หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1295 พบปะยามค่ำคืน
เงารัตติกาลโอบล้อมเมืองเซิ่งยวน
แต่ในฐานะเมืองที่คึกคักที่สุดในทวีปเซิ่งยวน ทั้งเมืองก็ยังสว่างไสวแม้แต่ในเวลาค่ำคืน
ค่ายกลขนาดใหญ่ที่อยู่เหนือเมือง ทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในทวีปเซิ่งยวน เป็นที่ที่จะทำให้เหล่านักผจญภัยรู้สึกผ่อนคลายลงได้เมื่อเข้ามา
มู่เฉินนั่งในสวนเงียบสงบพร้อมหลับตาเพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งที่มารดาทิ้งไว้ให้
ในช่วงเวลานี้ กระทั่งตอนเดินทาง เขาก็ไม่เคยหยุดการฝึกฝนและผลที่ออกมาก็ค่อนข้างน่าพอใจ มู่เฉินรู้สึกได้ว่ายิ่งเขาทำความเข้าใจมากขึ้น พัฒนาการด้านศาสตร์ค่ายกลของเขาก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
การบรรลุหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
ศึกษาอยู่สองชั่วโมง ดวงตาของมู่เฉินก็เปิดออกช้าๆ มือเหยียดออกไป สัญลักษณ์หลิงยิ่งบินว่อนออกมาจากนิ้วมือ เชื่อมโยงกันกลายเป็นค่ายกลที่ซับซ้อน
ปัง
แต่เมื่อเกือบจะเสร็จสมบูรณ์ก็เกิดระลอกคลื่นเล็กๆ ทำให้ค่ายกลทั้งค่ายกลสั่นสะเทือนก่อนจะพังทลายลง
เมื่อมองไปที่ค่ายกลที่หายไป มู่เฉินก็ยังคงมีท่าทางสงบ เพราะนี่คือค่ายกลเพลิงคำรามที่มารดาของเขาทิ้งเอาไว้ให้
ช่วงนี้เขากำลังทำการศึกษาค่ายกลนี้เพื่อรับประสบการณ์ ทว่าความพยายามทั้งหมดของเขาล้มเหลว
ท้ายที่สุดค่ายกลระดับสูงเช่นนี้ ก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถสร้างขึ้นได้โดยง่าย
ทว่ามู่เฉินก็สงบอย่างรวดเร็ว เขาค่อยๆ เข้าใจปัจจัยหลายอย่างของค่ายกลนี้ ตามที่วางแผนไว้ก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาก่อนที่เขาจะสร้างค่ายกลนี้ได้อย่างชำนาญ
“หืม?”
ขณะที่มู่เฉินกำลังตรึกตรองภาพความล้มเหลวย้อนหลัง ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “ในเมื่อมาแล้วทำไมต้องซ่อนตัวด้วย?”
เมื่อเสียงสิ้นสุดลง มิติก็ผันผวนไปมาขึ้นในระยะไกล ก่อนที่เขาจะเห็นเงาสองเงาเดินทอดหุ่ยอยู่บนท้องฟ้าเหนือขึ้นไป คนแรกสวมชุดขาวนวล โฉมงามเย็นเยือกที่ตามหลังชิงเซวียนของเผ่าฝูถู
ขณะนี้มีหญิงสาวอีกคนอยู่ข้างนาง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นใครบางคนที่อยู่ในกลุ่มชิงเซวียน
“เผ่าฝูถู ตระกูลชิง—ชิงซวง” โฉมงามเย็นยะเยือกปรากฏที่เบื้องหน้ามู่เฉินจ้องมองไปที่เขา น้ำเสียงของนางเย็นชาไม่มีระลอกคลื่นใดๆ
“ตระกูลชิง—ชิงหลิง” ผู้หญิงอีกคนก็แนะนำตัวเองเช่นกัน แต่ท่าทางดูยโสกว่า
มู่เฉินยิ้ม “ข้าไม่รู้เรื่องที่พวกเจ้าพูดหรอกนะ”
ไม่มีความดีใจในรอยยิ้มขา ตรงกันข้ามกลับเต็มไปด้วยความเย็นชา
“มาหาข้าเพื่ออะไรก็ว่ามาซะ แน่นอนว่าถ้าพวกเจ้าต้องการพาข้ากลับไปที่เผ่าในฐานะกาลกิณีก็ต้องดูว่าพวกเจ้ามีความสามารถนั้นหรือไม่”
หญิงสาวที่ชื่อชิงหลิงมีความภาคภูมิใจในตัวเองมาก ดังนั้นนางจึงไม่พอใจกับคำพูดเย็นชาของมู่เฉิน “หึ ความเย่อหยิ่งของเจ้ามีมากกว่าขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายของเจ้าซะอีก”
ตัวนางเองก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ซึ่งส่วนตัวคิดว่าไม่ได้อ่อนแอ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายธรรมดาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง ดังนั้นเมื่อนางเห็นว่ามู่เฉินทำตัวหยิ่งยโสทั้งที่มีขุมพลังนี้ นางจึงรู้สึกไม่พอใจเท่าไร
ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจอีกฝ่าย ชัดว่าหญิงสาวเย็นชาเป็นผู้นำ ดังนั้นเขาจึงมองไปที่นาง “ถ้านี่คือสิ่งที่พวกเจ้ามาที่นี่ก็ไปซะ”
ชิงซวงมองไปที่มู่เฉินพูดช้าๆ “ท่านป้าเซวียนสั่งให้ข้ามาหาเจ้า นางอยากให้เจ้าออกจากทวีปเซิ่งยวนตอนนี้”
มู่เฉินขมวดคิ้วตอบกลับโดยไม่ลังเล “ข้าเกรงว่าจะทำไม่ได้”
ชิงซวงมุ่นคิ้ว “ถึงแม้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจะไม่สามารถเคลื่อนไหวเพื่อจัดการเจ้าได้ตามคำสั่ง แต่เฉวียนหลัวและมั่วซินตั้งใจจะจับเจ้า พวกเขาล้วนเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงของเผ่าฝูถูที่มีความหวังที่จะเข้าสู่ขุมพลังเทียนจื้อจุนในอนาคต ตอนนี้เจ้ามีขุมพลังเท่านี้ ถ้าเผชิญหน้ากับพวกเขา เจ้ายากที่จะหนีไปแน่!”
“เฉวียนหลัวและมั่วซินเรอะ”
สายตาของมู่เฉินวูบไหว ตอนกลับมาจากหอเขารู้ข้อมูลจากหลงเซี่ยงแล้วว่าเฉวียนหลัวและมั่วซินเป็นผู้สมัครหัวกะทิในฐานะประมุขเผ่าฝูถูคนต่อไป
และกู้ซือหวงก็เป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเฉวียนหลัว
แสงวูบไหวในดวงตามู่เฉินลดลง เขาพยักหน้าเบาๆ ไปทางชิงซวง “ขอบคุณสำหรับความปรารถนาดีของพวกเจ้า แต่ข้าจะไม่ไปไหน หากพวกเขาต้องการก็เข้ามาได้เลย”
ถึงแม้ว่าทั้งสองจะทรงพลัง แต่ถ้าคิดว่าเขาเป็นคนที่จัดการได้ง่ายๆ พวกเขาก็คิดผิดไปแล้ว
“เจ้าช่างไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”
ชิงหลิงขมวดคิ้วหัวร้อนขึ้นมาทันที “พวกเขาทั้งสองมีตำแหน่งสูงส่งในเผ่าฝูถู แม้แต่พี่ใหญ่ชิงซวงยังขยาดพวกเขา เจ้ายังคิดจะปะทะกับพวกเขาอีก สะกดคำว่าตายไม่เป็นรึไง!?”
“พวกข้าใจดีมาแจ้งให้เจ้าทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ เจ้ามีไหวพริบหน่อยไม่ได้หรือไง!”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองชิงหลิงพร้อมรอยยิ้มจางๆ “ถ้าข้าสะกดคำว่าตายเป็น ข้าคงไม่มาไกลขนาดนี้ได้หรอก”
ตลอดหลายปีที่เขาแสวงหาพลังในการเป็นหนึ่ง มีตอนไหนที่ไม่แขวนชีวิตอยู่ระหว่างความเป็นตายเหรอ? หากเขารู้แต่ซ่อนตัว เขาจะแสวงหาความก้าวหน้าผ่านโอกาสเหล่านั้นได้อย่างไร?
เขาไม่ได้มีทรัพยากรเหมือนคนเหล่านี้ ได้แต่พึ่งพาตนเองเพื่อมาไกลขนาดนี้ ต่อสู้กับไม่ว่าไอ้หน้าไหน
เผชิญกับการตอบกลับเสียงแผ่วเบาของมู่เฉิน ชิงหลิงก็อึ้งไป เพราะแม้แต่นางก็รู้สึกถึงอันตรายจากคำพูดของมู่เฉิน
ประสบการณ์ของชายคนนี้ ไม่ใช่สิ่งที่พวกนางเอามาเทียบได้
ใบหน้าเย็นของชิงหวงก็เกิดระลอกคลื่นในตอนนี้ นางมองไปที่ชายหนุ่ม ภายใต้รอยยิ้มเงียบสงบนั่นมีสิ่งที่ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวซ่อนอยู่
แม้ว่าเขาจะมีมารดาทรงพลัง แต่กลับไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆ ในทางตรงกันข้ามเขายังต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ก็อย่างที่เขาพูดการที่เขาสามารถมาไกลได้เพียงนี้ทั้งหมดพึ่งพาการทำงานหนักของตนเอง
ชิงซวงถอนหายใจอย่างแผ่วขณะที่พูดว่า “เหตุผลที่พวกข้ามาที่นี่เพื่อแจ้งให้เจ้าทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ สำหรับทางเลือกก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง”
พูดถึงตรงนี้นางก็หยุดคิดชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “ถ้าเจ้ายืนกรานดื้อจะอยู่ในทวีปเซิ่งยวนให้ได้ก็จงระวังตัว ถ้าไปปะทะกับเฉวียนหลัวหรือมั่วซินก็มาหาข้าได้ ข้าจะช่วยเจ้าเอง”
มู่เฉินมองไปที่หญิงสาวเย็นชา ในที่สุดสายตาก็กระเพื่อมไหว แม้ว่าชิงซวงจะดูเย็นชา แต่นั่นไม่ใช่เนื้อในของนาง
ทว่ามู่เฉินก็ทำเพียงพยักหน้า “ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ไปซะเถอะ”
แม้ว่าเขาจะสัมผัสได้ถึงความหวังดีของพวกนาง แต่เขาก็ยังมีเยื่อบางกั้นในหัวใจเกี่ยวกับเผ่าฝูถู ดังนั้นเขาจึงไม่มีแผนที่จะขอความช่วยเหลือใด
เมื่อได้ยินคำพูดไล่กลายๆ ของมู่เฉิน ชิงซวงก็ไม่ได้พูดอะไร แต่เหลือบมองไปที่มู่เฉินแวบหนึ่งก่อนจะเดินออกไป ผิดกับชิงหลิงที่กระทืบเท้าระบายอารมณ์ สายตาจ้องมองมู่เฉินด้วยความไม่พอใจ จากนั้นก็สะบัดหน้าตามออกไปเช่นกัน
เมื่อออกจากสวน ชิงหลิงก็ไล่ตามชิงซวงพูดอย่างไม่พอใจ “มู่เฉินหยิ่งผยองพองขน พวกเราอุตส่าห์ใจดีจะช่วยเหลือเขา แต่เขาดันไม่เห็นค่า!”
“เขาไม่รู้ว่าเฉวียนหลัวและมั่วซินทรงพลังเพียงใด แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังไม่ได้เปรียบอะไรเลยเมื่อประหน้าพวกเขา ดังนั้นการปะทะของพวกเขาก็เหมือนเอาไข่กระแทกก้อนหิน!”
ชัดว่าหญิงสาวที่มั่นใจและไว้ตัวมาตลอดแทบไม่เคยเจอคนที่เฉยเมยแบบที่มู่เฉินแสดงออก นอกจากนี้พวกนางยังมาพร้อมกับความปรารถนาดี แต่มู่เฉินกลับไม่ได้แสดงสีหน้าซาบซึ้งใดๆ ซึ่งนี่ทำให้นางขุ่นเคืองใจนัก
ชิงซวงส่ายหน้าเบาๆ “ท่านน้าจิ้งถูกจองจำมาหลายปี แม่กับลูกต้องแยกจากกันมา เป็นเรื่องปกติที่เขาไม่มีความรู้สึกดีกับเผ่าฝูถู มิหนำซ้ำเขาก็เป็นคนภูมิใจ เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากเรา”
ชิงหลิงทำปากยื่น “แต่นี่เป็นการฝืนตัวอยู่ไม่ใช่หรอ!”
นางเหลือบตาหันไปมองสวนด้านหลัง “ฝืนตัว? คงไม่ใช่ล่ะ…”
“เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจะมีอะไรที่ไม่แน่นอนเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก” ชิงหลิงเหวี่ยงริมฝีปากด้วยความอาการถากถาง
ชิงซวงขมวดคิ้ว “ไม่รู้เพราะเหตุใดข้ารู้สึกถึงรัศมีอันตรายที่มาจากเขาซึ่งเทียบได้กับเฉวียนหลัวและมั่วซินเลยทีเดียว…”
ชิงหลิงตกใจก่อนที่จะพูดว่า “พี่ใหญ่ชิงซวงจะเป็นไปได้ยังไง? เจ้าไม่ได้ประเมินสำหรับเขาสูงเกินไปหรอกหรือ? เขาจะเทียบได้กับเฉวียนหลัวและมั่วซินเจ้าสัตว์ประหลาดสองตัวนั้นได้ยังไง?!”
ชิงซวงเม้มปากพยักหน้าอย่างลังเล บางทีมันอาจเป็นความเข้าใจผิดของนางก็ได้ล่ะมั้ง
เมื่อเทียบกับเฉวียนหลัวและมั่วซิน มู่เฉินก็ดูเหมือนจะด้อยกว่าอยู่จริง