หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1298 พายุหลอมวิญญาณ
ฟ้าดินที่นี่แตกสลายอัดแน่นไปด้วยรัศมีโบราณ
ดวงอาทิตย์คล้ายจะตกแตกเอิบอาบด้วยแสงอ่อนจาง
พื้นดินปกคลุมไปด้วยหุบเหวลึกไม่มีที่สิ้นสุดพร้อมสาดความมืดมิดที่ทำให้กระดูกสันหลังเย็นเยือกลง
ราวกับว่ามิติแห่งนี้ถูกทำลายด้วยมือยักษ์ ทำลายทุกสรรพชีวิตให้สิ้นซาก
“นี่คือหนึ่งในสมรภูมิรบระหว่างมหาพันภพกับเผ่าปีศาจต่างมิติรึ?”
พวกมู่เฉินยืนอยู่บนภูเขาขณะที่จ้องมองภูมิประเทศนี้ด้วยใบหน้าตกตะลึง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขามองเห็นภูเขาลอยอยู่ในอากาศจากพายุในระยะไกลก็ทำเอาดวงตาหดเกร็งลง
นั่นเป็นเพราะกฎฟ้าดินถูกทำลาย ทำให้แรงโน้มถ่วงอยู่ในภาวะสับสน
“ความกดดันที่นี่มีมากเกินไป ทำเอาหายใจไม่ออกเลย” ลั่วหลีตอบกลับด้วยท่าทางเคร่งเครียด
แม้แต่การต่อสู้ที่นี่ก็จะทำให้หมดคลื่นหลิงมากกว่าที่อื่นในมหาพันภพ เนื่องจากต้องทนต่อแรงกดดันที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
“มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมากมายสิ้นชีพลงที่นี่ แม้ว่าพวกเขาจะสิ้นชีพไปแล้วแต่ก็ยังมีร่องรอยของรัศมีที่เหลืออยู่หลอมรวมเข้าระหว่างฟ้าดิน ทำให้เรารู้สึกกดดัน” หลิงซีพูดเบาๆ
“สมกับเป็นหนึ่งในดินแดนหายนะของมหาพันภพ” หลงเซี่ยงถอนหายใจ ในสถานที่นี้แม้จะเป็นจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนอย่างเขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ
มู่เฉินพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะมองไปที่ลั่วหลี “เราไปหากลุ่มของเวินชิงเฉวียนก่อนไหม?”
ในเมื่อเวินชิงเฉวียนมีข้อมูลสุสานของร่างจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนและชักชวนให้ช่วยเหลือกันและกัน มู่เฉินก็ไม่คิดปฏิเสธเรื่องดังกล่าว เนื่องจากพวกเขาเพิ่งเข้ามิติแห่งนี้ ทำให้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้น้อยมาก
ลั่วหลีพยักหน้าก่อนที่จะแบมือออกมา ผีเสื้อมรกตปรากฏขึ้น ภายใต้การควบคุมของลั่วหลีมันก็กระจายแสงสีเขียวบินวนอยู่เบื้องหน้าลั่วหลี จากนั้นก็ทำการสัมผัสก่อนที่จะบินไปในทิศทางตะวันตก
“ตามมันไป แล้วเราก็จะไปพบกับเวินชิงเฉวียน” ลั่วหลียิ้ม
“ไป!”
มู่เฉินตะเบ็งเสียงทะยานออกไปพร้อมกับอีกสามคนติดตามมา
เนื่องจากแดนเซิ่งยวนโบราณเต็มไปด้วยอันตรายทุกประเภท ดังนั้นพวกเขาจึงชะลอตัวเพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน ไม่ให้เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้น
และความจริงก็พิสูจน์ว่าความระมัดระวังของมู่เฉินจำเป็นจริงๆ
ฟู่ ฟู่
ลมแผดเสียงอย่างไม่มีที่สิ้นสุดทั่วบริเวณมืดมิด แม้ว่าจะดูไม่ค่อยอันตราย แต่เมื่อใดที่มันสัมผัสกับพลังงานหลิง คลื่นพลังหลิงก็จะละลายกลายเป็นเม็ดทราย
ตอนนี้กลุ่มมู่เฉินซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ ขณะที่มองพายุด้วยความหวาดผวา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลงเซี่ยงที่แขนของเขาเป็นสีเหลืองคล้ำ เป็นเพราะเขาหลบเลี่ยงไม่ทัน จึงถูกลมพัดใส่ทำให้คลื่นหลิงที่แขนของเขาสลายตัว มากจนแขนทั้งข้างยังเกือบจะกลายเป็นทรายไปแล้ว
โชคดีที่มู่เฉินไหวตัวรีบดึงเขาออกมา มิฉะนั้นแม้จะเป็นจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุน เขาก็ไม่สามารถทนอยู่ได้นาน ก่อนที่จะสลายตัวเป็นทราย
“ช่างเป็นพายุที่น่ากลัวเสียจริง!” หลงเซี่ยงรู้สึกหวาดกลัว เขามีประสบการณ์เพียงพอในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ไม่มีสักครั้งที่น่ากลัวมากขนาดนี้ ลองคิดดูว่าเขาเกือบจะกลายเป็นทรายทั้งที่ยังไม่ทันสู้ ยามนี้หลงเซี่ยงรู้สึกถึงความสั่นสะเทือนของกระดูกสันหลังเลยทีเดียว
“นั่นน่าจะเป็นพายุหลอมวิญญาณ” ลั่วหลีมองไปที่สายลมมืดมิดพลางพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“พายุหลอมวิญญาณ?” มู่เฉินและคนอื่นๆ อึ้งไปเมื่อได้ยินคำพูดของนาง
“ก็ข้าไม่ได้เข้าสมาธิฝึกฝนเหมือนเจ้าเลยได้ฟังหลายเรื่องจากท่านชื่อเหยียน ซึ่งจ่ายราคาไปไม่น้อยสำหรับการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับแดนเซิ่งยวนโบราณนี้” ลั่วหลีกลอกตาใส่มู่เฉิน
มู่เฉินหัวเราะแฮะๆ เขาให้ความสำคัญกับการฝึกฝนมากเกินพอดี ทำให้ไม่ได้รวบรวมข้อมูล โชคดีที่ลั่วหลีละเอียดลออกว่า
“มีภัยพิบัติที่น่ากลัวมากมายในแดนเซิ่งยวนโบราณและพายุหลอมวิญญาณก็เป็นหนึ่งในนั้น ว่ากันว่าพายุนี้ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ที่ไม่มีพลังงานหลิง แต่สำหรับคนที่มี ช่วงเวลาที่พลังงานหลิงสัมผัสกับมันก็จะสลายกลายเป็นทราย”
“แม้ว่าพี่ใหญ่หลงเซี่ยงจะไม่ได้ใช้คลื่นหลิง แต่ร่างกายพวกเราได้รับการขัดเกลาโดยคลื่นหลิงมาตลอด ดังนั้นจึงมีพลังงานไหลเวียนอยู่ตามธรรมดา ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้แขนของเขาเกือบจะกลายเป็นทรายน่ะ”
หลงเซี่ยงแอบเดาะลิ้น การพูดแบบนี้ก็หมายความว่าแม้พวกเขาจะถอนคลื่นหลิงแล้ว ก็ไม่สามารถผ่านพายุหลอมวิญญาณไปได้ เนื่องจากร่างกายของพวกเขามีพลังงานไหลเวียนอยู่
“’งั้นเราก็ต้องรอให้พายุผ่านไปก่อนเท่านั้นเหรอ?” หลิงซีถาม
“นั่นเป็นเป็นทางเลือกเดียวของเรา” ลั่วหลีพยักหน้าอย่างจนใจใครจะจินตนาการได้ว่าแค่พายุเพียงอย่างเดียวก็ทำให้พวกนางดูน่าสมเพชขนาดนี้
“แต่โชคดีที่พวกมันก่อตัวไม่นาน เราคงไม่ต้องรอนานนักหรอก”
มู่เฉินพยักหน้า “งั้นก็รอให้มันสลายไป”
ขณะที่พูดเขาก็จ้องมองไปที่พายุหลอมวิญญาณ ถึงแม้ว่านี่จะอันตราย แต่ก็อาจเป็นอาวุธที่ยอดเยี่ยม หากเขาสามารถรวบรวมและปล่อยออกมาเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู ซึ่งจะสามารถบรรลุผลแบบจินตนาการไม่ได้เลย
“เจ้าคิดจะเอาพายุหลอมวิญญาณนี่ไปเหรอ?” ลั่วหลีราวกับเห็นผ่านความคิดของมู่เฉินด้วยเพียงเหลือบมองแวบเดียว ม่านตาของนางขยายกว้างขึ้น มู่เฉินชักจะกล้าบิ่นเกินไปแล้ว
หลิงซีและหลงเซี่ยงก็ตกตะลึงไปเช่นกันเมื่อมองไปที่มู่เฉิน หากคนอื่นเห็นพายุหลอมวิญญาณ พวกเขาเลือกที่จะหลีกเลี่ยง แต่มู่เฉินกลับคิดจะเอามันไป?
เมื่อเห็นสายตาตกตะลึงของทุกคน มู่เฉินก็อดยิ้มไม่ได้ “แม้ว่าพายุหลอมวิญญาณจะทรงพลัง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรวบรวมไม่ได้นี่น่า”
“ถึงแม้ว่าพายุหลอมวิญญาณจะสามารถสลายคลื่นหลิงได้ แต่ถ้าเราสามารถผนึกมันได้ชั่วคราว เราก็จะรวบรวมเอาไว้ได้”
“ผนึก? ใช้ผนึกต่อต้านความสามารถย่อยสลายรึ?” หลิงซีกับคนอื่นๆ แลกเปลี่ยนสายตากัน ในมหาพันภพถ้าพูดถึงพลังในการปิดผนึกก็ต้องให้เผ่าฝูถูเป็นอันดับแรกเลย
“นายน้อย แม้ว่าผนึกของเผ่าฝูถูจะทรงพลัง แต่ก็มีหลายระดับ ข้ากลัวว่าอำนาจการผนึกแบบธรรมดาจะไม่สามารถทำอะไรกับมันได้” หลงเซี่ยงส่ายหัว เนื่องจากเขามีความรู้เกี่ยวกับทักษะในการผนึกของเผ่าฝูถูดี
“เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนสำหรับพลังผนึกธรรมดา”
มู่เฉินยิ้มก่อนที่แสงตกผลึกจะปรากฏในดวงตา เจดีย์ผลึกแก้วใสพุ่งออกมาลอยอยู่เบื้องหน้าเปล่งรัศมีศักดิ์สิทธิ์
“แต่พลังการผนึกเจดีย์พุทธะของข้าแข็งแกร่งกว่าเจดีย์ธรรมดามาก”
“ที่แท้ก็เจดีย์พุทธะ!” ดวงตาของหลิงซีสว่างวาบเมื่อเห็นภาพตรงหน้า นางรู้ว่าเจดีย์พุทธะหายากมากในเผ่าฝูถู
หากเป็นเช่นนั้น มู่เฉินก็น่าจะลองดูสักหน่อย
“แต่เจ้าบ้าบิ่นไป ไม่กลัวความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับเจดีย์พุทธะนี่รึ?” หลิงซีเม้มริมฝีปาก แม้ว่าสิ่งที่มู่เฉินกล่าวอาจใช้งานได้ แต่ก็ยังคงอันตราย สมาชิกในเผ่าฝูถูถือว่าเจดีย์ของพวกเขาเป็นสิ่งมีค่าที่สุด พวกเขาจะไม่ยอมใช้ง่ายๆ อย่างแน่นอน ไม่เหมือนมู่เฉินที่ตั้งใจจะใช้เพื่อจัดการกับพายุหลอมวิญญาณนี่
ก็เหมือนกับเฉวียนหลัว เขาเองก็มีเจดีย์พุทธะ แต่หลิงซีรู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำอะไรแบบนี้แน่
แน่นอนว่านี่ก็เป็นเพราะประสบการณ์ที่แตกต่างกันระหว่างเขากับมู่เฉิน เฉวียนหลัวถือตัวว่ามีสถานะสูงส่งเขาจะยอมเสี่ยงแบบมู่เฉินได้อย่างไร?
“อยากได้อะไรก็ต้องเสี่ยง ไม่มีของได้เปล่าในโลกนี้หรอก” มู่เฉินไม่ได้ยึดติดกับเรื่องนี้ เพราะตัวเขาคุ้นชินกับความเสี่ยงอยู่แล้ว บางครั้งเขาก็ต้องมองข้ามความเป็นตายไปบ้าง
“งั้นก็ลองดูกันหน่อย แต่ถ้าสถานการณ์ไม่ดีก็หยุดทันทีนะ”
ลั่วหลีรู้ว่ามู่เฉินตัดสินใจแล้ว ดังนั้นนางจะไม่หยุดเขา ในทางตรงกันข้ามนางจะให้การสนับสนุนที่สุดแก่เขา
มู่เฉินพยักหน้าจากนั้นก็เดินไปสองก้าวออกไปที่หน้าปากถ้ำ สายตามองพายุหลอมวิญญาณด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขายกมือขึ้นเจดีย์พุทธะก็เปล่งประกายแวววาว ทะยานออกจากถ้ำในวินาทีต่อมา
ฮึ่ม!
เมื่อเจดีย์บินเข้าไปในพายุหลอมวิญญาณ เกลียวแสงผลึกใสก็ต่อต้านแรงลม ในเวลาเดียวกันแรงดูดก็ระเบิดออกพร้อมกับมวลลมไร้ขอบเขตกวาดเข้ามาในเจดีย์ด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
มันดูดซับอยู่เป็นเวลานาน ก่อนที่มู่เฉินจะสะบัดแขนเสื้อ เจดีย์พุทธะก็บินกลับมาพร้อมกับเขาก้าวออกมารับไว้ คลื่นหลิงในร่างกายเขาพุ่งเข้าเจดีย์ทันที
ขั้นตอนต่อไปจะสำคัญที่สุด เนื่องจากเขาจำเป็นต้องใช้พลังปิดผนึกของเจดีย์เพื่อผนึกพายุหลอมวิญญาณ
หากเขาล้มเหลวพายุนี้ก็จะสร้างความเสียหายอย่างมากต่อเจดีย์
ดังนั้นมู่เฉินจะล้มเหลวไม่ได้!
“ผนึกซะ”