หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1255 ศึกชี้ชัด

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 1255 ศึกชี้ชัด

ฮึ่ม ฮึ่ม!

เมื่อซูมู่วาดกระบี่ขึ้นรัศมีกระบี่ที่น่าสะพรึงก็ระเบิดออกอาละวาดไปมาระหว่างสวรรค์และโลก รอยบากที่น่าทึ่งทิ้งไว้ที่ด้านหลัง

เขามองไปที่มู่เฉินด้วยดวงตาวูบไหว ความอบอุ่นที่เคยมีมาก่อนถูกลบออกไปหมดแล้ว

การทูตก่อนความรุนแรง ในเมื่อพวกเขาเจรจากันจบแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาสำหรับความรุนแรง… เนื่องจากพวกเขาต้องการทดสอบพลังของมู่เฉิน หากมู่เฉินไม่ผ่านการพิจารณา พวกเขาก็จะยึดป้ายสัประยุทธ์กลับมาทันที

ความเท่าเทียมกันระหว่างพวกเขาถูกสร้างขึ้นบนบรรทัดฐานของความแข็งแกร่ง

ถ้ามู่เฉินต้องการได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียม เขาก็ต้องแสดงพลังให้เป็นที่ประจักษ์

มู่เฉินรู้ชัดเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจ เพียงแค่พยักหน้าเบาๆ “งั้นโปรดชี้แนะข้าด้วย”

เมื่อเห็นว่าไม่มีความกลัวใดบนใบหน้าของมู่เฉิน ซูมู่ก็พยักหน้าเบาๆ เขาเคยได้ยินชื่อเสียงของมู่เฉินมาก่อน ดังนั้นอีกฝ่ายคงต้องมีความแข็งแกร่งในระดับหนึ่ง

แต่ตอนนี้พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับเทพจอมยุทธ์ ทั้งสามคนนั่นมีชื่อเสียงเลื่องลือในทวีปซีเทียน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องตรวจสอบว่ามู่เฉินมีความแข็งแกร่งพอหรือไม่ มิฉะนั้นแม้ว่าพวกเขาปะทะกับทั้งสามคนนั่น มู่เฉินก็จะเป็นคนที่สูญเสียเร็วที่สุด ทำลายแผนการของพวกเขาไป

ถ้าเป็นกรณีนั้นพวกเขายึดป้ายสัประยุทธ์จากมู่เฉินซะยังจะดีกว่า เพื่อแลกเปลี่ยนสมบัติและออกจากสนามรบไป

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูมู่ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาดึงกระบี่ออกจากฝักแล้วควงเบาๆ

ฮึ่ม

กระบี่กวัดแกว่ง ระลอกคลื่นก็สั่นสะเทือนทั่วมิติราวกับสายน้ำ อึดใจต่อมากระบี่คมกริบก็ขยายขนาดยาวถึงหนึ่งพันจั้งฉีกท้องฟ้าออกจากกัน ขณะที่พุ่งไปทางมู่เฉิน

กระบี่ดูราวกับแยกสรรพสิ่งออกจากกันได้ เผชิญหน้ากับกระบี่แหลมคมเช่นนี้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็ต้องหลบและไม่กล้าที่จะปะทะตรงๆ

เห็นได้ชัดว่าซูมู่ไม่คิดออมมือในกระบวนท่านี้!

“กระบี่เทพหมาป่าสมชื่อเสียงแท้จริง”

มู่เฉินชื่นชมรัศมีกระบี่ก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อ รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกวาดตัวออกมาพวยพุ่งสู่ท้องฟ้า กลายเป็นวิญญาณสงครามเต่าดำคำรามลั่นป้องกันเขาเอาไว้

วาบ!

กระบี่พุ่งชนวิญญาณสงครามเต่าดำ มันร้องคำรามพร้อมด้วยรัศมีจ้นยี่ที่พลุ่งพล่าน ขณะที่พยายามปิดกั้นไว้ แต่อึดใจต่อมารัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขตก็ถูกเฉือนออกทิ้งรอยไว้บนร่างวิญญาณสงครามที่เกือบจะแยกออกจากกัน

รัศมีกระบี่ของซูมู่ตัดแนวป้องกันของวิญญาณสงครามเต่าดำได้!

แต่เมื่อทะลุผ่านแนวป้องกันไป กระบี่ก็จางและช้าลง แต่ก็ยังคงทะยานไปหามู่เฉินราวกับว่าจะไม่หยุดจนกว่าจะได้ลิ้มรสเลือด

เมื่อกระบี่ขยายอย่างรวดเร็วในดวงตาของมู่เฉิน กำลังจะเข้าสู่รัศมีหนึ่งร้อยจั้ง ค่ายกลก็ปรากฏรอบตัวมู่เฉิน มังกรเก้าตัวคำรามปล่อยลมปราณออกมาปะทะกับกระบี่

ปัง ปัง!

ดาบพุ่งเข้ามาทำลายลมปราณมังกรอย่างต่อเนื่อง แทงทะลุผ่านค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารมาปรากฏต่อหน้ามู่เฉิน มุ่งหน้าไปที่กึ่งกลางของคิ้ว

“น่าเกรงขามนัก”

เมื่อเห็นว่าแม้แต่วิญญาณสงครามเต่าดำและค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารยังไม่สามารถหยุดกระบี่ของซูมู่ได้ มู่เฉินก็กล่าวชื่นชมก่อนที่ผลึกใสจะสั่นไหวในม่านตาของเขา

วาบ!

เมื่อกระบี่มาถึง ทว่าขณะที่กำลังจะเจาะลงตรงหว่างคิ้วของมู่เฉิน ผลึกแสงก็ยิงออกมาจากหน้าผากของมู่เฉิน ก่อตัวเป็นเจดีย์ผลึกแก้วใสที่งดงาม

กระบี่และเจดีย์ปะทะกันจังใหญ่

เคร้ง!

ภูเขาที่มู่เฉินนั่งอยู่ถูกตัดเป็นก้อนหินน้อยใหญ่นับไม่ถ้วนก่อนที่จะกลิ้งตกลงมา

ผลึกแสงแวววาวโอบล้อมกระบี่ ทำให้กระบี่ค่อยๆ สลายหายไป

เมื่อกระบี่หายไปเจดีย์ผลึกแก้วใสก็กลับไปสถิตในหว่างคิ้วของมู่เฉินเช่นเดิม ก่อนที่เขาจะโบกมือสลายวิญญาณสงคราม จากนั้นก็ยิ้มกว้างให้ซูมู่ “กระบี่เทพหมาป่าคู่ควรกับชื่อเสียงเจ้าจริงๆ”

มู่เฉินไม่ได้โกหก กระบี่เล่มนี้แสดงให้เห็นว่าแม้แต่ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายซูมู่ก็ยังเป็นจอมยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม รัศมีกระบี่นั่นเป็นสิ่งที่กระทั่งวิญญาณสงครามและค่ายกลยังไม่สามารถต้านได้

“กระบี่เล่มนั้นดูเหมือนจะไม่ธรรมดา”

มู่เฉินมองกระบี่ของซูมู่ แม้ว่าจะดูไม่โดดเด่น แต่จากการคาดเดาอาจเทียบเคียงได้กับพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจของมั่นถัวหลัวซึ่งเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นกลางได้เลยทีเดียว

เมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่ได้รับอันตรายอะไร ซูมู่ก็หดตาลงก่อนจะแลกเปลี่ยนสายตากับฉู่เหมิน ต่างก็มองเห็นความเคร่งเครียดในสายตาของกันและกัน

แม้ว่าเพลงกระบี่นี้จะไม่ใช่วิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของซูมู่ แต่เขาก็ไม่ได้ออมมือ ทว่าการโจมตียังถูกสกัดได้โดยมู่เฉิน ที่สำคัญที่สุดมู่เฉินยังมีพลังงานเก็บกักเอาไว้อีกด้วย

นั่นหมายความว่ากระบี่ของเขายังไม่เพียงพอที่จะบังคับให้มู่เฉินนำไพ่ตายออกมา สิ่งที่พวกเขาเห็นตอนนี้เป็นเพียงไพ่ที่มู่เฉินเคยเปิดเผยต่อหน้าทุกคนมาแล้วเท่านั้น

ข้อเท็จจริงนี้ทำให้ซูมู่และฉู่เหมินรู้สึกถึงความไม่อาจหยั่งรู้จากมู่เฉิน

“ตอนนี้ข้ามีคุณสมบัติรึยัง?” มู่เฉินมองทั้งสองก่อนจะยืดตัวพลางยิ้ม

ซูมู่พยักหน้า แม้แต่การแสดงออกของฉู่เหมินก็ดูเป็นมิตรมากขึ้น เห็นได้ชัดว่าพลังของมู่เฉินได้รับการยอมรับ

“ไม่น่าแปลกใจที่ชื่อเสียงของพี่มู่เติบโตอย่างรวดเร็ว การได้เห็นด้วยตาตัวเอง ข่าวลือไม่ผิดเลย” ซูมู่และฉู่เหมินเดินเข้ามาหามู่เฉินขณะที่ยิ้มแป้น

มู่เฉินยิ้มตอบอย่างสุภาพก่อนที่จะเปลี่ยนหัวข้อ “ไม่รู้ว่าต่อจากนี้เจ้าทั้งสองวางแผนอะไรไว้บ้าง”

ที่เขาพูดก็คือแผนการจัดการกับเทพจอมยุทธ์ทั้งสาม

ฉู่เหมินแลกเปลี่ยนสายตากับซูมู่ก็พูดว่า “จากการประเมินของพวกเรา เทพจอมยุทธ์น่าจะกำลังกวาดล้างสนามรบอยู่ในตอนนี้ อีกไม่นานก็คงเหลือเพียงพวกเราสามคนที่จะอยู่ในสนามรบแห่งนี้”

“พวกมันคิดจะสู้ศึกสุดท้ายแล้ว” สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด เทพจอมยุทธ์ทั้งสามตั้งใจที่จะล้างบางที่นี่ เพื่อจะไม่มีใครหาผลประโยชน์ได้อีก

“ถ้าเราต้องเผชิญหน้ากับพวกมันในการต่อสู้ตัดสิน ใครจะจับคู่กับใคร?” มู่เฉินถามอีกครั้ง

ฉู่เหมินเกาหัวตอบว่า “ตามข้อตกลงที่ทำไว้กับพี่หลิ่ว ข้าจะปะทะกับหลิงหลงจื่อที่มีร่างกายทรงพลัง พวกข้าอยู่บนเส้นทางการฝึกฝนแบบเดียวกัน ดังนั้นน่าจะพอฟัดพอเหวี่ยงกันได้”

“ส่วนพี่ซูจะปะทะกับหลิงเจี้ยนจื่อ เนื่องจากพวกเขาทั้งสองได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพกระบี่ที่โด่งดัง มิหนำซ้ำพวกเขายังเป็นศัตรูกันในอดีตด้วย ครั้งนี้พวกเขาตั้งใจจะชำระหนี้แค้นกันทั้งหมด”

ขณะที่พูดฉู่เหมินและซูมู่ก็มองไปที่มู่เฉินอย่างกระอักกระอ่วน หากเป็นในกรณนี้จอมยุทธ์ที่มีอำนาจมากที่สุดในบรรดาสามเทพจอมยุทธ์ซึ่งก็คือหลิงจั้นจื่อจะเป็นหน้าที่ของมู่เฉิน

“ถ้าพี่มู่ไม่ไหว ข้าจะรับมือหลิงจั้นจื่อเอง” ซูมู่ครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนที่จะกัดฟันตอบ

เขารู้ดีว่าหลิงจั้นจื่อทรงพลังเพียงใดในหมู่พวกเขา ขนาดหลิ่วซิงเฉินที่ว่าแน่ยังพ่ายแพ้ให้ ดังนั้นแม้ว่าเขาจะเผชิญหน้ากับหลิงจั้นจื่อก็ไม่มีโอกาสชนะ เขาทำได้เพียงลากเวลาออกไปรอให้มู่เฉินและฉู่เหมินคว้าชัยชนะมาก่อนที่จะพลิกสถานการณ์

หลังจากคิดสักพักมู่เฉินก็ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณสำหรับน้ำใจ แต่ในเมื่อข้าได้รับป้ายสัประยุทธ์ของพี่หลิ่ว ข้าก็ต้องสืบทอดเจตนารมณ์ของเขา”

“นอกจากนี้…ข้าคว้ารางวัลของหลิงจั้นจื่อมา ดังนั้นมันคงไม่ปล่อยข้าไปแน่”

มู่เฉินไม่ได้รับความปรารถนาดีของซูมู่ เขายังไม่เชื่อใจอีกฝ่ายมากนัก เพราะพวกเขากำลังจะดวลเดือดแบบสามต่อสาม ดังนั้นหากมีอะไรเกิดขึ้นกับซูมู่แผนการทั้งหมดก็จะล้มเหลวไม่เป็นท่า นี่คือสิ่งที่มู่เฉินไม่ต้องการเห็น

ถ้าเป็นแบบนี้เขาเป็นคนปะทะกับหลิงจั้นจื่อเองดีกว่า เพราะตรงข้ามกับความกลัวและความไม่สบายใจที่ทั้งสองมี เขาไม่มีความรู้สึกหวาดกลัวหลิงจั้นจื่อแม้แต่น้อยและหวังที่จะต่อสู้กับอีกฝ้าย

เนื่องจากหลิงจั้นจื่อเป็นหินลับมีดชั้นดีสำหรับเขาที่จะทดสอบขีดจำกัดของตน!

เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของมู่เฉิน ซูมู่และฉู่เหมินก็อึ้งไป พวกเขาสัมผัสได้ว่ามู่เฉินไม่มีร่องรอยความกลัวหลิงจั้นจื่อเลยสักนิด

“บางที…เขาอาจจะต่อกรกับหลิงจั้นจื่อได้จริงๆ ล่ะมั้ง?”

ทั้งสองที่รับรู้อารมณ์ของมู่เฉินก็รู้สึกสบายใจ ความคาดหวังเพิ่มขึ้นในใจ

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ เราก็รออยู่ที่นี่ให้การดวลครั้งสุดท้ายมาถึง”

มู่เฉินยิ้มให้ทั้งสองก่อนที่จะทะยานตัวไปนั่งลงบนยอดต้นไม้โบราณ

ซูมู่และฉู่เหมินก็ทะยานขึ้นไปนั่งบนภูเขาสองลูกที่อยู่ใกล้เคียง สายตาของพวกเขาสั่นไหว คลื่นหลิงที่ผันผวนอยู่รอบร่าง แสดงให้เห็นถึงจิตใจที่ไม่สงบ

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ภายใต้การรอคอยของพวกเขาหนึ่งวันก็ผ่านไป

ต่อให้นั่งเงียบอยู่ที่นี่ ทว่าทั้งสามก็รู้สึกได้ว่าทั่วมิติว่างเปล่าและเงียบสงบกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่าสนามรบแห่งนี้ถูกกวาดล้างเรียบร้อยแล้ว

เมื่อดวงอาทิตย์ลุกโชติช่วงพุ่งขึ้นบนขอบฟ้า แสงอาทิตย์ส่องลงมาดวงตาของมู่เฉิน ซูมู่และฉู่เหมินก็เปิดออก

พวกเขาเงยหน้ามองไปทางท้องฟ้าทิศตะวันตก ทันใดนั้นมิติก็บิดเบี้ยว ร่างแสงสามร่างพุ่งผ่านขอบฟ้าทะยานเข้ามา

พริบตาเงาทั้งสามก็มาปรากฏห่างออกไปหมื่นจั้งจากพวกเขาทั้งสาม

เมื่อมองไปที่เงาร่างเหล่านั้นพวกมู่เฉินก็ยืนขึ้นช้าๆ ประจันหน้ากับศัตรูทั้งสาม

ขณะนี้แม้แต่ท้องฟ้ายังมืดมิดลง

The Great Ruler | หนึ่งในใต้หล้า

The Great Ruler | หนึ่งในใต้หล้า

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป ‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้ แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์ แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง? ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน… The Great Thousand World. It is a place where numerous planes intersect, a place where many clans live and a place where a group of lords assemble. The Heavenly Sovereigns appear one by one from the Lower Planes and they will all display a legend that others would desire as they pursue the road of being a ruler in this boundless world. In the Endless Fire Territory that the Flame Emperor controls, thousands of fire blazes through the heavens. Inside the Martial Realm, the power of the Martial Ancestor frightens the heaven and the earth. At the West Heaven Temple, the might of the Emperor of a Hundred Battles is absolute. In the Northern Desolate Hill, a place filled with thousands of graves, the Immortal Owner rules the world. A boy from the Northern Spiritual Realm comes out, riding on a Nine Netherworld Bird, as he charges into the brilliant and diverse world. Just who can rule over their destiny of their path on becoming a Great Ruler? In the Great Thousand World, many strive to become a Great Ruler.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset