หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1287 ความลับของแดนเซิ่งยวน
เวลาผ่านไปบนเกาะหัวใจหยกพริบตาก็หนึ่งเดือนแล้ว
ลั่วหลีและหลิงซีนั่งข้างกันในศาลาไม้ไผ่พร้อมกับกระดานหมากรุกวางบนโต๊ะเพื่อใช้ฆ่าเวลา นอกจากนี้ยังมีเสียงหัวเราะพลิ้วหวานดังออกมาเป็นครั้งคราว ช่างเป็นฉากที่งดงามที่ทำให้ศาลาไม้ไผ่ธรรมดานี้ถูกลืมเลือนไป
ในช่วงเวลาที่มู่เฉินเข้าสมาธิเพื่อฝึกฝน หญิงสาวทั้งสองคนก็ตั้งใจรอเขาอยู่บนเกาะแห่งนี้
วาบ
ขณะที่สองสาวกำลังหัวเราะต่อกระซิกกัน ร่างชายสูงวัยก็ปรากฏขึ้นในศาลา ประกายแสงวาบขึ้นใบหน้าบูดบึ้งของชื่อเหยียนก็เผยออกมา เขามองไปที่ลั่วหลี “แม่นางน้อย เจ้าไม่เต็มใจที่จะเป็นธิดาเทพของเผ่าไท่หลิงของข้าจริงหรือ?”
ตลอดช่วงเดือนนี้ชื่อเหยียนเทียวไล้เทียวขื่อหลายครั้ง แต่คำเชิญก็ถูกปฏิเสธจากลั่วหลี
ครั้งนี้ลั่วหลีก็ยังถอนหายใจหนักขณะเอ่ยขอโทษ “ผู้อาวุโสข้าเป็นจักรพรรดินีตระกูลลั่วเสิน จะให้ข้าละทิ้งราษฎรเพื่อไปเป็นธิดาเทพเผ่าไท่หลิงได้อย่างไร? นอกจากนี้ข้าก็ไม่มีสายเลือดเผ่าไท่หลิงด้วย”
ชื่อเหยียนเกาหัวเอ่ยว่า “เผ่าไท่หลิงไม่เหมือนกับเผ่าโบราณที่ดื้อรั้นอื่นๆ พวกข้าใจกว้างมาก ดังนั้นจึงไม่เคยคำนึงถึงความแตกต่างของสายเลือด แม้ว่าเจ้าจะมีสายเลือดเจือจาง ตราบใดที่เจ้าแสดงความสามารถยอดเยี่ยมก็ยังเป็นธิดาเทพได้ ทางเผ่าไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอน”
“ในประวัติศาสตร์ของเผ่า พวกข้ามีธิดาเทพที่โดดเด่นหลายคนที่ได้รับการยอมรับ แม้ว่าพวกนางจะไม่ได้มาจากเผ่าของข้าก็ตาม”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น แม้แต่ลั่วหลีก็ประหลาดใจ เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นกลุ่มคนที่ใจกว้างเช่นนี้ เป็นความรู้สึกเดียวกับผู้นำตระกูลลั่วเสินที่ไม่จำเป็นต้องมีสายเลือดของตระกูลก็ได้
“ลั่วหลีสิ่งที่ผู้อาวุโสพูดนั้นไม่ผิด เผ่าไท่หลิงเป็นชนเผ่าโบราณที่ใจกว้างมากที่สุดเผ่าหนึ่งในมหาพันภพ” หลิงซีพยักหน้าจากด้านข้างแล้วถอนหายใจ “ถ้าเผ่าฝูถูเป็นเช่นนี้ น้าจิ้งคงไม่ต้องแยกจากมู่เฉินมาเป็นสิบๆ ปีหรอก”
ลั่วหลีพยักหน้าเบาๆ แต่ก็ยังไม่ตกลง นางไม่ใช่เด็กสาวอีกต่อไป ดังนั้นจึงรู้ว่าจะต้องมีกลุ่มมากมายในเผ่าโบราณขนาดใหญ่ แค่เพียงตระกูลลั่วเสินก็ทำให้นางปวดหัวทุกวัน ถ้านางไปเป็นธิดาเทพเผ่าไท่หลิงก็คงจะมีการแข่งขันรุนแรง ไม่ว่าเผ่าไท่หลิงจะใจกว้างเพียงใด
น้ำนิ่งไหลลึกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ซึ่งลั่วหลีไม่ค่อยอยากจะเข้าไปยุ่งด้วย
เมื่อเห็นการตัดสินใจของลั่วหลี ชื่อเหยียนก็รู้สึกสลดหดหู่พลางถอนหายใจเสียงแผ่ว “น่าเสียดายจริงๆ ตอนแรกคิดว่าจะทันเรื่องแดนเซิ่งยวนซะอีก”
“แดนเซิ่งหยวน?!”
ขณะที่เขาจะพูดจบ หลิงซีก็อุทานด้วยดวงตาที่หดลง “แดนหวงห้ามที่มีชื่อเสียงโด่งดังในมหาพันภพ สนามรบแตกหักในยุคโบราณใช่ไหมเจ้าคะ?”
ชื่อเหยียนพยักหน้า “เจ้ามีความรู้ดีนี่ ถูกตัอง แดนเซิ่งยวนนั่นแหละ”
“แดนเซิ่งหยวนตั้งอยู่ท่ามกลางพายุมิติกาลเวลา ไม่สามารถตรวจพบเจอได้ จะแสดงสัญญาณเมื่อกำลังจะปรากฏขึ้นเท่านั้น ไม่คิดว่ามันจะปรากฏตอนนี้” ดวงตาของหลิงซีกะพริบวาบ
“แดนเซิ่งหยวนเหรอ? ข้าเคยได้ยินมาก่อนบ้าง แต่ลือกันว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นที่รู้กันว่าอันตรายและสภาพแวดล้อมก็รุนแรงจนแม้แต่จอมยุทธ์ตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังอาจทิ้งชีวิตในนั้น ทำไม? พี่หลิงซีสนใจแดนนั้นเหรอ?” ลั่วหลีพยักหน้าขณะที่ถาม
“มีข่าวลือว่าสนามรบโบราณแห่งนั้นมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเกือบสิบคนทิ้งร่างไว้และสี่คนในนั้นมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง!” หลิงซีกล่าวขึ้น
ในมหาพันภพแม้กระทั่งระดับเทียนจื้อจุนก็ยังถูกแยกออกเป็นขั้นต่างๆ ได้แก่ หลิง-เซียน-เซิ่ง และขั้นเซิ่งก็เป็นจุดสุดยอดของจอมยุทธ์ที่มีอยู่ในมหาพันภพ
“สี่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง?” เมื่อได้ยินใบหน้าของลั่วหลีเปลี่ยนไป นี่เป็นรูปแบบทึ่น่าสะพรึงนัก ถ้าพวกเขาสิ้นชีพก็จะเป็นความสูญเสียมหาศาลของมหาพันภพเลยทีเดียว
ดังนั้นสามารถอนุมานได้จากราคานี้ที่มหาพันภพได้จ่ายเพื่อต่อต้านจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ
“แม้ว่าเราจะประสบกับความสูญเสียใหญ่หลวงในการต่อสู้ครั้งนั้น แต่จักรวรรดิปีศาจก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน พวกมันก็สูญเสียราชันปีศาจระดับเทียนสิบกว่าคนด้วยเช่นกันและสี่คนติดอันดับหนึ่งในสิบห้า” ชื่อเหยียนกล่าวเสริม
ราชันปีศาจระดับเทียนเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนของมหาพันภพ พวกที่ติดอยู่สิบห้าอันดับสูงสุด นั่นก็หมายความว่าแม้จะอยู่ในจักรวรรดิปีศาจ เผ่าพวกนั้นก็ต้องดำรงอยู่สูงสุด
“เนื่องจากมีจอมยุทธ์จากทั้งสองฝ่ายละสังขารภายใน ดังนั้นมรดกที่เป็นของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แม้แต่อาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมหรือสูงกว่านั้นก็ถูกทิ้งไว้ข้างใน ดังนั้นแม้จะเป็นแดนอันตราย แต่ก็ยังมีผู้คนมากมายที่ต้องการเข้าไป หากพวกเขาโชคดีพอได้รับมรดกก็เท่ากับทะยานขึ้นสู่ประตูสวรรค์เลยทีเดียว”
“แต่เนื่องจากแดนเซิ่งยวนตั้งอยู่ภายในพายุมิติกาลเวลา จึงมีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่สามารถส่งผู้คนเข้าไปได้ ธรณีประตูหยุดยั้งคนโลภมากมาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีผู้คนที่มุ่งหน้าไป… แม้กระทั่งเผ่าไท่หลิงของข้าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น”
ขณะที่พูดชื่อเหยียนก็เลียริมฝีปาก เปลวไฟโชนขึ้นในดวงตา “นั่นเป็นเพราะสี่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งที่ทิ้งร่างไว้ คนหนึ่งก็คือบรรพบุรุษของเผ่าไท่หลิง วิชา ‘ช่องแสงวิญญาณ’ ที่เขาฝึกฝนเป็นหนึ่งในวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่า พลังนั้นช่างไร้ขีดจำกัด แม้แต่ในเผ่าของข้าก็ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นทักษะขั้นยอดเทพ แต่น่าเสียดายที่การเสียชีวิตของบรรพบุรุษทำให้วิชาในตำนานหายไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นนี่เป็นความปรารถนาของเผ่าข้าที่จะค้นหาวิชาเทพนี้”
“ดังนั้นคนที่สามารถค้นหาวิทยายุทธในตำนานได้ก็จะสามารถเอาชนะคู่แข่งคนอื่นๆ ได้รับการสนับสนุนจากทุกคนในเผ่าเพื่อดำรงตำแหน่งธิดาเทพของเผ่าไท่หลิง!”
เมื่อได้ยินถึงจุดนี้ ลั่วหลีก็พูดขึ้นมาทันทีว่า “ที่แท้ก็ยังมีคู่แข่งชิงตำแหน่งธิดาเทพด้วยหรือ? เฉพาะคนที่สามารถค้นหาวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานเท่านั้นที่จะสามารถขึ้นเป็นธิดาเทพได้เหรอ?”
ไฟบนใบหน้าของชื่อเหยียนแข็งค้าง ท่าทางกระอักกระอ่วนไป “ข้าเป็นเพียงตัวแทนของเผ่าไท่หลิงเพื่อค้นหาผู้สมัครที่เหมาะสมสำหรับตำแหน่งธิดาเทพ”
ลั่วหลีอดไม่ได้ที่จะกลอกตา นางว่าแล้วไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะดำรงตำแหน่งธิดาเทพของเผ่าไท่หลิง พูดชักแม่น้ำมาตั้งหลายวันก็แค่เป็นผู้สมัครเท่านั้น
เมื่อเห็นสายตาของลั่วหลี ใบหน้าของชื่อเหยียนก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ก่อนที่จะยิ้มเก้อ
ดังนั้นยามนี้ในศาลาจึงจมลงสู่ความเงียบงัน มีเพียงสายตาของหลิงซีที่เปล่งประกายด้วยความคิดก่อนที่นางจะพูดเบาๆ ว่า“ นอกเหนือจากวิชาช่องแสงวิญญาณ รู้สึกจะมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งของเผ่าฝูถูด้วยใช่ไหมเจ้าคะ?”
ชื่อเหยียนพยักหน้า “ใช่ บรรพบุรุษของเผ่าฝูถูก็ไม่ธรรมดา วิชาเจดีย์แปดองค์ที่เขาฝึกฝนก็เป็นหนึ่งในวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานด้วยเช่นกัน ประมุขน้อยหลายคนในเผ่าฝูถูก็ตั้งเป้าที่จะนำวิชานั้นกลับคืน”
“นั่นเป็นเพราะมีกฎของเผ่าว่าใครก็ตามที่สามารถได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์ก็จะได้รับตำแหน่งประมุขคนต่อไป”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ดวงตาของหลิงซีก็วาวโรจน์
ลั่วหลีมองหลิงซีอย่างเข้าใจความตั้งใจของอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าหลิงซีต้องการให้มู่เฉินได้รับมรดกวิชาเจดีย์แปดองค์ จากนั้นก็อาจช่วยมารดาจากเผ่าด้วยวิธีที่ว่าได้
ลั่วหลีก็เห็นด้วยกับความคิดนี้ เพราะเป็นเรื่องเขี้ยวลากดินมากที่มู่เฉินใช้วิธีสู้ซึ่งหน้า เนื่องจากรากฐานของเผ่าฝูถูยังคงน่ากลัวอยู่ไม่น้อย
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ลั่วหลีก็เข้าสู่ภวังค์ ตอนแรกนางไม่สนใจที่จะเป็นธิดาเทพของเผ่าไท่หลิงเลย ในแง่ของการสืบทอดนางมีมรดกของลั่วเสินและร่างเทพวารี ซึ่งเพียงพอที่จะเป็นประโยชน์สำหรับตัวเองในการก้าวขึ้นเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน
แต่ถ้านางดำรงตำแหน่งธิดาเทพเผ่าไท่หลิงด้วยละก็ นางจะได้รับการสนับสนุนจากเผ่าโบราณที่น่ากลัวอยู่เบื้องหลัง หากวันนั้นที่ความสัมพันธ์ของมู่เฉินกับเผ่าฝูถูสะบั้นลงอย่างสมบูรณ์ นางก็จะสามารถให้ความช่วยเหลือเขาได้
ตอนนี้ลั่วหลีเข้าใจว่าการสนับสนุนของตระกูลลั่วเสินไม่สามารถให้ความช่วยเหลือกับมู่เฉินได้มากนัก ถ้านางต้องการช่วยเหลือมู่เฉินจริงๆ นางอาจสามารถใช้เผ่าไท่หลิงเพื่อทำเช่นนั้นได้
จากแง่มุมนางเองไม่ได้สนใจเผ่าไท่หลิง แต่ถ้าทำเพื่อมู่เฉิน… นางยินดีที่จะเป็นธิดาเทพ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็เม้มริมฝีปากขณะที่แลกเปลี่ยนสายตากับหลิงซี แม้ว่าพวกนางจะไม่พูด แต่ก็เข้าใจความคิดของกันและกัน
ดวงตาของหลิงซีกะพริบด้วยความขอบคุณ เพราะถ้าลั่วหลีทำเช่นนี้ นางจะต้องแข่งขันกับผู้สมัครคนอื่นๆ ของเผ่าไท่หลิงซึ่งไม่น่าจะเป็นเรื่องง่าย
ลั่วหลีเพียงยิ้มตอบบางเบา เพื่อนางแล้วมู่เฉินปะทะกับจักรพรรดิสัประยุทธ์โดยไม่ลังเล แล้วจะเป็นอะไรถ้านางจะแข่งขันเพื่อเขาบ้าง?
ในช่วงเวลาสั้นๆ ทั้งสองก็ได้แลกเปลี่ยนความตั้งใจเสร็จสิ้น ลั่วหลีหันมายิ้มให้ชื่อหยวน “ผู้อาวุโส ข้าจะเป็นผู้สมัครตำแหน่งธิดาเทพให้ก็ได้ แต่ท่านต้องสัญญาบางอย่างกับข้าก่อน”
“โอ้?”
ชื่อเหยียนที่นึกว่าไม่มีความหวังก็ตื่นเต้นพลางโบกมือไปมา “ว่ามาเลย”
ลั่วหลีจือปากชี้ไปในทิศทางของมู่เฉินด้วยท่วงท่างดงาม
“ข้าหวังว่าผู้อาวุโสจะสามารถส่งพวกเราทั้งคู่เข้าสู่แดนเซิ่งยวน”