หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1262 พลังอำนาจวิชาสามพิสุทธิ์
ปัง!
ร่างหลิงจั้นจื่อทะยานออกจากหลุม จากนั้นก็มองไปยังมู่เฉินด้วยความไม่อยากเชื่อ
เขาไม่เคยคิดว่าในวิกฤตสุดท้ายมู่เฉินจะปลดปล่อยคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตออกมาได้เช่นนี้!
สายตามองข้ามเส้นขอบฟ้าก่อนที่ดวงตาจะหยุดลงตรงไหล่ร่างสีม่วงทอง ฉับพลันรูม่านตาของเขาก็หดลง
นั่นเป็นเพราะภายใต้ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำมีเงาร่างสามร่างที่มีรูปลักษณ์เหมือนกันอยู่บนไหล่ร่างสีม่วงทอง!
มู่เฉินสามคน!
“ร่างดวงจิต?”
หลิงจั้นจื่ออุทานด้วยความไม่เชื่อ แต่ไม่ช้าเขาก็ลบล้างสิ่งนี้ออกไป เนื่องจากเขาสามารถรู้สึกได้ว่าความผันผวนของคลื่นหลิงจากเงาสีดำและสีขาวไม่ได้อ่อนแอไปกว่าร่างหลักอย่างมู่เฉิน!
เป็นไปไม่ได้ที่ร่างดวงจิตจะบรรลุถึงระดับนั้น
แต่ถ้าพวกเขาไม่ได้เป็นร่างดวงจิต แล้วพวกเขาจะเป็นอะไร? ตอนนี้แม้แต่หลิงจั้นจื่อยังรู้สึกสมองว่างเปล่าไปหมดแล้ว
ขณะที่ผู้คนนับไม่ถ้วนกำลังตกตะลึง มู่เฉินในชุดสีขาวก็ก้มมองหลิงจั้นจื่อด้วยรอยยิ้มบาง “คิดจะแย่งป้ายสัประยุทธ์…”
มู่เฉินในชุดสีดำยิ้มแจ่มใสพูดต่อ “เจ้าถามพวกข้ารึยัง?”
“แกสองคนเป็นใคร! ที่นี่ไม่อนุญาตให้มีคนมาช่วยจากภายนอก!” ใบหน้าของหลิงจั้นจื่อเขียวคล้ำขณะที่พูด
เขาไม่สามารถยืนยันตัวตนของมู่เฉินชุดดำและชุดขาวได้ ดังนั้นเขาจึงบอกได้แค่ว่าพวกเขาเป็นความช่วยเหลือจากภายนอก… หรือว่าจะเป็นพี่น้องฝาแฝด?
เผชิญหน้ากับคำพูดของหลิงจั้นจื่อ มู่เฉินชุดดำและชุดขาวก็ยิ้มแล้วเหยียดมือออกแล้ววางลงบนไหล่ของมู่เฉิน ทันใดนั้นคลื่นหลิงไร้ขอบเขตในร่างกายก็หลั่งไหลเข้าไปในร่างของมู่เฉิน
เมื่อคลื่นหลิงเทเข้ามาในร่าง ม่านตาที่หมองหม่นของมู่เฉินก็แวววาวขึ้นพร้อมกับคลื่นหลิงผันผวนทรงพลังที่ค่อยๆ กำจายออกมาจากร่างของเขา
เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่พลุ่งพล่านภายในร่างกาย มู่เฉินก็ยืนขึ้นมองหลิงจั้นจื่อที่กำลังตกตะลึงด้วยรอยยิ้มอ่อน “ดูเหมือนว่าแกไม่ใช่คนหัวเราะตอนจบนะ”
“แก!”
หลิงจั้นจื่อมองไปที่มู่เฉินที่ฟื้นพลังอย่างรวดเร็วด้วยความไม่อยากเชื่อ นั่นเป็นเพราะพลังงานในร่างกายของผู้อื่นอัดแน่นไปด้วยเจตจำนงของเจ้าของ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกดูดซับและใช้โดยผู้อื่น ทว่ามู่เฉินสามารถดูดซับคลื่นหลิงจากพรรคพวกทั้งสองเพื่อเติมเต็มตนเอง
นั่นหมายถึงว่าทั้งสามคนเป็นหนึ่งเดียว
พวกเขาไม่ได้มาจากภายนอก แต่เป็นสิ่งที่มู่เฉินสร้างขึ้น!
“แต่…เป็นไปได้ยังไง?” หลิงจั้นจื่อยังคงไม่เชื่อกับความจริงข้อนี้ ด้วยทักษะนี้หมายความว่ามู่เฉินสามารถแยกตัวออกเป็นสามคน โดยที่ทั้งสามคนมีขุมพลังเหมือนกันหรือ? หากเป็นเช่นนี้ถ้าใครต่อสู้กับมู่เฉิน ก็จะเท่ากับการเผชิญหน้ากับมู่เฉินที่ทรงพลังสามคนรึ?
แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ทำเอาหลิงจั้นจื่อปวดกบาล มู่เฉินแค่คนเดียวเขาก็ตึงมือไปหมดแล้ว แต่นี่มีมู่เฉินถึงสามคน เขาจะจัดการกับไอ้ตัวพวกนี้อย่างไร?
แม้อารมณ์จะแปรปรวน หลิงจั้นจื่อก็หายใจลึกๆ เพื่อระงับอารมณ์ “ไม่คิดว่าแกจะยังคงมีไพ่ตายที่น่าตกใจอยู่บนในแขนเสื้อ… แต่ไม่รู้ว่านี่ดูปลอมและฉูดฉาดเกินไปหรือไม่!”
ไพ่ตายใบนี้น่ากลัวเกินกว่าจะยอมรับได้ ดังนั้นหลิงจั้นจื่อไม่มีทางเลือกนอกจากสงสัยว่ามู่เฉินกำลังเล่นเหลี่ยมอะไรกับเขาและพยายามข่มขู่คู่ต่อสู้ให้ยอมแพ้
สามมู่เฉินแลกเปลี่ยนสายตา รอยยิ้มประหลาดยกขึ้นบนริมฝีปาก “งั้นก็ต้องให้แกมาช่วยตรวจสอบหน่อยแล้วล่ะ”
ตู้ม!
หลังจากพวกเขาพูดจบก็เร้าพลังออกมาในเวลาเดียวกัน ร่างกลายเป็นลำแสงสามสายพุ่งเข้าหาหลิงจั้นจื่อ
เมื่อเห็นทั้งสามคนทะยานเข้ามา หลิงจั้นจื่อก็ไม่กล้าลังเล เขาผลักฝ่ามือออกไป คลื่นหลิงบรรจบกันในฝ่ามือราวกับพายุกลายเป็นมังกรคลื่นหลิงพุ่งเข้าหามู่เฉินทั้งสาม
ครืน!
มู่เฉินชุดดำและชุดขาววาดกระบวนท่าในเวลาเดียวกัน ผลึกคลื่นหลิงกวาดออกไป จากนั้นก็ปะทะกับมังกรคลื่นหลิง
ปัง!
ทั้งสองฝ่ายปะทะกันผลึกคลื่นหลิงก็แตกกระจาย ทำลายกระบวนท่าของหลิงจั้นจื่อ
“อะไรน่ะ?!”
เมื่อเห็นว่ากระบวนท่าถูกลบล้างไปทันที หลิงจั้นจื่อก็ตกใจ แม้ว่ามู่เฉินจะมีกลยุทธ์มากมาย แต่ก็ยังเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาดวลกันก็เป็นมู่เฉินที่ยากลำบากในแง่ของพลังงาน แต่เมื่อปะทะกันตอนนี้คนที่ลำบากกลับเป็นเขา
“บ้าเอ้ย นี่เป็นไปได้ยังไง?! แม้ว่าไอ้ชุดดำชุดขาวจะมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกมันจะมาร่วมมือกันลบล้างการโจมตีของข้าได้อย่างง่ายแบบนี้!”
หลิงจั้นจื่อเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายระยะปลายสุด ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสองคน ต่อให้เพิ่มอีกหลายคนก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเผชิญหน้ากับเขา แต่ตอนนี้เพียงมู่เฉินสองคนก็ทำสำเร็จ ทำให้เขาเสียเปรียบไป
“อย่าเพิ่งฟุ้งซ่านไปตอนนี้”
ขณะที่หลิงหลิงจั้นจื้อสติหลุด เสียงหัวเราะเบาๆ ก็ดังก้องจากด้านหลัง ร่างหลักมู่เฉินปรากฏตัวขึ้น เขาเหวี่ยงหมัดเรียบง่ายออกไป
“หมัดปีศาจพลีชีพ!”
คลื่นหลิงระเบิดออกทันทีพร้อมกับรัศมีเสียสละตนเองที่ทำให้หลิงจั้นจื่อรู้สึกว่าหนังหัวด้านชาไปหมด ทว่าเขาก็ไม่ได้ตื่นตระหนกมาก เขากระแทกฝ่ามือออกไปพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขต ก่อนหน้านี้ต้องใช้มู่เฉินสองคนเพื่อทำลายการโจมตี แต่ตอนนี้มีมู่เฉินแค่คนเดียว
ปัง!
กำปั้นและฝ่ามือซัดกัน คลื่นหลิงรุนแรงที่สร้างหายนะก็กวาดออก แต่ทันทีที่ปะทะก็ทำให้ใบหน้าของหลิงจั้นจื่อเปลี่ยนไปอย่างมาก เนื่องจากเขารู้สึกว่ามู่เฉินแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก!
คลื่นกระแทกกวาดออกไป ร่างของมู่เฉินก็สั่นไหวก่อนจะถอยกลับไปหลายก้าว ส่วนหลิงจั้นจื่อถึงกับสะบักสะบอมก้าวไปหลายสิบก้าวเลยทีเดียว ทิ้งรอยเท้าลึกลงไว้บนพื้นทุกย่างก้าว
“แก! แกแข็งแกร่งขึ้นแบบนี้ได้ยังไง?!” หลิงจั้นจื่อมองไปที่ร่างหลักของมู่เฉินด้วยความหวาดผวา คลื่นหลิงของมู่เฉินแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่าจากตอนเริ่มการต่อสู้!
มู่เฉินยิ้ม หลังจากที่ร่างรองของเขามาถึง พวกเขาก็สร้างการเชื่อมโยงเข้าด้วยกันเพื่อให้หนึ่งในนั้นสามารถปลดปล่อยพลังของทั้งสามคนรวมกันได้ บวกกับที่ร่างหลักและร่างรองของเขาเชื่อมต่อกันในระดับลึกการขยายคลื่นพลังก็ยิ่งน่าตกใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวที่จะปะทะกับหลิงจั้นจื่อในแง่ของคลื่นพลังงานอีกต่อไป
ตู้ม!
ทว่าไม่จำเป็นที่มู่เฉินต้องบอกอะไรกับหลิงจั้นจื่อ เมื่อคิดมู่เฉินทั้งสามก็กระโจนออกมาพร้อมด้วยคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขต ห่อหุ้มหลิงจั้นจื่อเอาไว้
แม้ว่าหลิงจั้นจื่อจะใช้ทุกอย่างที่มี แต่เขาก็ยังต้องถอยจากการต่อสู้กับมู่เฉินทั้งสามอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดูน่าอนาถและเสียเปรียบนัก
ปัง!
การปะทะกันของคลื่นพลังงานเกิดขึ้นอีกครั้ง หลิงจั้นจื่อกระเด็นออกไป ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปรุนแรง ก่อนที่เขาจะตะเบ็งเสียงลั่น “หลิงเจี้ยนจื่อ หลิงหลงจื่อมาช่วยข้าตอนนี้เลย!”
ในเวลานี้เขาไม่สนใจกับชื่อเสียงแล้ว เขาได้แต่หวังว่าหลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อจะมารวมพลังจัดการกับมู่เฉินร่วมกับเขาได้
เมื่อหลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อได้ยินเสียงแผดลั่น ใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป จากนั้นกัดฟันเตรียมจะพุ่งไปให้ความช่วยเหลือ เพราะพวกเขารู้ว่าถ้าหลิงจั้นจื่อแพ้ พวกเขาก็จะไม่สามารถขัดขวางมู่เฉินได้
ทว่าซูมู่และฉู่เหมินก็เข้ามาขัดขวางทันควัน เมื่อพวกเขากำลังจะไปช่วย
“ฮ่าๆ ถามพวกข้ายังว่าจะให้ไปรึเปล่า?” ซูมู่และฉู่เหมินรู้สึกดีจนแทบบ้า เนื่องจากก่อนหน้านี้พวกเขาถูกทั้งสองเยาะเย้ย แต่เมื่อเห็นสถานะปัจจุบันพวกเขาก็รู้สึกสะใจอย่างมาก
หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อไม่ได้พูดอะไร แต่การโจมตีดุเดือดขึ้นทันที ตอนนี้พวกเขาไม่สนใจที่จะเก็บงำปล่อยไพ่ตายทั้งหมดออกมา ทำให้สามารถปราบซูมู่และฉู่เหมินไว้ แต่ทั้งสองก็กัดฟันรับแรงกดดันพยายามขัดขวางแม้จะต้องจ่ายด้วยราคาบาดเจ็บหนัก
อีกฝั่งสถานการณ์ของหลิงจั้นจื่อก็อันตรายอย่างยิ่ง
ตู้ม!
พายุคลื่นหลิงกวาดออกไป เส้นผมของหลิงจั้นจื่อยุ่งเหยิงไปหมด รอยเลือดไหลออกมาจากมุมปาก ขณะเขามองไปที่มู่เฉินทั้งสามที่ย่างสามขุมเข้ามาหา ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำทันที คล้ายกับสัตว์ที่ถูกบีบให้จนมุม
“มู่เฉิน ต่อให้วันนี้ข้าจะต้องพ่ายแพ้ ข้าก็ไม่ยอมให้แกมีช่วงเวลาดีๆ แน่!”
หลิงจั้นจื่อคำราม ริ้วโหดเหี้ยมวาววับในดวงตา เขากัดลิ้นเลือดกลั่นพุ่งออกมา ก่อตัวเป็นเปลวไฟสีแดงเข้มห่อหุ้มเขาไว้
ฟู่ ฟู่!
เปลวไฟเหล่านั้นจุดชนวนเลือดในร่างกายอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างเขาลุกโชติช่วง คลื่นหลิงรุนแรงพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับสัญญาณควัน
“จุดชนวนแก่นเลือด?”
สายตาของมู่เฉินกะพริบกับฉากตรงหน้า หลิงจั้นจื่อเป็นคนที่โหดเหี้ยมไม่เพียงแต่กับศัตรู แต่กลับตนเองก็เช่นกัน การที่เขาจุดชนวนแก่นเลือดก็หมายความว่าจะใช้เวลาอีกนานสำหรับเขาที่จะกู้คืนสภาพเดิม นอกจากนี้ยังทิ้งผลกระทบไว้เบื้องหลัง ขัดขวางการพัฒนาในอนาคต
“มู่เฉิน แกต้องออกจากสนามรบไปกับข้า! ตำแหน่งนี้จะต้องเป็นของตำหนักซีเทียนเท่านั้น!”
หลิงจั้นจื่อหัวเราะราวกับคลุ้มคลั่ง เขาละทิ้งชีวิตเพื่อลากมู่เฉินออกจากสนามรบ เมื่อถึงเวลานั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อที่จะเอาชนะซูมู่และฉู่เหมิน
ตู้ม!
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตครางกระหึ่มรอบร่างหลิงจั้นจื่อก่อตัวเป็นพายุทอร์นาโด เขาดูราวกับเทพปีศาจ สายตาจับจ้องไปที่มู่เฉิน ทันใดนั้นเขาก็วาดตราประทับแล้วซัดหมัดออกมา
“วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็ม หมัดจักรพรรดิสัประยุทธ์!”
เมื่อเขาเหวี่ยงกำปั้นออกไป ท้องฟ้าก็มืดมิด กระทั่งเหล่าผู้ชมในจัตุรัสยังมีสีหน้าเปลี่ยนไปมาก หมัดนั่นเป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของหลิงจั้นจื่อ นอกเหนือจากการใช้ร่างเทห์สวรรค์!
เห็นได้ชัดว่าหลิงจั้นจื่อถูกบีบเข้ามุมอับแล้ว
ทว่าขณะที่หลายคนเปลี่ยนสีหน้า พวกเขาก็เห็นมู่เฉินซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าหลิงจั้นจื่อส่งเสียงหัวเราะก้องฟ้า จากนั้นก็ก้าวออกมาขณะที่ร่างรองทั้งสองถอยกลับไป แม้ว่าการเคลื่อนไหวจะดูสบายๆ แต่พวกเขาก็สร้างค่ายที่ลึกซึ้งขึ้นทันที
มู่เฉินก้าวไปข้างหน้า ราวกับเมินเฉยต่อหมัดของหลิงจั้นจื่อ เสียงเขาดังก้องท่ามกลางพายุที่กวาดล้างฟ้าดิน
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ให้แกเป็นคนแรกที่เสียสละทดลองค่ายกลรบสามกำลังซะเลย!”