หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1246 อาจารย์ผี
ดังที่มู่เฉินคาด
ชื่อเสียงของเขากระจายไปทั่วในอีกหนึ่งวันต่อมา มู่เฉินไม่รู้จริงๆ ว่าคนที่ระมัดตัวแจจะแลกเปลี่ยนข้อมูลกันถึงขนาดนี้ได้อย่างไร
แต่สิ่งนี้ทำให้เกิดปัญหากับมู่เฉิน เนื่องจากเขาตระหนักว่าเมื่อเขาตั้งค่ายกลรอเสร็จเรียบร้อย แม้จะมีใครบางคนมาหา แต่พอเห็นค่ายกลแต่ละคนก็ลังเลก่อนจะล่าถอยไป
เมื่อก่อนพวกเขาอาจดูถูกการเพาะบ่มขุมพลังของมู่เฉินที่อยู่ต่ำกว่าหนึ่งขั้น แต่ตอนนี้ใครๆ ก็รู้ว่ามู่เฉินเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นตี้ด้วย ค่ายกลของเขาเป็นสิ่งที่สามารถคุกคามจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายได้เลยทีเดียว
ในมหาพันโลกเป็นที่รู้กันว่าไม่ควรต่อสู้กับหลิงเจิ้นซือที่เตรียมตัวพร้อมไว้อย่างดี
ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าที่จะก้าวเข้ามารอบตัวมู่เฉิน ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้โง่
ด้วยการเปิดเผยตัวตนในฐานะหลิงเจิ้นซือก็ส่งผลให้เกิดการข่มขู่โดยมู่เฉิน แต่นี่ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับมู่เฉินตอนนี้เลย
ตัวเขาต้องการป้ายสัประยุทธ์ ดังนั้นก็ต้องเอาชนะคู่ต่อสู้ให้ได้ แต่ตอนนี้ทุกคนอย่างกับสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ไม่มีใครเข้ามาในขอบเขตของค่ายกล นี่ทำให้เขารู้สึกจนหนทาง
ที่จริงไพ่ตายของเขาไม่ได้มีแค่ค่ายกล แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลาที่ไพ่ตายนี้รับมือคู่ต่อสู้ไม่ได้ เขาก็ไม่คิดที่จะเปิดเผยไพ่อื่นๆ เพราะบางครั้งการทำให้คู่ต่อสู้ตั้งตัวไม่ทันก็เป็นข้อได้เปรียบเช่นกัน
ดังนั้นอีกสองวันผ่านไปมู่เฉินก็ยังไม่ได้รับป้ายสัประยุทธ์เพิ่มแม้แต่ป้ายเดียว ที่จริงมีจอมยุทธ์เข้ามาลองเสี่ยงอยู่บ้าง แต่มู่เฉินไม่สามารถจับไว้ได้ เนื่องจากคนผู้นั้นลื่นอย่างกับปลาไหล เขาเป็นเจ้าของอาวุธมหสวรรค์ที่สามารถฉีกขาดมิติได้ ดังนั้นเมื่อเขาเห็นว่าสถานการณ์ชักไม่ดีกับตัวเอง เขาก็หลบหนีไปทันที มู่เฉินไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากยืนมองการหลบหนีนั่น
การต่อสู้ครั้งนี้ชื่อเสียงของมู่เฉินก็เพิ่มขึ้น ไม่มีใครกล้ามาท้าทายเขาอีก ถึงแม้ว่าจะมีจอมยุทธ์ผ่านมาเป็นครั้งคราว พวกเขาก็เพียงแต่มองจากที่ไกลก่อนที่จะเปิดแน่บทันที
ดังนั้นมู่เฉินจึงได้แต่มองค่ายกลที่ว่างเปล่าพลางถอนหายใจ
แม้ว่าจะรู้สึกช่วยไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้รีบ เพราะเขารู้ว่าจะมีคนมากมายที่ถูกกำจัดในการต่อสู้ที่โหดร้าย ส่วนที่เหลือทั้งหมดจะเป็นจอมยุทธ์หัวกะทิ
แม้ว่าคนพวกนั้นอาจยังกลัวมู่เฉินบ้าง แต่พวกเขาก็ไม่เป็นเหมือนพวกขี้ขลาด นอกจากนี้พวกเขาจะต้องจับตาดูอย่างแน่นอน เมื่อไรเกิดช่องโหวก็จะโจมตีทันที
ดังนั้นยิ่งเมื่อเวลาผ่านไป มู่เฉินรู้ว่าความโหดร้ายและรุนแรงของสนามรบแห่งนี้ถึงจะเริ่มเผยให้เห็น
มหาสมุทรไร้ขอบเขต
มองเห็นภูเขาสูงตระหง่านโผล่พ้นผิวน้ำ คล้ายกับใบมีดคมที่ยื่นออกมาจากทะเล
ขณะนี้มู่เฉินนั่งเงียบๆ บนภูเขาลูกหนึ่ง คลื่นมิติป่าเถื่อนผันผวนอยู่รอบตัวในระยะหลายหมื่นจั้ง เหมือนมีสัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนราวกับดวงดาวปรากฏอย่างคลุมเครือ ชัดว่ามีค่ายกลทรงพลังซ่อนอยู่ภายในบริเวณโดยรอบ
เมื่อคลื่นหลิงพลุ่งพล่านเข้าไปในค่ายกล คลื่นสูงก็ดันตัวขึ้นจากมหาสมุทร
ฟิ้ว!
มวลลมแตกออก เสียงสะท้อนกวาดมาจากระยะไกล ก่อนที่ร่างหนึ่งจะเข้ามาและหยุดห่างจากมู่เฉินไปร้อยลี้ เขาขมวดคิ้วมองค่ายกลที่อยู่รอบตัวมู่เฉินก็หมุนตัวจากไปหลังจากลังเลไปครู่หนึ่ง
เมื่อมองร่างที่จากไปสายตาของมู่เฉินก็กะพริบ เขาสามารถรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลของพลังงานที่แข็งแกร่งกว่าราชันเมฆเพลิงและเจ้าสำนักจื่อซันที่มาจากร่างเงานั่น
“ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…”
มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง เขาได้พบกับจอมยุทธ์ทรงพลังสูงขึ้นในช่วงสองวันที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่าหลังจากผ่านการแข่งขันที่มีอัตราการกำจัดที่โหดร้าย คนที่ยังยืนยันอยู่ได้ก็ไม่มีใครจัดการได้ง่าย
“ในเมื่อเป็นแบบนี้…เวลาก็ใกล้เข้ามาแล้วสิ”
มู่เฉินพลิกนิ้ว จอมยุทธ์ที่ยังอยู่ที่นี่แข็งแกร่งขึ้นมาก การข่มขู่ของค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารก็อ่อนลง เขารู้สึกได้ว่ามีคนจำนวนมากที่พยายามมองหาช่องโหว่ในค่ายกลอยู่
นั่นก็หมายความว่าค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารเริ่มไม่สามารถคุกคามคนอื่นได้แล้ว
ตามการคาดการณ์อีกไม่เกินหนึ่งวันก็จะมีคนลงมือจัดการกับเขาอย่างแท้จริงแล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้มู่เฉินก็ยิ้มบาง ก่อนที่จะหลับตาอย่างช้าๆ เขาต้องการที่จะดูว่าใครจะมีความมั่นใจมากพอที่จะต่อกรกับเขา
วันหนึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ซ่า ซ่า!
คลื่นยักษ์กระทบกับภูเขาทำให้เกิดเสียงแตกกระจายไปทั่วมหาสมุทร
ดวงตามู่เฉินเปิดขึ้น แสงหลิงก็พุ่งเข้ามาในม่านตาสีดำก่อนที่จะค่อยๆ หายไป
สายตาของเขาเหลือบมองไปที่เกาะห่างไกล เขาสามารถรู้สึกถึงความผันผวนของคลื่นหลิงหลายสายได้อย่างคลุมเครือ
วันนี้ในบรรยากาศมีไอสังหารเข้มข้น บนเกาะต่างๆ ก็เหมือนมีสายตาจ้องมองมา
ตอนนี้มู่เฉินราวกับหมาป่าในดงพยัคฆ์ เมื่อไรที่เกิดช่องโหว่ มู่เฉินเชื่อว่าคนเหล่านี้จะรวมตัวกันฉกป้ายสัประยุทธ์ที่อยู่ในมือเขาแน่
ทว่าพวกเขาก็ระมัดระวัง ไม่มีใครกระโจนเข้ามาเป็นคนแรก พวกเขารอโอกาสที่จะเกิดขึ้นชัดเจน…
เมื่อแสงอาทิตย์เคลื่อนคล้อยลงมาบนมหาสมุทร พื้นผิวน้ำก็สะท้อนลำแสงเกิดเป็นฉากงดงาม
มองไปที่พื้นผิวน้ำระยิบระยับ จู่ๆ ดวงตาของมู่เฉินก็หดลงก่อนที่จะเงยหน้าขึ้น ผิวน้ำไกลออกไปนั้นเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มอย่างรวดเร็ว ขณะที่คลื่นหมื่นจั้งม้วนตัวกวาดเข้ามา
ไม่กี่ลมหายใจคลื่นสีแดงเข้มก็ปรากฏห่างออกไปหลายหมื่นจั้งจากมู่เฉินก่อนที่จะหยุดช้าๆ ที่ชายขอบค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร
ร่างเงาสีแดงเข้มปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นคนที่คุ้นหน้ากันดี เขาคือเสี่ยหลิงจื่อตระกูลเสี่ยเสินนั่นเอง!
ขณะนี้สายตาเย็นชามองมาที่มู่เฉินคล้ายกับมองเหยื่อ ความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานีกระจายในดวงตา
“เป็นไอ้หมาตัวเก่านี่เอง…”
เมื่อเห็นร่างนั่นมู่เฉินก็เลิกคิ้วก่อนที่จะหัวเราะออกมา “ข้ารู้สึกถึงการอยู่ของเจ้าในช่วงสองวันมานี้ แต่เจ้าดันซ่อนตัวเหมือนหนู ทำไมตอนนี้ถึงยอมแสดงตัวแล้วล่ะ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อก็เย็นเยือกลงหลายส่วน “ไอ้เวร ความตายใกล้เข้ามาแล้ว ยังปากดีอีก!”
มู่เฉินเงยหน้ายกเปลือกตาอย่างแผ่วเบา “ข้าจะตายรึเปล่าไม่รู้ แต่วันนี้ข้ารับรองได้ว่าแกรับหายนะไปเต็มๆ แน่”
น้ำเสียงช่างสงบ แต่ก็บรรจุด้วยไอสังหารที่ไม่คิดปิดบัง มู่เฉินคิดอยากกำจัดเสี่ยหลิงจื่อตั้งแต่ได้ยินว่าบิดาของลั่วหลีต้องจบชีวิตในมือมันผู้นี้ แม้แต่ลั่วเทียนเสินก็ถูกวางยาพิษมาเนิ่นนาน ตอนที่ลั่วหลีกลับมาที่ตระกูลลั่วเสิน ก็เพราะเสี่ยหลิงจื่อที่ทำให้นางต้องอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาล ต้องเผชิญกับการคุกคามของความตาย
เสี่ยหลิงจื่อเป็นศัตรูคู่อาฆาตของตระกูลลั่วเสิน
แม้ว่าลั่วหลีจะไม่แสดงความเกลียดชังเสี่ยหลิงจื่อต่อหน้าเขา แต่มู่เฉินรู้ว่านางแค่ไม่ต้องการให้เขาเสี่ยงอันตราย ดังนั้นนางจึงระงับอารมณ์ในใจ รอจนกว่านางจะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อล้างแค้นด้วยตัวเอง
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ทำให้มู่เฉินเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าต่อเสี่ยหลิงจื่อ
เมื่อเขาเข้าสู่สนามรบ เขาก็ตัดสินใจจะหาโอกาสกำจัดเสี่ยหลิงจื่อ
ตอนนี้อีกฝ่ายมาเคาะประตูบ้านเขา ทุกสิ่งก็เป็นไปตามที่มู่เฉินต้องการพอดี
“เฮ้ ไอ้เด็กที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!” เสี่ยหลิงจื่อเอ่ยเย้ยหยันก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงน่าขนลุก “แกคิดว่าแค่ค่ายกลระดับจงซือขั้นกลางจะทำหยิ่งได้รึ?
“แกคิดว่าไม่มีหลิงเจิ้นซือในทวีปซีเทียนเรอะ?”
เสี่ยหลิงจื่อโบกมือ แสงสีดำก็วูบวาบที่ด้านช้าง ร่างชายชราเสื้อคลุมสีเทาผอมบางปรากฏตัวขึ้น
เมื่อชายชราเสื้อคลุมสีเทาปรากฏตัว ดวงตาของเขาก็มองไปที่ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารรอบตัวมู่เฉิน แสงมืดครึ้มวูบวาบก่อนที่จะพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นค่ายกลระดับจงซือขั้นกลางแท้จริง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวต่อต้านเขา”
“ฮ่าๆ ท่านอาจารย์ผีมีชื่อเสียงมาหลายปี ซ้ำยังเรียนรู้ค่ายกลระดับนี้มานาน ดังนั้นไอ้เด็กตัวเล็กนี้จะเทียบกับความสำเร็จของท่านได้อย่างไร?” เสี่ยหลิงจื่อยิ้ม
อาจารย์ผีหัวเราะเบาๆ “เสี่ยหลิงจื่ออย่าพูดแต่น้ำให้เสียเวลา ข้าสามารถช่วยเจ้าระงับค่ายกลนี้ได้ แต่ครึ่งหนึ่งของป้ายสัประยุทธ์ไอ้เด็กเหลือขอนี่เป็นของข้าและเจ้าจะต้องจ่ายค่าจ้างด้วยหนึ่งป้ายให้ข้าอีกด้วย”
ความปวดร้าวพล่านในดวงตาของเสี่ยหลิงจื่อ แต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้าเด็ดขาด “ตราบใดที่ข้าสามารถกำจัดไอ้เด็กเหลือขอนี้ได้ ก็ตกลงราคาตามนั้น”
“ฮ่าๆ จัดไป”
เมื่อมู่เฉินมองดูชายชราเสื้อคลุมสีเทาดวงตาก็หรี่แคบลงขณะที่พึมพำ “ที่แท้ก็ไปเชิญหลิงเจิ้นจงซือมาจัดการกับค่ายกลข้านี่เอง…”
ที่ด้านนอก
ขณะเดียวกันสายตานับไม่ถ้วนก็เพ่งมองไปที่หน้าจอแสง
ความวุ่นวายเกิดขึ้นทันทีเมื่อพวกเขาเห็นเสี่ยหลิงจื่อและชายชราเสื้อคลุมสีเทา
“เสี่ยหลิงจื่อไปเชิญอาจารย์ผีมารึ!”
“อาจารย์ผีร่ำลือกันว่าเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นตี้มานานแล้ว ถ้าเขาลงมือก็เป็นเรื่องยากที่ค่ายกลของมู่เฉินจะส่งผลกระทบใดๆ ได้”
“ถึงเวลาเขาแล้ว หากไม่มีค่ายกลมู่เฉินก็เปรียบเสมือนเสือไร้เขี้ยวเล็บ เขาต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน!”
“…”
เสียงกระซิบดังก้องขณะที่ลั่วเทียนเสินจ้องมองหน้าจอด้วยสายตามืดครึ้ม จากนั้นดวงตาก็จ้องเขม็งไปที่เสี่ยหลิงจื่อ เขากัดฟันกรอดด้วยความเกลียดชังที่รั่วไหลออกมากับน้ำเสียง
“ไอ้หมาตัวเก่า แกสมควรตายจริงๆ!”