มู่เฉินนั่งเงียบๆ ภายในเจดีย์แตกหัก
ก่อนที่ดวงตาจะเบิกโพลงพร้อมกับผลึกแสงเข้มข้นพุ่งออกมา เจดีย์โปร่งใส่ก็บินออกไป
ฮึ่ม
เจดีย์พุทธะหมุนคว้างที่เบื้องหน้ามู่เฉินขณะที่ขยายตัว จากนั้นก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้าห่อหุ้มมู่เฉินและฝูถูไว้ภายใน
ขณะที่เกลียวผลึกแสงกระจายออกไปในเจดีย์ มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นจ้องมองไปที่ผนังของเจดีย์ ยามนี้มีภาพร่างเงาแปดภาพบนผนังของเจดีย์
ภาพทั้งแปดดูน่ากลัวและปลดปล่อยรัศมีชั่วร้าย แม้แต่คนธรรมดาที่มองก็จะถูกยึดครองจิตใจโดยรัศมีนี้
ทว่าเมื่อมู่เฉินมองไปที่ภาพที่น่ากลัวเหล่านั้น ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความสุข
“นี่หรือวิชาเจดีย์แปดองค์?” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง ตอนนี้เขายังไม่อยากจะเชื่อ เพราะนี่เป็นหนึ่งในวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าแห่งมหาพันภพ
ไม่ต้องพูดถึงระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มกระทั่งระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็จะถูกดึงดูดด้วยทักษะเทพเหล่านี้
มองไปที่ภาพน่ากลัวทั้งแปดบนผนัง จิตใจมู่เฉินก็กระเพื่อม เกลียวแสงหลิงพรั่งพรูออกมาจากภาพ จากนั้นภาพทั้งแปดก็ทะยานออกจากผนัง ก่อนที่จะควบแน่นลอยอยู่บนท้องฟ้าปลดปล่อยพลังอันน่าสะพรึงกลัวออกมา
“พลังนี้”
รอยยิ้มผุดขึ้นบนริมฝีปากของมู่เฉิน ตามการคาดการณ์ถ้าเขาปะทะซือเทียนโยวอีกครั้ง ตราบใดที่สามารถดักจับซือเทียนโยวเข้ามาในเจดีย์พุทธะได้ มันจะต้องตายคาที่ทันทีที่วิชาเจดีย์แปดองค์เปิดใช้งาน สำหรับเฉวียนหลัวและมั่วซิน พวกเขายิ่งไม่มีคุณสมบัติที่จะต้านทานภายในเจดีย์ได้
พลังของผู้พิทักษ์ทั้งแปดสามารถปราบปรามจอมยุทธ์ที่อยู่ใต้ระดับเทียนจื้อจุนได้ทั้งหมด
ตอนนี้มู่เฉินครอบครองสองวิชาระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานที่ทรงพลังที่สุดในโลก ดังนั้นความสามารถในการต่อสู้ของเขา ถือได้ว่าเป็นหนึ่งของจอมยุทธ์ที่อยู่ต่ำกว่าระดับเทียนจื้อจุน!
“สมเป็นเจดีย์พุทธะแท้จริง ความเทพนี้ไม่มีใครเทียบได้ ไม่อย่างนั้นข้ากลัวว่าเจ้าจะควบคุมพวกมันได้ไม่ง่าย” ฝูถูคลี่ยิ้มจากด้านข้าง
องค์ประกอบที่ใช้สำหรับเจดีย์แปดองค์เป็นราชันปีศาจแท้จริงที่มีความดุร้ายอย่างไม่น่าเชื่อ หากไม่ใช่เพราะมู่เฉินมีเจดีย์พุทธะซึ่งความชั่วร้ายแปดเปื้อนไม่ได้บวกกับความสามารถในการผนึก เขาอาจต้องใช้เวลาหลายปีในการบำรุงรักษาแกนเจดีย์ ก่อนที่เขาจะสามารถประทับลงในเจดีย์ของตนเองได้
มู่เฉินพยักหน้า ขณะที่เปิดใช้เจดีย์แปดองค์ เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังดุร้าย หากไม่ใช่เพราะเจดีย์พุทธะควบคุมไว้ละก็ เขาคงทุกข์ทรมานเอง
เห็นได้ชัดว่าต่อให้จอมยุทธ์ธรรมดาจะได้รับวิชาเทพเช่นนี้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถฝึกฝนได้ หากฝืนทำก็อาจนำหายนะมาสู่ตัวเองแทน
“ขอบคุณผู้อาวุโส!” มู่เฉินมองไปที่ฝูถูกล่าวด้วยความจริงใจ หากไม่เป็นเพราะความชื่นชมที่อีกฝ่ายมีให้ เขาคงไม่มีชะตาต้องกันกับวิชาเจดีย์แปดองค์แน่นอน
ฝูถูส่ายหัวยิ้มพร้อมกับหรี่ตา “ข้าต้องขอบคุณเจ้าที่สามารถรับช่วงวิชาต่อไปได้”
มู่เฉินยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรมากความ ทว่าเขาให้ความเคารพฝูถูอย่างสุดซึ้งในหัวใจ
“ใช่แล้ว ผู้อาวุโสตอนนี้เจดีย์สี่ชั้นเป็นยังไงบ้าง?” มู่เฉินนึกถึงลั่วหลีจึงรีบถาม
“นอกจากชั้นตาเฒ่าเชียงที่ล้มเหลว ชั้นอื่นๆ ยังคงตั้งมั่นไว้เป็นอย่างดี ตอนนี้เจดีย์สี่เทวะมีเสถียรภาพ เศษวิญญาณจอมปีศาจระดับเทียนที่หลุดจากชั้นตาเฒ่าเชียงก็ไม่สามารถหลบหนีได้ อีกไม่ช้ามันจะถูกลบล้างโดยพลังงานของเจดีย์” ฝูถูยิ้ม ดูเหมือนว่าวิกฤตครั้งนี้ได้รับการแก้ไขแล้ว
มู่เฉินรู้สึกโล่งใจกับเรื่องนี้ นั่นหมายความว่าชั้นที่ลั่วหลีไปก็ได้รับชัยชนะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าวิชาช่องแสงวิญญาณจะตกอยู่ในมือของลั่วหลีหรือไม่
ขณะที่ความคิดวนเวียนอยู่ในใจของมู่เฉิน ฝูถูก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่เจดีย์ผุผัง หลังจากเงียบไปชั่วครู่เขาก็ยิ้ม “ยังมีพลังงานหลงเหลืออยู่ในเจดีย์นี้ ข้าจะขอมอบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้กับเจ้า”
พูดจบฝูถูก็โบกมือ แสงหลิงพร่างพราวรวมตัวกันในเจดีย์ นั่นเป็นแสงหลิงที่แท้จริง เกิดจากการควบแน่นของคลื่นหลิง
ฮึ่ม
แสงหลิงแล่นลงมา เมื่อสัมผัสกับกระหม่อมของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นคลื่นหลิงเทลงในร่างกายของมู่เฉินโดยตรง
เมื่อคลื่นหลิงปรากฏขึ้น มู่เฉินก็รู้ถึงความตั้งใจของฝูถู อีกฝ่ายพยายามที่จะเทพลังงานที่เหลืออยู่ของเจดีย์ตนเองลงในร่างกายของเขา เพื่อเพิ่มพลังในการเพาะบ่มขุมพลังของเขาอีกเล็กน้อย
ขณะที่แสงหลิงเข้ามาในร่างกาย เจดีย์ที่ผุผังก็จางลงอย่างรวดเร็ว
ร่างกายของมู่เฉินเปล่งแสงคล้ายกับอัญมณีใส ผิวกายของเขาเปลี่ยนเป็นแวววาวจากพลังงานที่ไร้ขอบเขต
ยิ่งกว่านั้นเลือดเนื้อของเขายังเริ่มมีกลิ่นหอมแทรกอยู่
นั่นมาจากการที่สิ่งสกปรกในร่างกายถูกล้างออก ทำให้กลิ่นหอมไม่มีการปนเปื้อนใดๆ
การขจัดคราบของแสงหลิงดำเนินไปไม่รู้เท่าไร มู่เฉินลืมตาขึ้นอีกครั้ง ตระหนักได้ว่าเจดีย์หรุบหรู่ลงพร้อมกับรอยแตกคืบคลานไปบนผนัง
เงาร่างฝูถูก็เริ่มจางหายไปชัดว่าพลังงานกำลังหมดลง
มู่เฉินรู้สึกได้ถึงแสงแวววาวจากผิว คลื่นหลิงทรงพลังไหลเวียนผ่านเส้นเลือด
“เสมือนระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม…”
มู่เฉินสัมผัสได้และรับรู้สภาพปัจจุบันของตน แม้ว่าจะไม่ได้บรรลุขั้นเต็ม แต่นี่กลับทำให้เขารู้สึกโล่งใจ
“ข้าใช้พลังงานที่เหลืออยู่เพื่อปรับแต่งร่างกายเจ้า คลื่นหลิงที่เหลืออยู่ก็ช่วยยกการเพาะบ่มเข้าสู่ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ไม่ได้ช่วยให้เจ้าผ่านไป”
ฝูถูยิ้ม “ข้ารู้ถึงความทะเยอทะยานของเจ้า ในอนาคตเจ้าอาจก้าวข้ามข้าคนนี้ไปได้ แล้วข้าจะบังคับให้เจ้าเติบโตละทิ้งอันตรายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังได้อย่างไร?”
มู่เฉินเกาหัวแกรกกรากพลางยิ้มเก้อ
เขากังวลอยู่บ้างว่าฝูถูจะช่วยเขาบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มด้วยความพอใจ หากเป็นเช่นนั้นบางทีเขาอาจจะได้รับพลังยิ่งใหญ่ตอนนี้ แต่ก็ไม่ใช่ผลดีในระยะยาว
เส้นทางยอดยุทธ์ผู้ฝึกจะต้องก้าวไปทีละก้าว…ทีละก้าว มู่เฉินมีพรสวรรค์และความเร็วในการฝึกฝนก็ไม่ได้ช้าเลย ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการการเพิ่มความแข็งแกร่งในรูปแบบนี้ สิ่งที่เขาต้องการคือให้การฝึกฝนเติบโตขึ้นอย่างราบรื่น
ด้วยรากฐานที่มั่นคง เขาจะมีโอกาสได้เข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน… หรือแม้กระทั่งระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งในตำนาน
‘ถ้าเป็นขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแบบนี้ รอให้ข้าได้ฝึกฝนอีกสักหน่อย ก็จะสามารถนำเม็ดยาเซิ่งหวาทะลวงเข้าไปอย่างสมบูรณ์แบบ’ มู่เฉินครุ่นคิดในใจ
“เอาล่ะ ตาแก่คนนี้มอบทุกอย่างให้เจ้าแล้ว” ฝูถูปัดมือพร้อมกันหยอกล้อ หลังจากที่มู่เฉินได้สติ
มู่เฉินยืนขึ้นโค้งคำนับด้วยมารยาทสูงสุดต่อท่านบรรพบุรุษ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาท่านบรรพบุรุษผู้นี้เป็นเพียงคนเดียวในเผ่าฝูถูที่เขาให้เคารพนับถืออย่างจริงใจ
ทว่าฝูถูไม่ได้ถ่อมตัวกับมู่เฉินเลย แต่รับการคำนับจากมู่เฉิน ในแง่ของสายเลือดเขาถือได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของมู่เฉินเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงสามารถรับการคำนับจากอีกฝ่ายได้ตามธรรมชาติ
“มู่เฉิน”
“ขอรับ” มู่เฉินตอบอย่างสุภาพ
ฝูถูจ้องมองเขาอยู่นานก่อนที่จะเอ่ยเน้นย้ำชัดๆ ว่า “ไม่ว่าเจ้าจะมีความแค้นเคืองอะไรกับเผ่าฝูถู สายเลือดก็ยังไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ข้าหวังว่าเจ้าจะให้คำมั่นได้ว่าในอนาคตหากเผ่าฝูถูพบกับอันตรายจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เจ้าจะช่วยพวกเขาสักครั้ง”
มู่เฉินอึ้งไป เนื่องจากตอนนี้เขาเป็นเพียงจอมยุทธ์เสมือนระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น ต่อหน้าเผ่าฝูถูเขาราวกับมดตัวน้อย แต่ท่านบรรพบุรุษกลับพูดประโยคดังกล่าวกับเขา
อารมณ์ซับซ้อนผุดขึ้นในใจ เขามองไปที่นัยน์ตาของชายชราที่มีความคาดหวัง สุดท้ายก็พยักหน้าเบาๆ
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินสัญญา ฝูถูก็คลี่รอยยิ้มโล่งใจบนใบหน้า ร่างกายของเขาเริ่มกลับกลายเป็นภาพลวงตา ก้อนหินน้อยใหญ่ร่วงกราวลงมาจากเจดีย์อย่างต่อเนื่อง ชัดว่าใกล้จะถล่มลงแล้ว
“ข้าจะส่งเจ้าออกไป…สำหรับภารกิจปกป้องเจดีย์สี่เทวะเหล่าลูกหลานทำได้ดีมาก” ฝูถูโบกมือ ลำแสงหลิงห่อหุ้มร่างมู่เฉิน มิติบิดเบี้ยวกลืนเขาเข้าไปทันที
ครืนๆๆๆ
พร้อมกับการจากไปของมู่เฉิน เจดีย์ยุบตัวลงก้อนหินกระแทกลงบนพื้น เจดีย์แห่งนี้ครั้งหนึ่งเคยสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วมหาพันภพ บัดนี้เหลือเพียงกรวดหินไว้เท่านั้น
ขณะที่ริ้วแสงหายไป
ความโกลาหลก็กึกก้องไปทั่วสภาพแวดล้อม เมื่อกวาดสายตามองไปรอบๆ เขาก็เห็นว่าตอนนี้ตัวเองออกมาจากเจดีย์สี่เทวะแล้ว
นอกจากนี้ยังมีคนจำนวนมากรอบตัวเขาที่ถูกส่งออกมาจากเจดีย์ด้วยเช่นกัน
“มู่เฉิน!”
เสียงกระจ่างใสดังขึ้น ทำให้มู่เฉินเงยหน้าขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม เมื่อเขาเห็นพวกเวินชิงเฉวียนและลั่วหลีเข้ามาในทิศทางของเขา
“เป็นยังไงบ้าง?” มู่เฉินมองไปที่ลั่วหลีขณะที่ถามด้วยความกังวล
“ไม่ทำให้ผิดหวังหรอกน่า” ลั่วหลียิ้มอ่อนโยน รูปลักษณ์ของนางเช่นนี้ทำให้มู่เฉินผงะไป
“แล้วเจ้าล่ะ?”
มู่เฉินยื่นมือออกไปจับมือลั่วหลีพลางยิ้มกว้าง “เราคือผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในครั้งนี้”
เฉวียนลั่วและมั่วซินมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตามืดมน ก่อนที่จะแลกเปลี่ยนสายตาพลางพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงที่น่าขนลุก “ผู้ชนะเหรอ? ค่อยพูดเรื่องนี้หลังจากแกเอาชีวิตรอดออกจากแดนเซิ่งยวนไปได้ก่อนเถอะ!”
พูดจบชิ้นหยกก็ปรากฏขึ้นบนมือ พวกเขาบดขยี้ลงไปแสงหลิงพุ่งออกมา ปกคลุมร่างทั้งสองคนก่อนที่พวกเขาจะหายไปอย่างรวดเร็ว