หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1303 อสูรโอสถ
“มีใครกำลังควบคุมยุงพวกนี้เรอะ?!”
เวินชิงเฉวียนและลั่วหลีถึงกับตกใจเมื่อได้ยินเสียงของมู่เฉิน ใบหน้าของเวินชิงเฉวียนเย็นเยือกหลายส่วน “ต้องเป็นไอ้พวกตระกูลหวู่แน่ พวกมันต้องการหยุดเรา!”
“มีวิธีจับคนที่อยู่เบื้องหลังออกมาไหม?” เวินจื่อหยู่มองไปที่มู่เฉิน หากปล่อยให้คนพวกนั้นอยู่ในที่ลับ ต่อให้พวกเขาจะสามารถผ่านทะเลยุงนี้ไปได้ ก็คงหมดพลังไปมากแน่
สายตาของมู่เฉินวูบไหวขณะที่มองทะเลยุง “ยุงเหล่านี้สื่อสารด้วยเสียง ผู้ควบคุมก็น่าจะใช้เสียงเพื่อควบคุมเช่นกัน”
“พี่หลิงซี เจ้าสามารถสร้างค่ายกลคลื่นเสียงได้ไหม?” มู่เฉินถามขณะที่มองไปที่หลิงซี
ค่ายกลส่วนใหญ่ในคลังแสงของเขาเป็นประเภทโจมตี ดังนั้นประสิทธิภาพจึงขาดไป ทว่าหลิงซีไม่เหมือนกันตัวนางมุ่งเน้นไปที่ค่ายกลตั้งแต่เริ่มฝึก ดังนั้นพื้นฐานของนางในเรื่องนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่มู่เฉินสามารถเปรียบเทียบได้
หลิงซีพยักหน้า เรียวนิ้วแตะออกไป สัญลักษณ์หลิงยิ่งก็รวมเข้ากับสภาพแวดล้อมอย่างรวดเร็ว อึดใจค่ายกลงดงามก็ปรากฏที่เบื้องหน้าทุกคน
มีแสงสว่างปรากฏในค่ายกลราวกับกลอง
ตึง!
ขณะที่ค่ายกลหมุนคว้าง กลองก็สั่นสะเทือนราวกับฟ้าร้องดังขึ้นระหว่างฟ้าดิน ก่อนที่เสียงครางหึ่งๆ ของฝูงยุงจะถูกระงับจนหมด
ฮึ่ม ฮึ่ม!
เมื่อเสียงกลองกระจายออก ฝูงยุงก็โกลาหลไปหมด เหล่ายุงที่ไร้ความกลัวเมื่อครู่ก็หยุดชะงัก พวกมันเริ่มแตกฉานซ่านเซ็นไปอย่างรวดเร็ว
“ไป!”
มู่เฉินคว้าโอกาสทะยานออกไปทันที
ตึง ตึง!
ขณะที่เสียงกลองดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พวกเขาก็ทะยานผ่านทะเลยุงไป ไม่กี่นาทีต่อมาแสงสว่างก็เผยให้เห็นอีกครั้ง พวกเขาหลุดออกจากทะเลยุงได้ในที่สุด
เมื่อหันหน้ากลับไปมอง แต่ละคนก็เห็นฝูงยุงไม่มีที่สิ้นสุดกระจัดกระจายออกไป รูปลักษณ์ไม่ได้เป็นระเบียบอีกแล้ว
“มีคนควบคุมอยู่จริงด้วย” ใบหน้าของเวินชิงเฉวียนเย็นเยือกลงกับภาพที่เห็น
ดวงตาของมู่เฉินมองลงไปที่ป่า ก่อนที่จะหันไปทางทิศเหนือ เขารู้สึกถึงความผันผวนของพลังงานเบาบางอยู่ในทิศทางนั้น
ปัง!
ขณะที่มู่เฉินเพ่งสายตาไป ร่างเงานั่นก็ทะยานถอยไปในป่าพยายามหลบหนี
“คิดหนีเรอะ?!” สายตาของหลงเซี่ยงเฉียบคมขึ้น ขณะที่กระทืบฝ่าเท้าร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งออกไป
หลงเซี่ยงพุ่งเข้าไปในป่า ไม่นานความผันผวนของคลื่นพลังงานรุนแรงก็ระเบิดขึ้น ผ่านไปหลายสิบอึดใจ หลงเซี่ยงก็ลากร่างเงาสีเทาที่ดูปวกเปียกกลับมา แต่ดูท่าอีกฝ่ายสิ้นชีพไปแล้ว
“ชายคนนี้โหดเหี้ยมจริงๆ ตอนที่มันถูกข้าจับ มันก็เลือกฆ่าตัวตายด้วยพิษทันที” หลงเซี่ยงโยนศพออกไปพลางพูดด้วยความตกใจ
เห็นได้ชัดว่าการเลี้ยงดูนักรบเหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งที่ขั้วอำนาจธรรมดาสามารถทำได้
“นี่คือองครักษ์เงาของตระกูลหวู่”
เวินชิงเฉวียนระบุตัวตนได้ทันที สายตาเย็นชามองไปที่ส่วนลึกของเทือกเขา “ข้ารู้ว่าครั้งนี้ตระกูลหวู่ส่งใครมาแล้ว”
“ใคร?” เวินจื่อหยู่ถามทันควัน
“หวู่ทง” เวินชิงเฉวียนเค้นเสียงเย็นชา “องครักษ์เงาระดับนี้มีค่าอย่างยิ่งแม้แต่ในตระกูลหวู่และมีไม่กี่คนที่สามารถสั่งการพวกเขาได้ หวู่ทงเป็นหนึ่งในนั้น”
“ไอ้เจ้านั่นเหรอ?!” ใบหน้าของเวินจื่อหยู่เปลี่ยนไปพร้อมกับริ้วแห่งความกลัว ชัดว่าเขาคุ้นเคยกับชื่อนี้ดี
“หวู่ทงเป็นจอมยุทธ์โดดเด่นที่สุดในหมู่คนรุ่นใหม่ของตระกูลหวู่ มีข่าวลือว่าจะขึ้นเป็นประมุขตระกูลคนต่อไป ชายคนนี้มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม ฝึกขุมพลังมาหลายสิบปี ตอนนี้บรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว แม้แต่ในตระกูลหวู่ เขาก็ยังอยู่ในอันดับต้นๆ นอกจากนี้ยังโหดเหี้ยม ไม่ง่ายที่จะรับมืออย่างยิ่ง” เวินชิงเฉวียนเอี้ยวหน้ามาอธิบายให้กลุ่มมู่เฉินฟัง
ทว่ามู่เฉินก็ทำเพียงพยักหน้าแบบสบายๆ เขาไม่เคยได้ยินชื่อหวู่ทงมาก่อน แต่ไม่ว่าจะจัดการยากแค่ไหน เขาก็จะสู้เหมือนเดิม
“ดูเหมือนตระกูลหวู่จะมุ่งมั่นที่จะรับมรดกภูตผีเสื้อโอสถ…”
เวินชิงเฉวียนเม้มริมฝีปากเปล่งเสียงออกมาว่า “แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ง่ายที่จะคว้าไปจากมือข้าเวินชิงเฉวียน!”
“ไปกันเถอะเราต้องรีบไปถึงขุมทรัพย์โดยเร็วที่สุด!”
เมื่อพูดจบนางก็ทะยานออกไป มู่เฉินและคนอื่นๆ ติดตามมา ร่างกลายเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขาที่เต็มไปด้วยหมอกพิษ
หลังจากพวกเวินชิงเฉวียนไปแล้ว เงาต้นไม้หนึ่งในป่าไม้เบื้องล่างก็บิดตัวก่อนที่จะกลายเป็นร่างพร่ามัว
ร่างเงานี้ห่อหุ้มด้วยรัศมีชั่วร้าย เพียงแค่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ต้นไม้นั้นก็เน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว
มากจนแม้แต่คลื่นหลิงระหว่างฟ้าดินยังเคลื่อนไหวห่างจากบริเวณที่ร่างเงานี้อยู่
ดวงตาสีเทาคู่หนึ่งที่เปล่งประกายรัศมีแห่งความตายไม่มีที่สิ้นสุด มองไปในทิศทางของกลุ่มมู่เฉินก่อนจะหยิบโคลนกำหนึ่งยัดเข้าไปในปาก
ประกายแสงแปลกประหลาดวูบไหวในดวงตาสีเทา เสียงหัวเราะน่ากลัวระเบิดก้องป่า
“มีราชันปีศาจทิ้งร่างไว้ที่นี่จริงด้วย อร่อยเสียจริง…”
เขากระตุกยิ้มแปลกๆ จากนั้นก็หายเข้าไปในเงามืด
กลุ่มมู่เฉินเดินทางผ่านป่าไปอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงอันตรายของหมอกพิษในภูมิภาคนี้ว่าเป็นอย่างไร
หลังจากผ่านฝูงยุงมา พวกเขาก็เจอการโจมตีจากสัตว์พิษหลายสิบชนิด แต่ละชนิดก็เจ้าเล่ห์มาก ถ้าไม่ใช่ความจริงที่ว่าพวกเขาตั้งระวังมาตลอด งานนี้ต้องมีคนได้รับบาดเจ็บแล้วแน่
แต่โชคดีที่หลังจากประสบกับอันตรายทั้งปวง ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงส่วนลึกของภูเขา
“ที่นั่นคือเป้าหมายของเราในครั้งนี้ขุมทรัพย์ภูตผีเสื้อโอสถ!”
เวินชิงเฉวียนชี้ไปที่ภูเขาที่อยู่ระยะไกล ซึ่งดูเหมือนว่าจะถูกละลายและก่อตัวเป็นถ้ำขนาดใหญ่ขึ้น
ถ้ำนี้มีรูปทรงเป็นผีเสื้อ นอกจากนี้ยังมีสีห้าสีที่แตกต่างกันพวยพุ่งออกมา เห็นได้ชัดว่านี่เป็นพื้นที่เพาะบ่มพลังที่ยอดเยี่ยมนัก
“หากที่นี่ไม่ได้อยู่ในแดนเซิ่งยวนโบราณ นี่จะเป็นสถานที่ที่ดีในการจัดตั้งสำนัก”
มู่เฉินมองไปที่ถ้ำ อดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจ ด้วยพื้นที่ที่ทรงคุณค่าบวกกับการป้องกันของหมอกพิษ นี่เป็นพื้นที่ที่เหมาะสมในการเพาะบ่มขุมพลังอย่างแท้จริง
ลั่วหลีและเวินชิงเฉวียนพยักหน้าเห็นด้วย
“ในเมื่อเป้าหมายอยู่ตรงหน้าแล้ว เตรียมให้พร้อมที่จะเคลื่อนไหว”
เวินชิงเฉวียนถอนสายตาพลางมองไปที่กลุ่มมู่เฉิน เมื่อรอการตอบรับจากทุกคนจนครบ นางก็พยักหน้ากลายเป็นร่างแสงพุ่งเข้าไปในถ้ำขนาดใหญ่
เมื่อเข้าไปในถ้ำมู่เฉินและคนอื่นๆ ก็ตระหนักว่าแสงที่นี่สว่างไสวยิ่งกว่าภายนอกมาก ถ้ำแห่งนี้ยังมีพื้นที่กว้างขวางมาก โดยมีอุโมงค์กระจายตัวอยู่ในส่วนลึกของถ้ำ
ทว่าทุกคนก็ไม่ได้แยกตัวจากกัน พวกเขากำหนดเส้นทางก่อนที่จะเคลื่อนลึกเข้าไปด้วยกัน
เส้นทางนี้มืดมิด เมื่อพวกเขาเดินทางเป็นเวลาสิบกว่านาที ที่ปลายอุโมงค์ก็ฉายภาพตำหนักหินในครรลองสายตา
สิ่งแรกที่ดึงดูดความสนใจของทุกคนก็คือสัตว์อสูรหินสิบตัวซึ่งคอยปกปักเส้นทางราวกับผู้พิทักษ์
มู่เฉินและคนที่เหลือหยุดเดินหลังจากเห็นสัตว์อสูรทั้งสิบตัว แม้ว่าสัตว์อสูรหินเหล่านั้นจะไม่มีความผันผวนของพลังงาน แต่พวกเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงความพิเศษ
และก็เป็นตามที่พวกเขาเดาไว้ เมื่อพวกเขาหยุดการเคลื่อนไหวสัตว์อสูรหินก็ค่อยๆ เปิดดวงตา แสงระยิบระยับพลุ่งพล่านในดวงตา
โฮก!
เสียงคำรามดังก้องราวกับฟ้าร้องสะท้อนกังวานไปทั่วตำหนักหิน กวนตัวเป็นลมพายุออกมา
“นี่มัน…อสูรโอสถ?!”
เวินชิงเฉวียนร้องอุทาน สายตาของนางหรี่ลงเมื่อเห็นรูปปั้นหินเหล่านั้น
“อสูรโอสถ?” มู่เฉินอึ้งไป เขาไม่คุ้นเคยกับสิ่งนี้อย่างชัดเจน
“พวกมันเป็นหุ่นเงาชนิดหนึ่ง แต่สิ่งที่สั่งการการเคลื่อนไหวไม่ใช่คลื่นหลิง เป็นเม็ดยาที่เปลี่ยนเป็นดวงตาของพวกมัน!” เวินชิงเฉวียนตอบ
เมื่อนางอธิบายให้ฟัง มู่เฉินก็ได้สติ เมื่อมองให้ละเอียด ก็พบว่าดวงตาของรูปปั้นอสูรนี้เปล่งประกายแวววาว
“ดูอสูรโอสถตัวตรงกลาง!” เสียงอุทานของเวินชิงเฉวียนดังขึ้นกะทันหัน
ทุกคนกวาดสายตาไปก็เห็นอสูรหินขนาดใหญ่ที่ดูราวกับมังกร ดวงตาของมันกะพริบด้วยแสงตกผลึกพร้อมกับความผันผวนที่แปลกประหลาดเล็ดลอดออกมา
“อสูรโอสถตัวนี้ทรงพลังมาก!”
มู่เฉินตกตะลึงจากแรงกดดันที่มาจากอสูรหิน เพราะมันเทียบเท่ากับระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแท้จริง!
“พลังของอสูรโอสถเหล่านี้ขึ้นอยู่กับระดับของเม็ดยา…”
เวินชิงเฉวียนมองไปที่ดวงตาของอสูรหินก่อนที่จะเม้มปากยิ้ม “ถ้าข้าเดาไม่ได้เดาผิด เม็ดยาที่อยู่ในดวงตาของอสูรโอสถตัวนี้น่าจะเป็นของที่เวินจื่อหยู่กับหลงเซี่ยงอยากได้…”
เวินจื่อหยู่และหลงเซี่ยงหดตาลง จากนั้นก็ร้องอุทานพร้อมกัน
“ดวงตามันคือเม็ดยาเซิ่งหลิงเรอะ?!”