เมื่อภารกิจเจดีย์สี่เทวะสิ้นสุดลง
การเดินทางของจอมยุทธ์ในแดนเซิ่งยวนโบราณก็ปิดฉากลงด้วย ผู้คนเริ่มทยอยออกไป ทว่าก็ยังมีบางคนที่ยังไม่ได้ไปไหนแต่พยายามใช้ช่วงเวลาสุดท้ายเพื่อค้นหารอบๆ และดูว่าตนเองจะได้พบกับโชคลาภบ้างหรือไม่
สำหรับพวกมู่เฉินซึ่งได้รับการเก็บเกี่ยวมหาศาล พวกเขาไม่ได้อยู่ในแดนเซิ่งยวนโบราณต่อ พวกเขาบดขยี้เครื่องรางออกจากแดนนี้ไป
ที่มุมหนึ่งของแดนเซิ่งยวน
มิติบิดเบี้ยว เงาร่างหลายร่างปรากฏขึ้น แต่ละคนเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดมิดก็รู้สึกโล่งใจ แดนเซิ่งยวนโบราณราวกับคุกที่ทำให้พวกเขารู้สึกกดดันขณะที่อยู่ภายใน
“ไปที่เมืองเซิ่งยวนกันก่อนเถอะ” มู่เฉินโบกมือเซียนชื่อเหยียนคงรอฟังข่าวดีจากลั่วหลีอยู่แน่
ทุกคนพยักหน้า เมื่อเทียบกับแดนเซิ่งยวนโบราณซึ่งเต็มไปด้วยอันตราย การอยู่ในเมืองเซิ่งยวนทำให้พวกเขารู้สึกผ่อนคลายมากกว่า
จากนั้นทุกคนก็ระเบิดความเร็วจากไป พวกเขาเดินทางต่อไปอีกหลายชั่วโมงก่อนที่ท้องฟ้าจะสว่างขึ้น มองเห็นโครงร่างเมืองใหญ่ทีละน้อย
ฟิ้ว ฟิ้ว!
ริ้วแสงมากมายพุ่งมาจากทุกทิศทุกทาง ก่อนที่จะมาหยุดตรงประตูเมือง ทั้งเมืองคึกคักด้วยความมีชีวิตชีวา
ความมีชีวิตชีวานี้เป็นภาพแบ่งชัดเจนกับแดนเซิ่งยวนโบราณที่รกร้างและมีแต่ซากปรักหักพัง ภาพนี้ทำให้กลุ่มของมู่เฉินผ่อนคลายลงหลายส่วน
เมื่อแลกเปลี่ยนสายตากันพวกเขาก็ยิ้มก่อนจะกลายเป็นร่างแสงพลิ้วลงที่ประตูเมือง จากนั้นก็เข้าไปในเมืองทันที
เมืองยังคงครึกครื้นเหมือนเคย มีผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา ทว่ามู่เฉินสัมผัสได้ว่ามีความแปลกประหลาดเนื่องจากผู้คนต่างเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางหนึ่งด้วยสายตาซับซ้อน
ดังนั้นกลุ่มของมู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นอย่างสงสัย เมื่อพวกเขามองไปที่ศิลาสังหารปีศาจที่ยืนอยู่ใจกลางเมือง ฝีเท้าของพวกเขาก็หยุดชะงักเมื่อเห็นด้านบนนั่น แม้แต่สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป
“นั่นอะไร?” หลงเซี่ยงขยี้ตา ดูเหมือนเขาจะเห็นชื่อราชันสังหารปีศาจสองคนและหนึ่งในนั้นก็คือมู่เฉิน
เวินชิงเฉวียน เวินซื่อหยู่และคนอื่นๆ ก็ฉายความตกตะลึงบนใบหน้า ครู่หนึ่งต่อมาพวกเขาก็หันขวับไปทางมู่เฉิน “เจ้าอย่าบอกพวกข้านะว่าเจ้าคือมู่เฉินบนนั้นน่ะ?”
พวกเขารู้ชัดเจนว่าราชันสังหารปีศาจเป็นตัวแทนของอะไร นั่นคือการดำรงอยู่บนยอดพีระมิดในวังมหาพันภพ ซึ่งสูงกว่าพวกแขกและผู้อาวุโสด้วยซ้ำ
เผชิญหน้ากับราชันสังหารปีศาจ แม้แต่ตระกูลเวินยังต้องรักษามารยาทและความเคารพ
สายตาของลั่วหลีก็มองไปที่มู่เฉินด้วยความสงสัยเช่นกัน มู่เฉินได้ป้ายสังหารปีศาจพร้อมกันกับนาง แต่ตอนนี้ตัวนางยังคงเป็นมือสังหารปีศาจขั้นต่ำอยู่เลย แล้วจู่ๆ มู่เฉินกระโดดขึ้นสู่อันดับที่น่ากลัวของราชันสังหารปีศาจได้อย่างไร?
มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะลูบใบหน้า ขณะยิ้มอย่างขมขื่นก่อนจะเล่ารายละเอียดว่าเขาดูดซับวิญญาณจอมปีศาจเทียนเสี่ยเจียงเข้าไปในป้ายได้อย่างไร
เมื่อทุกคนได้ยินก็ตกตะลึงไป ก่อนจะอดอุทานออกมาไม่ได้ “นี่ก็ได้เหรอ?”
มู่เฉินยักไหล่ “ดูจากภาพตอนนี้เหมือนจะได้นะ”
เวินชิงเฉวียนและคนที่เหลือแลกเปลี่ยนสายตากัน แม้ว่าวิธีของมู่เฉินคือกลโกง แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเลียนแบบสิ่งที่เขาทำได้ เหมือนกับที่มีเศษวิญญาณของจอมปีศาจระดับเทียนอยู่สี่คน แต่ก็มีเพียงมู่เฉินเท่านั้นที่ทำได้
แต่…ขุมพลังของมู่เฉินตอนนี้อ่อนแอเกินไปจริงๆ
“เจ้าทำลายประวัติศาสตร์ของวังมหาพันภพ… ไม่เคยมีราชันสังหารปีศาจที่ต๊อกต๋อยขนาดนี้มาก่อนเลย” เวินชิงเฉวียนแซว
มู่เฉินยังยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ตอนนั้นเขาแค่ลองดูว่าจะได้ผลหรือไม่ เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะมีผลเช่นนี้จริงๆ
“ก็ต้องดูว่าทางวังมหาพันภพจะยอมรับเรื่องนี้หรือไม่” ลั่วหลีกล่าว
ทุกคนพยักหน้า หากทางวังมหาพันภพไม่ยอมรับเรื่องนี้ ชื่อของมู่เฉินในฐานะราชันสังหารปีศาจก็น่าจะถูกปลดออก
ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มาก ตอนแรกเขาก็แค่จะลองดู หากวังมหาพันภพไม่ยอมรับ เขาก็ไม่ได้ลำบากอะไร
ขณะที่ทุกคนพูดคุยกัน พวกเขาก็มาถึงตำหนักหมื่นพันแล้ว
ที่ตำหนักยังคงคึกคักกันเช่นเคย แต่มู่เฉินก็ได้ยินเสียงลอยเข้าหูเกี่ยวกับหัวข้อราชันสังหารปีศาจคนใหม่อยู่ตลอด
นั่นทำให้เขาส่ายหน้าจนใจ เขาไม่เคยคิดว่าความอยากรู้อยากเห็นของตนเองจะทำให้เกิดความโกลาหลเช่นนี้ คงจะต้องมีมือสังหารปีศาจมากมายอยากเห็นว่าเขาที่เป็นราชันสังหารปีศาจคนใหม่จะเป็นสัตว์ประหลาดแบบใด
“ฮ่าฮ่านี่ไม่ใช่ราชันสังหารปีศาจคนใหม่ของเราเหรอ!”
ขณะที่มู่เฉินตั้งใจเข้าไปเงียบๆ เสียงหัวเราะเยาะเย้ยก็ดังออกมา ทำให้ทั้งตำหนักเงียบลง สายตามากมายมารวมตัวกันที่มู่เฉิน
“เขาคือราชันสังหารปีศาจคนใหม่—มู่เฉินเหรอ?!”
“แต่…ทำไมเขาถึงเป็นแค่จอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น?!”
“เขากลายเป็นราชันสังหารปีศาจได้ยังไง?”
“…”
ความเงียบสงบกินเวลาชั่วครู่ ก่อนที่ทั้งตำหนักจะเข้าสู่ความโกลาหล สายตานับไม่ถ้วนรวมตัวกันที่มู่เฉิน พวกเขาทั้งหมดสงสัยว่าชื่อของเขาในฐานะราชันสังหารปีศาจเป็นของจริงหรือไม่
ทันทีที่กลายเป็นจุดรวมสายตา มู่เฉินก็เหลือบมองไปที่ชื่อเหยียนที่ยิ้มขี้เล่นแบบกวนๆ จากนั้นเขาก็นำลั่วหลีและคนที่เหลือเดินไปหาถามอย่างไม่เกรงใจว่า “ท่านยังอยากได้วิชาช่องแสงวิญญาณโบราณรึเปล่า?”
ดวงตาของชื่อเหยี่ยนสว่างวาบก่อนที่จะมองลั่วหลีด้วยความสุขบนใบหน้า “เจ้าทำสำเร็จจริงๆ รึ?”
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าลั่วหลีมีโอกาสดีที่จะประสบความสำเร็จ แต่เมื่อเป็นจริงใบหน้าของชื่อเหยียนก็เต็มไปด้วยความสุข
ลั่วหลีไม่ตอบกลับ แต่มองไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้ม
“ดีมาก เจ้าเด็กบ้าสองคน คิดจะกลั่นแกล้งตาแก่คนนี้เรอะ” เมื่อเห็นสายตาลั่วหลีที่ต้องการช่วยเหลือมู่เฉิน ชื่อเหยียนก็ควันออกหู ก่อนที่เขาจะหันกลับมาตะโกนลั่น “พวกเจ้าทุกคนหุบปาก!”
เมื่อร่องรอยแรงกดดันของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเล็ดลอดออกมา ทั้งตำหนักก็เงียบเสียงลง ไม่ว่าพวกเขาจะยโสโอหังแค่ไหน พวกเขาก็ต้องหดหัวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับระดับเทียนจื้อจุน
หลังจากระงับความวุ่นวาย ชื่อเยียนก็ถูมือพลางหัวเราะเบาๆ ไปทางลั่วหลี
เมื่อเห็นการตอบสนองของเขา ลั่วหลีก็ยิ้มขณะพยักหน้า “ข้าไม่ทำให้ผิดหวัง โชคดีได้รับมรดกของท่านบรรพบุรุษไท่หลิงมา”
ฮา
ชื่อเหยียนเหมือนยกภูเขาออกจากอก เผ่าไท่หลิงคลุมเครือกับเรื่องนี้มาหลายปี ในที่สุดก็ได้รับการแก้ไข
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ พวกเราก็ไปกันเถอะ ลั่วหลีตามข้าไปยังเผ่าไท่หลิง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้าคือธิดาเทพคนใหม่!” ชื่อเหยียนโบกมือขณะที่พูด
เมื่อเห็นว่าชื่อเหยียนต้องการพานางไปที่เผ่าไท่หลิง นั่นไม่ได้หมายความว่านางต้องแยกกับมู่เฉินอีกครั้งเหรอ? เรื่องนี้ทำให้ลั่วหลีตกตะลึงไปช่วงสั้นๆ ขณะที่นางกำลังจะพูดเสียงหัวเราะเยือกเย็นก็ดังออกมาจากภายในตำหนัก
“ต้องการออกไปเหรอ? จะง่ายขนาดนั้นได้ยังไง?!”
สายตาทุกคู่จ้องไปที่ต้นเสียงก็เห็นกลุ่มคนย่างสามขุมเข้ามาพร้อมกับรัศมีดุร้าย โดยมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสองคนนำหน้า ซึ่งก็คือเฮยกวางและมั่วหยิงนั่นเอง
ที่ด้านหลังเฉวียนหลัวและมั่วซินก็ตามมา พร้อมกับที่จ้องมองมู่เฉินด้วยสายตาอาฆาตที่น่ากลัว
สายตาของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสองก็จับจ้องไปที่มู่เฉิน ขณะพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ปล่อยแรงกดดันซึ่งทำให้มู่เฉินรู้สึกหนักหน่วงออกมา
สายตาของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นเย็นชาเมื่อมองไปที่เฉวียนหลัวและมั่วซิน เห็นได้ว่านี่เป็นแผนของไอ้วายร้ายสองคนคิดขึ้นมา
“เฮ้ ไอ้แก่หน้าด้านสองคนคิดรังแกเด็กเหรอ?” ร่างสูงวัยปราดมาที่เบื้องหน้ามู่เฉิน ต่อต้านแรงกดดันที่มาจากเฮยกวางและมั่วหยิง
นี่เป็นใครไม่ได้ขอกจากชื่อเหยียน
“ชื่อเหยียนเรื่องนี้เป็นเรื่องของเผ่าฝูถูไม่เกี่ยวกับแก!” เฮยกวางตะเบ็งเสียงใส่ด้วยสายตามืดมน
มั่วหยิงมองไปที่มู่เฉินอย่างน่าขนพองสยองเกล้าขณะที่แผดเสียงลั่น “ไอ้เด็กเวรส่งมอบวิชาเจดีย์แปดองค์มาให้ซะดีๆ ถ้ารู้ว่าอะไรดีสำหรับตัวเอง มิฉะนั้นวันนี้เราจะนำแกกลับไปที่เผ่าเพื่อรับโทษ!”
มู่เฉินเยาะเย้ย “พวกแกไม่มีปัญญาได้รับการยอมรับจากท่านบรรพบุรุษ จะโทษใครได้?”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นใบหน้าของเฉวียนหลัวและมั่วซินก็น่าเกลียดลงมาก
มั่วหยิงตอบด้วยเสียงเคร่งเครียด “ท่านบรรพบุรุษแค่ปลอบโยนเจ้าที่ฆ่าปีศาจ แต่วิชาเจดีย์แปดองค์ไม่ใช่สิ่งที่แกจะครอบครองได้!”
“มั่วหยิง แกหน้าหนามาก ถ้าบรรพบุรุษรู้เรื่องนี้เข้าละก็ เขาจะต้องกลับมาจากความตายเพราะความโกรธที่มีลูกหลานโง่เขลา” ชื่อเหยียนทอดถอนหายใจ
พอได้ยินคำถากถางของชื่อเหยียนเปลือกตาของมั่วหยิงก็กระตุกก่อนที่เขาจะมองไปที่อีกฝ่ายด้วยท่าทางมืดมน พูดช้า-ชัดว่า “ชื่อเหยียน แกคิดจะแส่เรื่องนี้ใช่ไหม?”
“มู่เฉินเป็นคนที่ข้าพามา ดังนั้นข้าไม่ปล่อยให้พวกแกพาเขาไปได้” ชื่อเหยียนหัวเราะเยาะขณะที่พูดโดยไม่มีความลังเลใดๆ หลังจากได้ยินน้ำเสียงของมั่วหยิง
มั่วหยิงและเฮยกวางสบตากัน แสงเย็นเยือกพล่านในดวงตา วันนี้พวกเขาต้องพามู่เฉินกลับไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม วิชาเจดีย์แปดองค์ตกอยู่ในกำมือของไอ้เด็กนี่ไม่ได้!
“ในเมื่อเป็นแบบนี้”
รัศมีเทียนจื้อจุนไม่ปกปิดอีกต่อไป ระเบิดออกฉับพลันทำให้ท้องฟ้าเมืองเซิ่งยวนมืดลง
แรงกดดันน่ากลัวแผ่ซ่านไปทั่ว
สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่ชื่อเหยียนราวกับกระบี่คมกริบ
“งั้นพวกข้าสองคนก็จะพาไอ้เด็กกาลกิณีนี่กลับไปให้ได้!”