ปัง!
ขณะที่บรรยากาศในที่ราบปั่นป่วน คลื่นหลิงรุนแรงก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ร่างสิบกว่าร่างก็ถูกพัดกระเด็นพร้อมกับกระอักเลือดออกมา ร่างร่วงหล่นลงสู่พื้น
“นั่นเป็นกลุ่มที่แปดแล้ว”
มู่เฉินมองไปที่คนน่าสมเพชอย่างไม่แยแส นับตั้งแต่พวกเขาก้าวเข้าสู่ที่ราบนี่เป็นกลุ่มที่แปดที่ขัดขวางพวกเขา
อันที่จริงแต่ละกลุ่มไม่ได้อ่อนแอ ทุกกลุ่มมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่ไม่ว่าจะจู่โจมอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถฝ่าการป้องกันของหลงเซี่ยง มั่นถัวหลัว หลิงซีและเจียงหลงได้
สำหรับจอมยุทธ์คนอื่นๆ ของตำหนักมู่ นอกจากกลุ่มหลิ่วเทียนเต้าที่มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย คนอื่นๆ ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร อยู่ที่นี่เพื่อให้ครบจำนวนเท่านั้น
ส่วนตัวมู่เฉินก็ยังไม่ได้ออกกระบวนท่าใดแม้แต่ครั้งเดียว
เห็นได้ชัดว่าการกีดขวางเหล่านั้นไม่เพียงพอสำหรับประมุขมู่ที่จะออกโรงด้วยตัวเอง
“ไอ้พวกแมลงวันนี่!” มั่นถัวหลัวกล่าวเสียงเย็นชา นางเริ่มรำคาญคนพวกนี้แล้ว
“พวกมันมาเป็นระลอกพยายามทำให้เราหมดแรง ทันทีที่รัศมีของเราอ่อนลงคนที่จับตามองเหล่านั้นก็อาจพุ่งใส่เรา” หลิงซีกล่าวเบาๆ
“งั้นก็ให้เข้ามาได้เลย แล้วมาดูกันว่าใครจะหัวเราะเป็นคนสุดท้าย” หลงเซี่ยงยิ้มน่าขนลุก คลื่นหลิงแปรปรวนรอบๆ ตัวเขา ซึ่งบางครั้งก่อตัวเป็นภาพมังกรพลายปล่อยพลังอันน่ากลัวสั่นสะเทือนมิติออกมา
เจียงหลงกอดอก ศัตรูเหล่านี้ไม่เข้าตาเขาสักคน เนื่องจากศัตรูที่เขาต่อสู้ในอดีตล้วนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน แม้ว่าจะเป็นเพราะกองทัพมังกรดำ แต่ยังไงก็ทำให้มุมมองกว้างขึ้น
“ตอนนี้เราถือได้ว่าอยู่ในส่วนลึกที่ราบเป่ยยู่แล้ว คนเหล่านี้ก็เริ่มหวาดกลัว” มู่เฉินยิ้มอ่อน เขารู้สึกได้ว่าการกีดขวางเริ่มลดลง เห็นได้ชัดว่าหลังจากความล้มเหลวมาแปดกลุ่ม จอมยุทธ์เหล่านี้ก็เริ่มสูญเสียขวัญกำลังใจ
“ตรงไปที่ใจกลางกันเถอะ” มู่เฉินยิ้มเอามือไพล่หลังมองอย่างสบายใจ ราวกับไม่เห็นสายตาที่จ้องมองมาเลย
ทว่าด้วยท่าทางไม่แยแสของมู่เฉิน ทำให้จอมยุทธ์ที่นี่รู้สึกหวาดกลัว พวกเขาไม่กล้าหาญชาญชัยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
จากการปะทะกันหลายครั้ง พวกเขาสามารถบอกได้ว่าแม้ความแข็งแกร่งโดยรวมของตำหนักมู่จะไม่ได้โดดเด่น แต่จอมยุทธ์ชั้นแนวหน้าของพวกเขากลับทรงพลังอย่างมาก
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มมีเพียงสี่คน แต่ไม่มีใครที่ปะทะได้ง่ายเลย แม้แต่ในระดับเดียวกันพวกเขาก็นับเป็นชนชั้นสูง
ตามการคาดการณ์อาจต้องใช้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอย่างน้อยแปดคนเพื่อหยุดยั้งทัพหน้าทั้งสี่เหล่านี้
นอกจากนี้… ยังไม่รวมถึงประมุขตำหนักมู่ที่ลึกล้ำยากหยั่งถึงได้
แม้ว่ามู่เฉินจะมีขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่ก็ไม่มีใครโง่ พวกเขาได้รับข่าวว่าประมุขอายุน้อยและลึกลับคนนี้ ทำให้ผู้อาวุโสสามคนของสำนักเมฆาสีม่วงถูกลดขั้นเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นไปเลยทีเดียว
วิธีดังกล่าวพูดได้ว่าผิดแผกนัก
“ตำหนักมู่ใช้ได้นะเนี่ย”
“พวกเขามีความสามารถจริง มิน่าล่ะถึงกล้ามาชิงตำแหน่งเจ้าเหนือหัว แต่ด่านที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาไม่ใช่คนเหล่านี้ แต่เป็นประมุขทั้งสามที่อยู่ในใจกลางที่ราบเป่ยยู่”
“ใช่ ทั้งสามเป็นจอมยุทธ์ที่ได้สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนแล้ว พลังของพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มธรรมดาจะเทียบได้ บางทีในสายตาของพวกเขาการต่อสู้ที่นี่เป็นเพียงการละเล่นเท่านั้น”
“น่าเสียดายที่สุดท้ายตำหนักมู่ก็ต้องล้มเหลว”
“…”
จอมยุทธ์หลายคนพูดคุยกัน ขณะที่พวกเขามองฝ่ายที่บุกรุกเข้ามา แม้ว่าตำหนักมู่จะสามารถล้มคนแปดกลุ่มลงได้ แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าพวกเขาจะประสบผลสำเร็จ
นั่นเป็นเพราะรากฐานของประมุขทั้งสามแห่งจักรวรรดิเหนือแข็งแกร่งเกินไป
ฟิ้ว!
สมาชิกตำหนักมู่เดินทางผ่านไปแม้ว่าจะไม่เร็วมาก แต่สิ่งที่กีดขวางเส้นทางของพวกเขาก็ต้องถอยกลับไปเหมือนกระแสน้ำลง
พวกเขาตระหนักได้ถึงช่องว่างระหว่างกันหลังจากได้เห็นความแข็งแกร่งของตำหนักมู่ ดังนั้นถ้าพวกเขาเสนอหน้าออกไปก็คงจบเห่เหมือนพวกที่โชคร้ายก่อนหน้าแน่
ดังนั้นสมาชิกตำหนักมู่จึงเข้าไปถึงใจกลางได้อย่างง่ายดายโดยไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ
เมื่อเข้ามาถึงที่นี่ มู่เฉินก็สัมผัสได้ว่าแม้ว่าคนจะลดลง แต่คุณภาพกลับเพิ่มขึ้น
เห็นได้ชัดว่าใครก็ตามที่มาอยู่ที่นี่ได้ค่อนข้างมีชื่อเสียงในจักรวรรดิเหนือ ดังนั้นพวกเขาจึงมีพลังที่แข็งแกร่งขึ้นตามธรรมชาติ
ทว่าท่าทางของมู่เฉินก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเพียงเพราะอีกฝ่ายแข็งแกร่งขึ้น เขาพาทุกคนตัดผ่านเข้าไปราวกับใบมีดคมกรีดตัด
แต่น่าแปลกที่ไม่มีใครเคลื่อนไหวขัดขวางปล่อยให้พวกเขาผ่านไป
เมื่อมั่นถัวหลัวเห็นภาพนี้ นางก็ไม่มีความสุข คิ้วขมวดแน่นเพราะนางรู้สึกได้ว่าคนเหล่านั้นกำลังมองมาที่พวกนางด้วยสายตาเยาะเย้ย
ราวกับว่ามีละครดีๆ รอพวกเขาอยู่
มั่นถัวหลัวหันไปมองมู่เฉิน ทว่าเขาก็ยังไม่มีอาการใดๆ เอามือไพล่หลังเดินไปข้างหน้าต่อ
ดังนั้นนางจึงไม่พูดมากความรีบเดินตามเขาไป
หลังจากเดินไปพักหนึ่ง จอมยุทธ์โดยรอบก็เริ่มล่าถอยเผยให้เห็นพื้นดินโล่งเตียน ที่มีคนเก้าคนมองมาที่พวกเขาอย่างเย็นชา
ทั้งเก้าปล่อยความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังซึ่งทำให้มิติสั่นสะเทือน
ทั้งเก้าคนนั้นเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มชั้นยอดกระทั่งในหมู่จอมยุทธ์ชั้นสูง! ช่างน่ากลัวอย่างแท้จริงกับรูปแบบการรวมตัวกันที่นี่
เมื่อมั่นถัวหลัว หลิงซี หลงเซี่ยงและเจียงหลงเห็นทั้งเก้าคน ท่าทางของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเป็นจริงจัง เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่พวยพุ่งใส่
“พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญของสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทอง ดูเหมือนว่าในที่สุดพวกเขาก็อดกลั้นไม่ได้ที่จะผนึกกำลังเพื่อหยุดพวกเราที่นี่แล้ว” มั่นถัวหลัวกล่าวเสียงเคร่งขรึม
ผู้ที่ขัดขวางพวกเขาก่อนหน้าคือสมาชิกจากขุมกำลังภายใต้ขั้วอำนาจทั้งสาม ทว่าตอนนี้กลับเป็นผู้เชี่ยวชาญในสำนักเหล่านั้นที่ปรากฏตัว
มู่เฉินกวาดสายตามองไปก็พบว่าเป็นตามที่มั่นถัวหลัวพูดจริงๆ ในบรรดาทั้งเก้า มีผ้าพันสีม่วง-สีเทา-สีทองอย่างละสามคน
“คนเหล่านี้แข็งแกร่งที่สุดในสามสำนักนอกเหนือจากผู้นำของพวกเขา” มั่นถัวหลัวอธิบายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ แต่การแสดงออกก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
“ตำหนักมู่กระจ้อยร่อยคิดจะปกครองจักรวรรดิเหนือรึ? รนหาที่ตาย!” เมื่อพวกเขาก้าวเข้ามา จอมยุทธ์ทั้งเก้าก็สาดสายตาตะโกนออกมาอย่างเย็นชา
“ไสหัวออกจากที่ราบเป่ยยู่และส่งมอบวังสวรรค์บรรพกาลมาซะ มิฉะนั้นพรุ่งนี้ตำหนักมู่จะถูกล้างบางแน่!”
เสียงของพวกเขาดังสะท้อนระหว่างฟ้าดินดึงดูดความสนใจจากขั้วอำนาจอื่นๆ เมื่อพวกเขาเห็นทั้งเก้าคนขวางทางไว้ก็ได้แต่แอบเดาะลิ้น พวกเขาบอกได้เลยว่าทั้งเก้าคนนั้นอยู่รองลงจากผู้นำทั้งสามเท่านั้น
ดูเหมือนว่าก้าวเดินของตำหนักมู่จะหยุดอยู่ที่นี่แล้ว
“อวดดี!”
หลงเซี่ยงยิ้มเย็นชา ขณะที่มองไปที่ทั้งเก้าด้วยสายตาอำมหิต เสียงคำรามของมังกรพลายดังก้องอยู่รอบตัวเขา ไอสังหารเข่นฆ่าหนาแน่นกะพริบอยู่ในดวงตา
ขณะที่หลิงซีเคลื่อนไหวสัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนก็แล่นแปลบปลาบ ส่วนมั่นถัวหลัวคว้าแส้สีดำที่เต็มไปด้วยหนามแหลมออกมา เจียงหลงเร้าคลื่นหลิงทรงพลังเต็มกำลัง
ชัดว่าแต่ละคนเข้าสู่สภาพพร้อมรบ
แต่เมื่อพวกเขากำลังจะโผทะยานออกไป มู่เฉินก็โบกมือเบาๆ “ครั้งนี้ให้ข้าจัดการเถอะ”
จอมยุทธ์ทั้งเก้าไม่ได้อ่อนแอ พวกเขาอยู่ในระดับเดียวกับมั่นถัวหลัวและคนอื่นๆ บวกกับความได้เปรียบเรื่องจำนวนแล้ว แม้แต่พวกมั่นถัวหลัวก็ยังไม่ได้เปรียบมากนัก
นอกจากนี้การขัดขวางมากมายระหว่างทาง ก็ค่อยๆ ปลุกจิตสังหารในใจของมู่เฉิน ดูเหมือนว่าขั้วอำนาจทั้งสามตั้งใจที่จะลบตำหนักมู่ออกจากโลกเลยทีเดียว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องไว้หน้าใคร
ท่าทางของมู่เฉินสงบนิ่งก่อนที่จะก้าวออกไปโดยไม่มีความผันผวนใดๆ เขาย่างเท้าเข้าไปหาทั้งเก้าคน
“ยโสนัก!”
เมื่อจอมยุทธ์ทั้งเก้าเห็นว่ามู่เฉินกล้าเข้ามาหาพวกเขาตามลำพัง ดวงตาของพวกเขาก็สาดประกายเย็นชาขณะที่เอ่ยเยาะเย้ย “ถ้าแกไม่ย้ายก้นออกไปในสามอึดใจ ที่ราบเป่ยยู่จะเป็นหลุมศพของแก!”
ทว่ามู่เฉินไม่คิดจะตอบสนองต่อสิ่งนี้ ฝ่าเท้ายังคงก้าวเดินต่อไป
“รนหาที่ตาย!”
เมื่อเห็นว่าคำพูดของพวกตนถูกเพิกเฉย ความโกรธก็เพิ่มขึ้นในหัวใจของจอมยุทธ์ทั้งเก้า
“ในเมื่อแกเรียกร้องความตาย พวกข้าก็จะทำตามความปรารถนาให้เอง!”
จอมยุทธ์สองคนไม่สามารถข่มใจไว้ได้ พวกเขาแผดเสียงคำรามแฝงการกลั้วหัวเราะ ฝ่าเท้ากระทืบลงส่งแรงไป ร่างพุ่งเข้าหามู่เฉินพร้อมกับคลื่นหลิงทรงพลัง
ตู้ม!
หมัดทรงพลังสองหมัดพุ่งออกมาจากซัดลงบนร่างกายของมู่เฉิน
พื้นดินสั่นสะเทือน มิติแปรปรวน ทว่ามู่เฉินก็ยังคงนิ่งไม่ไหวติงพร้อมกับแสงหลิงแล่นพล่านบนร่างกาย การโจมตีที่ดุร้ายจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสองคนไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับเขาเลย
ใบหน้าของจอมยุทธ์ทั้งสองเปลี่ยนไปกะทันหัน
จังหวะเดียวกันร่างเงาของมู่เฉินก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกเขาพร้อมกับเกลียวแสงระเบิดออกมาจากเจดีย์พุทธะในนัยน์ตา
เขายื่นมือออกตบลงไปเบาๆ ด้วยสีหน้านิ่งเฉย
ฝ่ามือแหวกผ่านมิติซัดบนศีรษะของจอมยุทธ์คนหนึ่ง ส่วนอีกมือกระแทกไปที่หน้าอกของอีกคน
มวลลมจากฝ่ามือราวกับสายลมพัดผ่านเบาๆ นุ่มนวลยิ่งนัก
ร่างเงาของมู่เฉินเคลื่อนผ่านจอมยุทธ์ทั้งสองไปอย่างง่ายดาย ขณะที่เขาปัดมือเบาๆ
ปัง ปัง!
ที่เบื้องหลัง คนหนึ่งหัวระเบิดกระจุยเลือดสดสาดกระเซ็น อีกคนหนึ่งตรงหน้าอกยุบลง เลือดและเนื้อพุ่งออกไปจากด้านหลัง
เงียบ
ความวุ่นวายของที่นี่เงียบกริบลง ผู้คนนับไม่ถ้วนเบิกตากว้าง ความกลัวสุดขีดฉายบนใบหน้า
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสองคนไม่สามารถทนรับแม้แต่กระบวนท่าเดียวของมู่เฉินก็ถูกสังหารเรียบร้อย
ยิ่งไปกว่านั้นความเด็ดขาดและความโหดเหี้ยมของมู่เฉิน ก็ทำให้จิตใจของพวกเขาสั่นสะท้านไปหมด
สายตานับไม่ถ้วนเลื่อนมองไปที่มู่เฉินที่ยังสงบนิ่งด้วยความกลัว เขายังคงนิ่งเฉยราวกับว่าเมื่อครู่เพียงแค่ตบแมลงวันไปสองตัว
ในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักได้ว่าร่างเงาอ่อนเยาว์คนนี้ลึกล้ำและไม่อาจหยั่งรู้ได้ขนาดไหน
ความแข็งแกร่งของเขาเกินขอบเขตระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มไปแล้ว
ภายใต้สายตาหวาดผวานับไม่ถ้วน มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่จอมยุทธ์ทั้งเจ็ดที่ตกตะลึงพร้อมกับเสียงสะท้อนด้วยไอเย็นเยือก
“พวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันเลย”