เมื่อกรงเล็บสีทองปะทะกับตราประทับผี
แววไม่เชื่อก็วูบไหวในดวงตาของกุ่ยตี้พร้อมกับความหวาดผวาสุดขีด
“พลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน?!”
กุ่ยตี้อุทาน เขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังที่มีอยู่ในหมัดของมู่เฉินมาถึงระดับนี้แล้ว
แม้ว่าก่อนหน้ามู่เฉินจะสามารถใช้วิญญาณสงครามเพื่อต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนได้ แต่ก็เป็นรัศมีจั้นยี่ซึ่งไม่ใช่พลังของเขา ดังนั้นขุมพลังของมู่เฉินยังคงอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลางเท่านั้น
แต่ในขณะนี้หมัดของมู่เฉินมีพลังของระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน
นี่ทำให้กุ่ยตี้รู้สึกไม่อยากจะเชื่ออย่างยิ่ง เพราะในการรับรู้ของเขา มู่เฉินยังอยู่ในขั้นหลิง แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด พลังของแขนข้างขวาถึงอยู่ในขั้นเซียน
ตู้ม!
อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถคิดถึงเรื่องนี้ได้มากอีกแล้ว เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากเสียงคำรามรุนแรงจากจุดปะทะพร้อมกับแรงระเบิดขนาดใหญ่ที่ทำให้ตราประทับผีแตกออก
ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก แค่มู่เฉินที่มีขุมพลังขั้นหลิงก็ยากที่จะรับมือแล้ว หากมู่เฉินมีความแข็งแกร่งของระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน พวกเขาก็ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันแล้ว
ดังนั้นเขาจึงถอยกลับโดยไม่ลังเล ตราประทับในมือเปลี่ยนไป ตราประทับผีระเบิดออกพร้อมกับความเย็นเยือกไร้ขอบเขตขณะที่กวาดใส่มู่เฉิน
โฮก!
แต่ก่อนที่รัศมีเยือกเย็นจะปกคลุมมู่เฉิน เสียงมังกรทองก็คำรามดังก้องพร้อมกับแสงสีทอง รัศมีเยือกเย็นที่สัมผัสสลายหายไปทันที
วาบ!
ปีกหงส์ฟ้าด้านหลังมู่เฉินกระพือวูบไหว เขาก็ไปปรากฏตัวเบื้องหน้ากุ่ยตี้เหวี่ยงกำปั้นออกไป มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ หมัดพุ่งเข้าไปกระแทกหน้าอกของกุ่ยตี้ ภายใต้สายตาหวาดกลัวของเขา
ตึง!
เสียงระเบิดดังก้อง กุ่ยตี้ร้องโหยหวนออกมา แสงสีทองระเบิดออกมาจากหน้าอกทำลายการป้องกันทั้งหมดลง กระทั่งร่างกายของเขาก็ถูกทำลายไปครึ่งหนึ่ง
เลือดตกลงมาจากท้องฟ้า กุ่ยตี้ก็คล้ายกับนกปีกหัก ร่วงหล่นลงมาก่อนที่จะกระแทกกับจัตุรัสหยก พื้นสั่นสะเทือนด้วยคลื่นกระแทกแผ่ออกทำลายจัตุรัสนี้…
ทันใดนั้นทั่วเมืองก็ตกอยู่ในความเงียบ
ใบหน้าของทุกคนซีดเผือดกับฉากที่เกิดขึ้น พวกเขามองร่างเงาอ่อนเยาว์บนท้องฟ้าด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้งในใจ
“ทรงพลังเกินไปแล้ว…” ทุกคนถอนหายใจด้วยสีหน้าซับซ้อน ขณะนี้แม้แต่พวกเขาก็ถูกข่มเต็มที่จากพลังที่มู่เฉินแสดงออกมา
ตัวคนเดียวสามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนห้าคนได้
แม้กระทั่งในมหาพันภพความสำเร็จนี้ก็ทำให้เกิดคลื่นสั่นสะเทือน…
ขณะนี้ทุกคนรู้ว่าด้วยการดำรงอยู่ในทวีปเทียนหลัวไม่มีใครสามารถเขย่าบัลลังก์มู่เฉินและสถานะของ ตำหนักมู่ได้
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปตำหนักมู่คือเจ้าเหนือหัวหนึ่งเดียวของทวีปเทียนหลัว
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะประมุขมู่ที่น่าสะพรึงกลัว…
เมื่อรัศมีจั้นยี่สลายไปในท้องฟ้า นักรบมังกรดำก็พุ่งกลับไปพักในแหวนของมู่เฉิน ตัวเขาถอนปีกหงส์ฟ้าออก จากนั้นก็ก้มลงมองทุกคนที่อยู่รอบๆ ด้วยดวงตานิ่งสงบ
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตำหนักมู่จะปกครองทวีปเทียนหลัวทั้งหมด ทุกคนจงสวามิภักดิ์ มิฉะนั้นก็ออกจากทวีปไป” เสียงของมู่เฉินสะท้อนออกมา
แม้ว่าน้ำเสียงจะสงบเรียบ แต่ก็มีความเผด็จการที่ไม่อาจโต้แย้งได้
เขารู้ว่าตำหนักมู่ไม่จำเป็นต้องปกปิดพลังอีกต่อไป สิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้คือเปลี่ยนทวีปเทียนหลัวให้อยู่ใต้การปกครองของตำหนักมู่
ด้วยมหาทวีปนี้ ตำหนักมู่จะสามารถขยายอิทธิพลได้อย่างรวดเร็วและเข้าสู่ขั้วอำนาจสุดยอดในมหาพันภพ
เสียงของมู่เฉินทำให้เกิดความปั่นป่วน ทุกคนแสดงออกอย่างซับซ้อน ตอนแรกพวกเขาดำรงตำแหน่งระดับสูงในทวีปเทียนหลัว แต่ตอนนี้มีคนที่อยู่เหนือพวกเขาแล้ว
แต่ไม่มีใครกล้าตั้งคำถามเนื่องจากทั้งห้าคนที่มีคุณสมบัติต่างพ่ายแพ้ให้กับมู่เฉิน
ดังนั้นหลังจากที่เงียบไปชั่วครู่ ทุกคนก็ประสานมือโค้งคำนับพร้อมกับเปล่งเสียงดังก้องไปทั่วเมือง
“คารวะท่านประมุข”
เมื่อจิ่วโยวและคนอื่นๆ เห็นภาพนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น จอมยุทธ์คนอื่นๆ ของตำหนักมู่ก็คล้อยตามด้วยอารมณ์และความภาคภูมิใจ ภายใต้การนำของมู่เฉิน พวกเขาจะก้าวมายืนบนจุดสูงสุดของมหาพันภพในที่สุด
มู่เฉินพยักหน้าเรียบเฉย จากนั้นก็มองไปที่หลุมอุกกาบาตทั้งห้าในจัตุรัส “เลิกมุดได้แล้ว จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนไม่ตายง่ายๆ หรอก”
พร้อมกับเสียงของมู่เฉิน แสงห้าสายก็พุ่งออกมาแล้วลอยบนอากาศด้วยสภาพน่าสมเพช
ยามนี้ทั้งห้าคนร่างถูกปกคลุมไปด้วยเลือด เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บหนัก
พวกเขาเกิดความหวาดกลัวในดวงตาเมื่อมองไปที่มู่เฉิน แม้แต่กุ่ยตี้ก็ยังนิ่งเงียบด้วยความกลัว
พวกเขาสูญเสียความมั่นใจอย่างสิ้นเชิงในการต่อสู้ครั้งนี้
“มู่เฉิน แกชนะแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพวกข้าจะไม่เอามือแตะทวีปเทียนหลัวอีกต่อไป” จื่อเหลยกล่าวด้วยสีหน้าซีดขาว
มู่เฉินยิ้ม “ถ้าเจ้าจุ่มมือลงมา ข้าจะสับมันออก”
เมื่อเผชิญหน้ากับคำพูดของมู่เฉิน พวกเขาทั้งห้าก็รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก แต่ก็ไม่สามารถหักล้างได้ เพราะผู้แพ้ไม่มีสิทธิ์เปิดปาก
“ตอนนี้มาพูดเรื่องค่าชดเชยกันหน่อยเถอะ” มู่เฉินกล่าวช้าๆ
พอได้ยินคำพูดนั่นใบหน้าของกุ่ยตี้ก็ดิ่งลง “แกต้องการอะไรอีก?”
สายตาของมู่เฉินเปลี่ยนไปอย่างเย็นชาขณะที่ตอบ “ถ้าข้าปล่อยพวกเจ้าไปแบบง่ายๆ ทุกคนก็คงมาท้าทายข้าทุกครั้งที่ต้องการ คิดว่าข้าอารมณ์ดีนักเหรอ?”
จื่อเหลยกัดฟันตะเบ็งเสียง “อย่าให้เกินไป แม้แกจะชนะ แต่เราก็ไม่ได้จัดการง่ายๆ ถ้าแกบังคับกันเกินไป ถึงจะต้องตายข้าก็จะลากแกไปด้วย!”
มู่เฉินยิ้ม “ถ้าพวกเจ้ามีความกล้าเท่าลมปากก็คงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์นี้หรอก”
หากทั้งห้าทำลายตนเองกระทั่งเขาก็ถูกคุกคาม แต่ใครก็ตามที่เป็นจอมยุทธ์ระดับนี้มักจะหวงแหนชีวิต เขาไม่เชื่อว่าทั้งห้าคนนี้กล้าหาญพอ
ใบหน้าของทั้งห้าเขียวคล้ำ แต่สุดท้ายเสียงก็อ่อนลง “เจ้าต้องการอะไร?”
“ง่ายมากค่าชดเชยเป็นของเหลวจื้อจุนหมื่นล้านหยดจากแต่ละคน” มู่เฉินตอบ ตำหนักมู่เตรียมเข้าครอบครองทวีปเทียนหลัว ดังนั้นเขาต้องการของเหลวจื้อจุนเป็นเงินทุน
“อะไรนะ?!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี่ใบหน้าทั้งห้าก็กระตุก นี่เป็นเงินก้อนใหญ่สำหรับพวกเขา เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องเก็บบรรณาการเป็นเวลาสิบปีเลยนะ
ท้ายที่สุดถึงแต่ละคนจะผู้ใต้บังคับบัญชามาก ค่าใช้จ่ายก็มากเป็นเงาตามตัว เช่นตำหนักมู่ที่มีผลเก็บเกี่ยวของเหลวจื้อจุนมากกว่าพันล้านหยดต่อปี แต่พวกเขาจะเหลือเพียงต้อยติ่งหลังจากจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ใบหน้าของกุ่ยตี้เขียวคล้ำขณะพูดว่า “ประมุขมู่เลิกล้อเล่นเถอะ ถ้าเราเอาเงินจำนวนนั้นออกมา ผู้ใต้บังคับบัญชาคงแตกฉานซ่านเซ็นแน่”
หากปราศจากของเหลวจื้อจุน พวกเขาก็ไม่สามารถกุมหัวใจคนของตนแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนก็ตาม
“ถ้างั้นก็ห้าพันล้าน” มู่เฉินยิ้มสายตาเริ่มเปลี่ยนเป็นเย็นเยือกทีละน้อย “ถ้าเจ้ายังไม่สามารถนำออกมาได้ ก็ทำลายตัวเองซะเลย”
ทั้งห้าชะงักไป ชัดว่าแทบโกรธจะเป็นบ้า
“กุ่ยตี้ไม่ต้องจ่าย…” คำพูดของมู่เฉินทำให้กุ่ยตี้เกือบร้องไชโยออกมา หรือว่าชายคนนี้ยำเกรงเขาในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลาง?
“เอากระจกรวมเทพโบราณมา”
ทว่าเมื่อประโยคส่วนหลังของมู่เฉินเปล่งออกมาก็ทำให้กุ่ยตี้สะท้านไปถึงกระดูกสันหลัง ขณะที่ใบหน้าบิดเบี้ยวไปหมด
“แก!” กุ่ยตี้โกรธเกรี้ยว ราคาของอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมเกินกว่าของเหลวจื้อจุนห้าพันล้านหยดอีกนะ
“ถ้าไม่เต็มใจ ข้าจะไปล้วงคอออกมาเอง” ดวงตาของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นเย็นชาขณะที่คลื่นหลิงพวยพุ่งขึ้นรอบตัว
ใบหน้าของกุ่ยตี้เปลี่ยนไม่หยุด แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะกลืนความโกรธ สะบัดแขนเสื้อโยนลำแสงสีเทาออกมา
เมื่อมู่เฉินรับไปก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
เมื่อเห็นกุ่ยตี้ยอมแพ้ อีกสี่คนก็ไม่กล้าหืออือ สามคนโยนกำไลเฉียนคุนออกมา
เมื่อได้รับมู่เฉินก็ทำการตรวจสอบก่อนที่จะพยักหน้า จากนั้นสายตาก็เลื่อนไปยังคนสุดท้าย…ตันหยาง อีกฝ่ายกำลังสวมสีหน้าขมขื่น เมื่อไม่นานมานี้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับขั้วอำนาจของเขา เขาจึงใช้ของเหลวจื้อจุนไปไม่น้อยในการจัดการ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถจ่ายราคาจำนวนนั้นได้
เมื่อเห็นว่าตันหยางยืนทื่อมะลื่อ ใบหน้าของมู่เฉินก็เย็นเยือกลง
ครั้นมองไปที่สายตาคมกริบของมู่เฉิน ตันหยางก็ได้แต่ฝืนพูดขึ้นมาว่า “ข้าจ่ายเป็นสมบัติแทนได้หรือไม่?”
“สมบัติอะไร?” มู่เฉินถามโดยไม่มีความสนใจใดๆ
หลังจากลังเลชั่วครู่ตันหยางก็เอ่ยปาก “ครั้งหนึ่งข้าเคยได้รับซากดอกแมนดาลาโบราณซึ่งอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน”
ขณะที่พูดก็เหลือบมองมั่นถัวหลัว เขารู้จักตัวตนของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
แล้วก็เป็นอย่างที่เขาคาดหวังไว้ ม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวแสดงริ้วความตื่นเต้น เนื่องจากนางติดอยู่ในคอขวดของระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม หากนางได้รับซากดอกแมนดาลาโบราณระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน นางก็จะสามารถบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้
แต่ดอกแมนดาลาโบราณหายากเหลือเกิน นางไม่เคยได้ยินข่าวใดมาก่อนเลย ไม่คิดว่าตันหยางจะมีอยู่ในครอบครอง
ทว่าตันหยางก็ยังค่อนข้างไม่แน่ใจเล็กน้อย เนื่องจากราคาที่แท้จริงของซากดอกไม้นี้อยู่ที่ของเหลวจื้อจุนหนึ่งพันกว่าล้านหยดเท่านั้น
แต่เขาไม่คิดว่าแววตาเย็นชาของมู่เฉินจะลดลงพร้อมกับรอยยิ้มพอใจ “งั้นข้าจะรับของนี้แทนการชำระเงินของเจ้า”
เขารู้โดยธรรมชาติว่ามูลค่าของซากดอกไม้ไม่ใช่ห้าพันล้าน แต่ก็คุ้มค่าเนื่องจากมั่นถัวหลัวสามารถใช้ในการบรรลุขุมพลังได้
ตั้งแต่เขามาอยู่อาณาเขตกงเวทสวรรค์มั่นถัวหลัวก็ช่วยเหลือเขามามาก มิหนำซ้ำยังช่วยเขาก่อตั้งตำหนักมู่ งานเล็กงานใหญ่ก็ทำให้ไม่ขาด ดังนั้นเขาไม่ลังเลเลยที่จะช่วยศิษย์พี่คนนี้
ตันหยางไม่คิดมาก่อนว่ามู่เฉินจะรับง่ายขนาดนี้ เขาดีใจรีบโยนขวดหยกไปให้มู่เฉินทันที ในขวดเต็มไปด้วยของเหลวแช่ดอกไม้ขนาดเท่าฝ่ามือซึ่งเอิบอาบไปด้วยความผันผวนที่ผิดปกติ
“ซากดอกไม้แมนดาลาโบราณจริงด้วย…”
มู่เฉินกวาดมองก่อนที่จะสะบัดมือส่งต่อไปให้มั่นถัวหลัว เมื่อนางรับไว้สายตาที่มองมู่เฉินก็มีแววอบอุ่นผุดขึ้น
“เอาล่ะจ่ายหนี้เสร็จแล้ว พวกเจ้าไปซะ” มู่เฉินตบมือพลางยิ้มตาหยีให้ทั้งห้า
ประมุขทั้งห้าถอนหายใจออกมาด้วยไม่เหลือหน้าที่จะอยู่ได้จนต้องรีบจากไป
เมื่อพวกเขาไปแล้ว ชายชุดขาวดำบนศาลาในเมืองเทียนหลัวก็มองตามไปอย่างเย็นชา ถ้ามู่เฉินเห็นคนคนนี้ก็จะจำได้ว่าเขาก็คือหมัวเฮอโยวซึ่งเคยได้พบกันในช่วงสั้นๆ ที่เผ่าฝูถู
“ไอ้ขยะห้ากองเอ้ย!”
หมัวเฮอโยวชกไปที่กำแพง รอยแตกแผ่กระจายออกไปพร้อมกับความเย็นชาในดวงตา เขาคือผู้บงการอยู่เบื้องหลังประมุขทั้งห้าที่ต่อสู้กับมู่เฉิน มิหนำซ้ำยังมอบอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซียนให้กับกุ่ยตี้เพื่อประกันความสำเร็จ แต่ไม่คิดว่าสุดท้ายทั้งห้าก็ยังแพ้ให้มู่เฉิน ที่ยิ่งกว่าคืออาวุธนั่นยังตกไปอยู่ในมือมันอีกด้วย แล้วแบบนี้เขาจะไม่โกรธได้ยังไง?
“หืม?”
เมื่ออารมณ์ของหมัวเฮอโยวกำลังแปรปรวน มู่เฉินก็สัมผัสได้ สายตาเขาจับจ้องมาที่หมัวเฮอโยวทันที
“แกเองสินะที่วางแผนอยู่เบื้องหลัง” ทันใดนั้นแววตาของมู่เฉินก็เย็นชา
หมัวเฮอโยวสัมผัสได้ถึงสายตาของมู่เฉิน คลื่นหลิงที่น่ากลัวก็พลุ่งพล่านรอบตัวเขา
“คุณชายจัดการมันเลยไหมขอรับ?” ร่างเงาสีดำสองร่างปรากฏขึ้นด้านหลังหมัวเฮอโยว กล่าวขึ้นโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ
ดวงตาของหมัวเฮอโยวกะพริบสั้นๆ ก่อนที่จะดึงคลื่นหลิงกลับพลางส่ายหัว “ชิงเหยี่ยนจิ้งแล่นมาแน่ถ้าเราเคลื่อนไหว”
“ช่างเถอะ ไม่ต้องสนใจมันแล้ว ครั้งนี้ที่วางแผนจัดการก็เพราะทางเผ่าต้องการความมั่นใจ มันอาจจะมีความสามารถ แต่ไม่เป็นภัยคุกคามในสายตาข้า ถ้ามันกล้าเข้าร่วมชุมนุมนิรันดร์ ข้าจะซัดให้มันพิการไปเลย ถึงเวลานั้นชิงเหยี่ยนจิ้งก็ยุ่งไม่ได้”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา เงาทั้งสองก็หายไป
หมัวเฮอโยวจ้องมองไปที่มู่เฉิน ทั้งสองสาดสายตาเย็นชาใส่กัน
หมัวเฮอโยวเหยียดมือออกไปในทิศทางของมู่เฉินจากนั้นก็กำมือแน่น รอยยิ้มเย็นชาปรากฎบนใบหน้า เสียงส่งไปยังโสตประสาทของอีกฝ่าย
“ถ้าแกกล้ามาที่งานชุมนุม ข้าจะทำให้แกง่อยไปเลย!”
หมัวเฮอโยวหายตัวไปหลังจากแสยะรอยยิ้มน่ากลัว
มู่เฉินมองไปที่หมัวเฮอโยวด้วยใบหน้านิ่งสงบพลางกำมือแน่น
“หมัวเฮอโยว…ไม่ต้องกังวล ข้าไปรับร่างมหาเทพนิรัดร์ถึงบ้านแกแน่นอน!”