้งสามคนจะต้องเปิดการปะทะกับเขาแน่ หากพวกเขาเผชิญหน้ากันในสนามรบ
ดังนั้นจึงไม่มีการประนีประนอมระหว่างมู่เฉินกับเทพจอมยุทธ์ทั้งสาม
เมื่อเทียบกับพวกเขา หลิ่วซิงเฉิน ซูมู่และฉู่เหมินยังด้อยกว่าไปเลย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีประวัติของการเอาชนะที่คล้ายคลึงกัน
แต่ผลสำเร็จนี่ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับเทพจอมยุทธ์ทั้งสาม
“ทวีปซีเทียนเป็นแหล่งมังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบแท้จริง” มู่เฉินถอนหายใจ แม้ว่าทวีปซีเทียนจะไม่ได้เป็นมหาทวีป แต่ก็ยังคงแข็งแกร่งกว่าทวีปเทียนหลัวด้วยการดำรงอยู่ของจักรพรรดิสัประยุทธ์
ดังนั้นหากเขาต้องการรับหนึ่งในตำแหน่งนักรบทวีป การต่อสู้ดุเดือดเป็นสิ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
เป็นเพราะข้อมูลดังกล่าวทำให้มู่เฉินรู้สึกว่าถูกคุกคามเล็กน้อยในใจ ทว่าความมุ่งมั่นที่มีก็ไม่ทำให้หวั่นไหวเนื่องจากโอกาสนี้เป็นสิ่งที่เทพจักรพรรดิอัคคีช่วยต่อรองเพื่อเขา ดังนั้นเขาไม่สามารถยอมแพ้ได้
ฮา
มู่เฉินสูดลมหายใจลึกสุดปอด ดวงตาหลุบลงก่อนที่มือทั้งสองจะประสานกัน ระลอกความผันผวนปลดปล่อยออกจากร่างกาย เขาสามารถสัมผัสได้ถึงร่างรองทั้งสองในทะเลสาบสวรรค์
เมื่อสัมผัสได้ถึงการเชื่อมโยงที่น่าอัศจรรย์ มู่เฉินก็รู้สึกสบายใจขึ้น แม้ว่าเทพจอมยุทธ์ทั้งสามจะทรงพลัง แต่เขาก็ไม่ได้อ่อนแอ
วิชาสามพิสุทธิ์เป็นหนึ่งในไพ่ตายของเขาที่จะใช้จัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย
เขาไม่เคยใช้วิชาสามพิสุทธิ์ตั้งแต่เริ่มฝึกฝน แต่เขามีลางสังหรณ์ว่าจะไม่ผิดหวังแน่นอน
ทว่าแม้เขาจะมีวิชาเทพที่ไม่มีใครเทียบได้ แต่มู่เฉินก็ยังไม่ได้นิ่งนอนใจ เพื่อความปลอดภัยเขาต้องมีทักษะมากขึ้นเพื่อเพิ่มอัตราความสำเร็จ
“ทักษะที่มากขึ้น”
มู่เฉินหลับตาไตร่ตรองอยู่นาน ก่อนที่จะลืมตาโพลงพร้อมกับความลังเลวูบไหวในนัยน์ตา นั่นเป็นเพราะเขานึกถึงทักษะที่เขาเก็บซ่อนเอาไว้นาน
วิชามหาเจดีย์ที่มารดาของเขาทิ้งเอาไว้ให้
นี่เป็นวิชาวางรากฐานของเผ่าฝูถู ซึ่งลึกซึ้งอย่างไม่น่าเชื่อ มู่เฉินฝึกฝนช่วงสั้นๆ เมื่อในอดีต แต่เนื่องจากเขากลัวที่จะเปิดเผยตัวตน ดังนั้นจึงเก็บซ่อนเอาไว้ แต่ตอนนี้เขาบรรลุระดับตี้จื้อจุนแล้ว ถือว่ามีความสามารถในปกป้องตัวเอง บางทีอาจถึงเวลาที่เขาจะต้องเริ่มฝึกอีกครั้ง
เผ่าฝูถูเป็นหนึ่งในเผ่าโบราณของมหาพันภพที่มีรากฐานที่น่ากลัว พวกเขาเป็นยักษ์ใหญ่ของแท้ ดังนั้นวิชามหาเจดีย์จะต้องไม่ธรรมดาเช่นกัน เพียงแต่ว่าในอดีตพลังของเขาไม่เพียงพอดังนั้นจึงไม่สามารถตีความได้อย่างลึกซึ้ง
แต่ในขณะนี้มู่เฉินเชื่อว่าการตีความจะแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
ด้วยความคิดนี้ มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไปมือประสานเข้าด้วยกันทันที เสียงบทสวดคัมภีร์ต้าฝูถูดังกึกก้องอยู่ในใจ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตในร่างกายเคลื่อนผ่านเส้นสายภายในวิชามหาเจดีย์
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ยามนี้มู่เฉินหมุนวนวิชามหาเจดีย์ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็ระเบิดออกมาจากภายใน เมื่อพลังงานรวมตัวกันเจดีย์สีดำน่าเกรงขามก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในร่าง
จิตใจมู่เฉินก็ค่อยๆ ดำดิ่งภายในบทสวดโบราณ
ลางสังหรณ์นี้ไม่ได้ทำให้มู่เฉินผิดหวัง ตั้งแต่เขาก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุน ส่วนของข้อมูลที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้ในอดีตก็ถูกลบล้างออกไปทันที ให้ความรู้สึกน่าอัศจรรย์ใจ
ความรู้สึกนี้ราวกับว่าเปิดม่านทักษะที่ลึกซึ้งนี้ออก เริ่มเข้าใจอย่างลึกซึ้งมากขึ้น
เวลาเคลื่อนผ่านไปโดยที่มู่เฉินดำดิ่งอยู่ข้างใน
หลายวันผ่านไปโดยที่เขาไม่รับรู้ ส่วนร่างเขาก็ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวราวกับเป็นก้อนหิน
เมื่อลั่วหลีที่มาถึงเห็นมู่เฉินอยู่ในการฝึกฝนก็ไม่ได้รบกวน นางนั่งลงข้างกายอยู่นานก่อนที่จะผละไป
เวลาสิบวันผ่านไปในพริบตา
ในวันที่สิบร่างกายของมู่เฉินก็สั่นสะท้าน บทสวดของวิชามหาเจดีย์ที่ไหลเวียนอยู่ในห้วงแห่งจิตก็แยกออกจากกัน จากนั้นเนื้อหาคำพูดฝึกยุทธ์ที่ไม่คุ้นเคยก็ผุดขึ้นในใจ
“จงทำลายและใช้หัวใจนำทาง กลั่นรัศมีตกทอดเพื่อเจดีย์อันเป็นนิรันดร์”
มู่เฉินท่องในใจซ้ำๆ ก่อนที่จะเข้าใจ
“ที่แท้เป็นอย่างนี้รึ”
มู่เฉินพึมพำ เจดีย์สีดำก็เริ่มปรากฏรอยแตกร้าว ลำแสงพุ่งผ่านรอยแตกออกมา
เขาทำลายเจดีย์แล้ว!
รอยแตกพล่านปกคลุมไปทั่วเจดีย์ ในที่สุดก็ระเบิดออก แสงสีดำกวาดออกมาสาดส่องทั่วสรรพางค์กายของมู่เฉิน
“ใช้หัวใจนำทาง…”
บทสวดดังกึกก้องในใจ มู่เฉินปล่อยให้แสงส่องเข้าห้วงแห่งจิตจนเริ่มพร่าเลือน ทว่าภายใต้สภาวะสมาธิลึกนี้ ทันใดนั้นกระแสน้ำวนก็ก่อตัวขึ้นจากตรงตำแหน่งแตกของเจดีย์
มู่เฉินมองไปที่กระแสน้ำวนเกิดความลังเลใจ แต่ไม่นานก็โยนความลังเลใจทิ้งแล้วให้ร่างดวงจิตก้าวเข้าไป
ความมืดอยู่ตรงหน้าเพียงชั่วครู่ ทว่าชั่วครู่นั้นกลับทำให้มู่เฉินรู้สึกเกิดความผิดเพี้ยนของเวลาและสถานที่ ราวกับว่าร่างดวงจิตของเขาถูกส่งผ่านไปยังสถานที่ไกลแสนไกลจนไม่อาจบรรยายได้
ความมืดหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อมู่เฉินลืมตาขึ้น ดวงตาก็อดกระเพื่อมรุนแรงไม่ได้พร้อมกับพึมพำด้วยความตกตะลึงดังขึ้นภายในใจ
“นี่มันที่ไหน?”
ร่างดวงจิตลอยอยู่ในอากาศ ดินแดนโบราณปรากฏเบื้องหน้าสายตา มีร่องรอยกาลเวลาถูกทิ้งไว้ในฟ้าดิน ทว่าสิ่งที่ทำให้หัวใจของมู่เฉินสั่นไหวที่สุดไม่ใช่ดินแดนโบราณแห่งนี้ แต่เป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่เงียบๆ ตรงกลาง
เจดีย์ดูเก่าแก่และลวดลายบนพื้นผิวก็ลึกซึ้งอย่างไม่น่าเชื่อ นอกจากนี้ดูเหมือนจะก้าวข้ามกาลเวลาและมิติ ซึ่งดำรงความเป็นนิรันดร์
ร่างดวงจิตของมู่เฉินจ้องมองไปที่เจดีย์โบราณ เขาสามารถสัมผัสถึงรัศมีที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าระดับเทียนจื้อจุนแผ่ซ่านมาจากมัน
“ที่นี่ที่ไหนกันแน่?”
หัวใจของมู่เฉินสั่นไหว เขาไม่รู้ว่าทำไมทางเชื่อมนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อเขาทำลายเจดีย์
ทว่าขณะที่ร่างดวงจิตของมู่เฉินหลุดเข้าไปในดินแดนโบราณ ในเผ่าฝูถูที่ห่างออกไป ร่างที่นั่งนิ่งสงบอยู่ในเจดีย์สีดำก็เปิดดวงตาขึ้นมาทันที
ดวงตานางที่มักไม่มีระลอกคลื่นคลอคลองด้วยหยาดน้ำตาในเวลานี้ นางเงยหน้าขึ้นมองไกลออกไปด้วยความรู้สึกปลื้มใจและคิดถึง
“มู่เฉิน…ลูกรัก เจ้าถึงขั้นที่สามารถเข้าสู่ดินแดนโบราณแล้วหรือ?”